ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 227 ขึ้นเวที

จอมศาสตราพลิกดารา

“ธิดาคนโตของถังฉงขุนพลเจิ้นกั๋ว สาวพรหมจรรย์อายุสิบหก รูปโฉมพริ้มเพรา มีพรสวรรค์ด้านยุทธ์ อดีตเป็นดอกไม้ล้ำค่าในบรรดาชนชั้นสูงเมืองฉิน ผู้เกี้ยวพามีมากมาย…” ผู้ดำเนินการประมูลบรรยายคุณสมบัติเสียงดัง “เริ่มประมูลที่สองแสนตำลึงทอง ทุกครั้งประมูลเพิ่มไม่ต่ำกว่าสองหมื่นตำลึงทอง”

ได้ยินราคาเริ่มประมูล ทั้งหน่วยเลี้ยงรับรองบนถนนกลิ่นกำจายก็ดังระงมไปด้วยเสียงฮือฮาอย่างห้ามไม่อยู่

นี่สิถึงจะเป็นราคาสูงลิ่วที่แท้จริง

อย่างน้อยคนส่วนใหญ่ตรงที่นั่งแขกผู้มีเกียรติทั่วไปก็ไม่มีกำลังทรัพย์ไปแข่งประมูลด้วย

งานประมูลดำเนินมาถึงขั้นนี้ โดยพื้นฐานแล้วถึงเวลาละเล่นของแขกผู้มีเกียรติชั้นยอดที่แท้จริงแล้ว

คนรับใช้หญิงวัยกลางคนร่างกำยำ หน้าตาดุร้ายน่ากลัว จัดท่าทางถังถังในแบบต่างๆ บนโครงเหล็กกากบาทอย่างไร้ยางอาย หลังผ้าโปร่งบางนั้นจะมองเห็นร่างขาวเนียนดุจหยกที่แทบจะเปลือยเปล่าได้ชัดเจน ไม่ว่าเป็นสตรีประวัติดีคนใด นี่คือความอัปยศอย่างหนึ่งโดยแท้

……

ในหอหมายเลขสิบแปด ใบหน้าของซ่างกวนอวี่ถิงเผยความเหลือทน

แต่ว่านางก็ไม่ร่วมประมูลอย่างรู้ความ

หนึ่งเพราะราคาของถังมี่สูงเกินไป สองเพราะนางก็พอรู้อยู่เลาๆ ว่าลูกสาวคนโตของถังฉงเกี่ยวพันกับการแก่งแย่งในราชสำนักจักรวรรดิ หากร่วมประมูลด้วยเกรงว่าจะนำปัญหามาให้หลี่มู่…และเรื่องใดก็ตามแต่ที่จะสร้างปัญหาให้กับเขา ซ่างกวนอวี่ถิงไม่มีทางเข้าร่วมเด็ดขาด

แต่ว่า หลี่มู่ในตอนนี้กลับขมวดคิ้วเบาๆ

หน่วยเลี้ยงรับรองจะทำเกินไปแล้ว เห็นชัดว่ากำลังหยามหมิ่นถังถัง เด็กสาวประวัติดีถูกจัดท่าทางน่าอับอายแบบนี้ต่อหน้าธารกำนัล ไม่ว่าจุดจบในท้ายที่สุดจะเป็นอย่างไร แต่ความบริสุทธิ์ก็นับว่าถูกทำลายลงแล้ว

“ข้าไปครู่เดียวเดี๋ยวกลับมา”

หลี่มู่สวมหน้ากากผียิ้มสีเงิน สวมชุดคลุมมีหมวก หยิบเสื้อคลุมอีกตัวก่อนจะออกไปจากหอ

……

“สองแสนหกหมื่นตำลึงทอง เอาละ แขกผู้มีเกียรติจากหอหมายเลขสิบห้าเสนอราคาสองแสนหกหมื่นตำลึงทอง…”

ค้อนในมือที่ยกไปมาของผู้ดำเนินการประมูลกำลังสั่นเทา ราคานี้เกินกว่าสถิติการประมูลของหน่วยเลี้ยงรับรองในอดีต สถิติใหม่กำลังจะเกิดในมือของเขา

ส่วนหญิงรับใช้ที่ชั่วร้ายสองคนนั้นก็ยังคงพลิกจัดท่าทางของถังถังที่แขนขาถูกตรึงอยู่บนโครงเหล็กรูปกากบาทราวกับจัดท่าตุ๊กตา ให้ผู้แข่งประมูลรอบๆ เห็นกันอย่างชัดเจน

ในดวงตาสาวน้อยผู้ตกยาก มีหยาดน้ำตาแห่งความอัปยศและความโกรธแค้นดุจจะสังหารคนวาววับ แต่ก็ไร้ประโยชน์อันใด

“อย่าใช้สายตาแบบนั้นมองข้า จะโทษก็ต้องโทษตัวเจ้าที่ซวยเอง” หญิงรับใช้วัยกลางคนคนหนึ่งกระซิบ หัวเราะอย่างโหดเหี้ยมข้างหูนาง จากนั้นก็จงใจเลิกเสื้อผ้าโปร่งบางของถังถังขึ้น เผยให้เห็นหน้าท้องและสะดือขาวเนียน

“อือๆ อือๆๆ…” ถังถังดิ้นรนสุดฤทธิ์ แต่ปากถูกอุดไว้ด้วยแพรขาว ทำให้นางไม่อาจพูดได้

ทันใดนั้น รอบข้างมีเสียงตื่นตกใจดังไปทั่วอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ

กลุ่มคนบนถนนกลิ่นกำจายเหมือนเห็นเรื่องอะไรที่แปลกประหลาดเป็นอย่างมาก

หญิงรับใช้ชั่วร้ายคนนั้นหันไป ก็เห็นคนใส่หน้ากากผียิ้มสีเงินพิลึกมายืนอยู่ด้านหลังตนไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แสงเย็นเยียบสองสายพุ่งออกมาจากช่องตาของหน้ากากราวกับดาบสองเล่ม ประหนึ่งจะแทงนางให้ทะลุอย่างไรอย่างนั้น

“เจ้า…”

หญิงรับใช้ยังพูดประโยคแรกไม่ทันจบ ก็รู้สึกแค่ว่าเบื้องหน้าพร่าเลือน ทั้งตัวลอยออกไป

คนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินยกมือตบลงไปอีก ซัดหญิงรับใช้วัยกลางที่ยืนอึ้งอยู่อีกด้านหนึ่งกระเด็นไปไหนไม่รู้

ฝูงชนรอบๆ ร้องตกใจอย่างยากจะอดไว้

คราแรก พวกเขายังคิดว่าการปรากฏตัวของคนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินเป็นรายการเพิ่มสีสันที่หน่วยเลี้ยงรับรองเตรียมเอาไว้ แต่ตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่าไม่ใช่ ที่แท้มีคนมาก่อกวน

ผู้ดำเนินการประมูลของหน่วยเลี้ยงรับรองตกใจยกใหญ่ ถอยหลังไปอย่างหวาดระแวง ตวาดถามว่า “เจ้าเป็นใคร กล้ามาก่อกวนงานประมูลอย่างนั้นรึ?”

คนสวมหน้ากากหน้าผียิ้มสีเงินไม่ตอบ ทว่านิ่งเงียบ คลุมชุดคลุมตัวกว้างลงบนร่างของถังถังซึ่งถูกหยามหมิ่นไม่เหลือชิ้นดี ปกปิดกายขาวเนียนเกือบเปล่าเปลือยของนางไว้ จากนั้นยื่นมือจัดผมยาวที่ยุ่งกระเซิงให้

“ก็แค่งานประมูล ทำไมต้องหมิ่นเกียรตินางถึงเพียงนี้? ถึงอย่างไรก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของขุนพลเจิ้นกั๋ว ขุนพลถังเป็นแม่ทัพที่เคยสร้างคุณูปการให้กับจักรวรรดิฉินตะวันตก ลูกหลานของเขาไม่ควรโดนดูหมิ่นแบบนี้”

เสียงแหบแห้งเล็กน้อยดังมาจากใต้หน้ากากหน้าผียิ้มสีเงิน

เสียงไม่ดังมาก แต่กลับดังไปทั่วถนนกลิ่นกำจาย

ฝูงชนเงียบงัน

ผู้ดำเนินรายการประมูลคนนั้นตั้งสติกลับมาได้ ก็พูดอย่างทั้งตกใจทั้งโมโห “เจ้า…เจ้ากล้ามาก่อกวนหรือ? บังอาจนัก กล้าทำลายงานของหน่วยเลี้ยงรับรอง…ใครก็ได้…ใครก็ได้…” เขาแหกปากตะโกน

อันที่จริงไม่ต้องให้เขาตะโกน ก็มีเงาหลายร่างตรงมายังเวทีหลักดุจสายฟ้าท่ามกลางเสียงแหวกอากาศ และล้อมคนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินเอาไว้

ทั้งหมดเป็นยอดฝีมือระดับหนึ่งขั้นยอดปรมาจารย์ที่หน่วยเลี้ยงรับรองเชิญมารักษาความสงบเรียบร้อยในคืนนี้

“จับมัน”

คำสั่งดังขึ้น ยอดฝีมือขั้นปรมาจารย์สิบกว่าคนลงมือพร้อมกันทันทีโดยไม่ให้โอกาสอธิบาย

กระแสอากาศแผ่ระลอก แรงกดดันกำลังภายในโหมซัด เหมือนจะฉีกคนสวมหน้ากากหน้าผียิ้มสีเงินในพริบตา

“ฮี่ๆๆๆ…” เสียงหัวเราะประหลาดเหมือนนกฮูกดังขึ้นมา คนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินก้าวออกมาก้าวหนึ่ง ขั้นปรมาจารย์ของหน่วยเลี้ยงรับรองรู้สึกแค่เบื้องหน้าพร่าเลือน ข้อมือสั่น ดาบยาวในมือถูกชิงไปแล้ว

ฟุ่บ!

ประกายดาบสีขาวสายหนึ่งสะท้อนประกายกลางอากาศ

ยอดฝีมือขั้นปรมาจารย์ของหน่วยเลี้ยงรับรองทั้งหมดรู้สึกเพียงตรงอกสะเทือน ปราณดาบที่แข็งแกร่งไร้ใดเทียมประชิดมา หมายจะฟันพวกเขาลอยออกไปทั้งหมด เมื่อก้มลงมองก็เห็นชุดเกราะแหลกละเอียด แต่เนื้อตัวไม่ได้รับบาดเจ็บ

“หากยังไม่รู้จักดีชั่ว ก็อย่าโทษว่าดาบข้าไม่ปรานี”

คนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินยืนอยู่ข้างกายถังถัง มือถือดาบ เสียงของเขาราวปีศาจรัตติกาลที่คอยเกี่ยววิญญาณยามค่ำคืน เย็นยะเยือกจนทำให้รู้สึกหนาวเหน็บเสียดกระดูก

ปราณดาบน่าอัศจรรย์ขยับวูบวาบ เปล่งประกายอยู่บนปลายดาบ

“ฟ้าประทาน?”

ยอดฝีมือหน่วยเลี้ยงรับรองต่างหน้าถอดสี

ประกายดาบนั่นแปลงมาจากปราณแท้ฟ้าประทานนี่เอง

คนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินคนนี้เป็นผู้แข็งแกร่งไร้พ่ายขั้นฟ้าประทานแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย

คราวนี้ จิตกระหายต่อสู้ของยอดฝีมือฝั่งหน่วยเลี้ยงรับรองทั้งหมดหายวับไปทันที อย่าเห็นว่าพวกเขานับเป็นยอดฝีมือระดับหนึ่งในสายตาของคนในยุทธจักร แต่เมื่อเจอกับผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทาน ไม่ว่าจำนวนคนจะมากเท่าไหร่ก็เป็นได้แค่ฝ่ายโดนเชือดเท่านั้น

……

“หืม? ใครกัน?”

ในหอหมายเลขสิบ ใบหน้าของหวางเฉินฉายแววยินดี

สายตาขององค์หญิงฉินเจินที่จ้องมองคนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินเผยความซาบซึ้ง นางย่อมรู้ว่าการหยามหมิ่นแบบนั้นหมายถึงอะไรสำหรับเด็กสาวคนหนึ่ง นางก็อยากไปช่วยถังถังแบบคนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงิน ช่วยคลุมเสื้อ ปกปิดเรือนร่างให้ ทว่านางทำไม่ได้

เพราะหากบุ่มบ่าม เช่นนั้นต่อไปอยากช่วยถังฮูหยินก็จะลำบากขึ้นอีกมาก

ระหว่างช่วยคนกับศักดิ์ศรี นางทำได้แค่เลือกอย่างหน้า

การปรากฏตัวของคนสวมหน้ากากหน้าผียิ้มสีเงินเป็นเรื่องน่ายินดีจากสวรรค์จริงๆ

จอมยุทธ์ดาบขั้นฟ้าประทาน เป็นใครกัน?

หากคนผู้นี้ช่วยจากใจจริง หรือเป็นจอมยุทธ์ผู้ผดุงความยุติธรรมละก็ เช่นนั้นอัตราความสำเร็จของแผนช่วยภรรยาและบุตรสาวของขุนพลถังในคืนนี้ก็เพิ่มขึ้นมากแล้ว

……

“จอมยุทธ์ดาบขั้นฟ้าประทานโผล่มาจากไหนกัน?”

ในหอหมายเลขสิบห้า พวกไป๋หย่วนหานเฝ่ยหรานมองหน้ากัน

ด้วยฐานะและตำแหน่งของพวกเขา ยอดยุทธ์ทั่วไปยากจะทำให้พวกเขารู้สึกตึงมือได้ แต่เห็นได้ชัดว่ายังหวาดเกรงขั้นฟ้าประทานที่แข็งแกร่งเช่นนี้อยู่หน่อยๆ

“ฟังแล้วเหมือนจะเป็นพรรคพวกของถังฉง?” เหลียงอี้เฟยลูบคาง

หานเฝ่ยหรานส่ายหน้า “เป็นไปไม่ได้ พรรคพวกของถังฉง หากเป็นขั้นฟ้าประทานล้วนไม่ใช่คนไร้ชื่อเสียง ราชสำนักจัดการทีเดียวไปตั้งนานแล้ว ไม่มีทางหลุดรอดมาได้ เจ้านี่น่าจะเป็นจอมยุทธ์ที่ทวงคืนความยุติธรรมให้ถังฉง เหอะ รนหาที่ตายจริงๆ”

จิตสังหารฉายวาบในดวงตาของจินเซวียน “ข้าเกลียดที่สุดก็คือพวกจอมยุทธ์พวกนี้ สมควรตายทั้งหมด”

“ดูสถานการณ์ไปก่อนค่อยว่ากัน หากกล้าแย่งหญิงงามของพวกเรา เช่นนั้นก็ส่งมันไปลงนรก” เหลียงอี้เฟยลุกขึ้น สั่งองครักษ์ข้างกายตนให้ไปเตรียมการบางอย่าง

……

ในหอหมายเลขหนึ่ง

“เกิดอะไรขึ้น?” องค์ชายสองลุกขึ้นยืน มองไปยังเวทีหลัก ในดวงตาที่หรี่ลงเล็กน้อยมีไอเย็นวาบผ่าน

หลิวเฉิงหลงเหงื่อซึมชื้นเต็มหน้าผาก

คืนนี้ ทำไมถึงเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายขนาดนี้?

“ข้าจะไปส่งมันลงนรก” ชายชราจมูกงุ้มหนึ่งในคนที่เหมือนผีดิบชุดคลุมสีเทาลุกขึ้นมา ไอเย็นสีขาวที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าลอยวนทั่วร่าง น้ำเสียงอวดดีนัก เหมือนการฆ่าขั้นฟ้าประทานคนหนึ่งง่ายเหมือนฆ่าลูกไก่

องค์ชายสองส่ายหน้า “อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น…เฉิงหลง เจ้าไปจัดการก็แล้วกัน”

หลิวเฉิงหลงรีบรับคำสั่ง

……

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง การประมูลก็ดำเนินต่อ

ผลลัพธ์แบบนี้ทำให้หลายคนประหลาดใจ

แต่เดิมคิดว่าการต่อสู้คงเลี่ยงไม่ได้แน่แล้ว แต่คนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินกลับโยนดาบในมือทิ้ง แล้วยืนข้างกายถังถังอย่างสงบ ไม่ได้ลงมืออะไรอีก

หลิวเฉิงหลงกลับหอหมายเลขหนึ่งมารายงาน

“คนผู้นั้นแค่ไม่ให้หน่วยเลี้ยงรับรองหยามหมิ่นถังถัง ไม่ได้มาชิงตัวคน ขอแค่ให้นางสวมเสื้อผ้า เขาก็ไม่ได้ขัดขวางอะไรอีก” หลิวเฉิงหลงรายงาน

เขาแอบรู้สึกว่าโชคดีอยู่บ้าง การประมูลนับว่าดำเนินต่อไปได้แล้ว

องค์ชายสองถามเสียงเรียบ “มองออกหรือไม่ว่าเป็นใคร?”

หลิวเฉิงหลงส่ายหน้า “ขั้นฟ้าประทานในเมืองฉางอันข้ารู้จักหมด เขาไม่ใช่คนใดคนหนึ่งในนั้น จอมยุทธ์ดาบ…ข้าน้อยจำได้ว่าหลี่มู่ก็ฝึกวิชาดาบเป็นหลักเหมือนกัน แต่การต่อสู้ของหลี่มู่อาศัยกำลังกายปะทุพลังมาตลอด เหมือนจะไม่เคยเปิดเผยปราณแท้ฟ้าประทานออกมาให้เห็น” เขาคาดเดาไม่ถูก

องค์ชายสองพยักหน้า หันไปพูดกับชายจมูกงุ้มหนึ่งในชายชราผีดิบชุดคลุมยาวสีเทาทั้งสอง “ผู้อาวุโสโยว ท่านจับตาดูสักหน่อย ตามคนคนนี้ไป วันหลังช่วยข้ากำจัดมันทิ้ง” หากไม่ใช่เพราะจะแหวกหญ้าให้งูตื่นละก็ เขาจัดการคนสวมหน้ากากหน้าผียิ้มสีเงินไปนานแล้ว จะโอนอ่อนให้ได้อย่างไร ใครที่ทำให้เขาไม่มีความสุขล้วนสมควรตายทั้งนั้น

ชายชราผีดิบจมูกงุ้มพยักหน้ารับคำ “น้อมรับบัญชา”

……

ระหว่างนั้น สนามประมูลด้านนอก ราคาเสนอประมูลของถังถังถูกปั่นจนถึงห้าแสนตำลึงทองแล้ว สองฝ่ายที่แข่งประมูลคือหอหมายเลขสิบและสิบห้า ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน เห็นชัดว่าจะประมูลมาให้ได้

บนถนนกลิ่นกำจาย ฝูงชนคลุ้มคลั่งกันยิ่งนัก

ฉากแบบนี้เห็นได้ชัดว่าร้อยปียังเห็นสักครั้งได้ยาก

“ห้าแสนห้าหมื่นตำลึงทอง” ในหอหมายเลขสิบห้า ไป๋หย่วนกัดฟันเสนอราคานี้ไป

ในหอหมายเลขสิบ หวางเฉินกำลังจะเสนอราคาตาม แต่ตอนนี้ด้านนอกกลับมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

ผู้ดูแลของหน่วยเลี้ยงรับรองคนหนึ่งเอ่ยเสียงดังอยู่ข้างนอกอย่างมีมารยาท “แขกผู้มีเกียรติ ขออภัยอย่างยิ่งที่ต้องแจ้งท่าน ตั๋วค้ำประกันเงินทุนที่ก่อนนี้ท่านแสดงกับหน่วยเลี้ยงรับรองถึงขีดจำกัดแล้ว จำต้องมอบตั๋วเงินใหม่อีกครั้ง เพื่อพิสูจน์ว่าท่านมีทุนเสนอราคา ถึงจะแข่งประมูลต่อไปได้…”

หวางเฉินนิ่งอึ้ง

เงินไม่พอ

ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดบังเกิดขึ้นแล้ว

………………………