อิ๋งซื่อเดินออกมาจากศาลา ผ่านเส้นทางคดเคี้ยว
ซ่งชูอีกำลังจะไปรับหน้าที่ใต้ระเบียงทว่ากลับได้ยินอิ๋งซื่อกล่าวว่า “เจ้ายืนนิ่งๆ เถิด อย่าขยับ”
ซ่งชูอีได้ยินก็หยุดเดินอย่างเชื่อฟัง เพราะว่าบาดแผลนั้นเจ็บมากจริงๆ
“ถวายบังคมฝ่าบาท” ซ่งชูอีคำนับ
อิ๋งซื่อเดินมาถึงตรงทางเดิน หยุดยืนห่างจากนางครึ่งจั้ง สำรวจนางขึ้นลงสองสามรอบ สีหน้าที่หล่อหลอมอยู่กับแสงจันทร์นั้นคลุมเครือ “เหตุใดอยู่บ้านเอวถึงบาดเจ็บได้?”
“แค่ก ไม่ทันระวัง…” ขณะนั้นเอง นางหาเหตุผลที่เหมาะสมไม่ได้จริงๆ
“มหาเสนาบดีฝ่ายขวาบอกว่าเจ้าบาดเจ็บจากการขี่ม้าตอนที่อยู๋ในค่าย” อิ๋งซื่อเปิดโปงคำพูดของทั้งสองคนที่ยังไม่ได้ตระเตรียมกันมาอย่างไร้ความปรานี “พูดมา เกิดอะไรขึ้น”
จะโทษว่าชูหลี่จี๋กับซ่งชูอีสะเพร่าเกินไปก็ไม่ได้ ใครจะไปรู้ว่าองค์จวินแห่งรัฐจะปรากฏตัวในจวนของขุนนางราวกับภูติผีดึกๆ ดื่นๆ
ซ่งชูอีไม่รู้สึกเขินอายที่ถูกเปิดโปงเลยแม้แต่น้อย ยิ้มกว้างเอ่ย “ตอนทำงานไม่ระวังพ่ะย่ะค่ะ”
“ทว่ามีคนกล่าวว่า เจ้าบาดเจ็บที่ก้น” อิ๋งซื่อมองนางด้วยความสงสัย
คิดไม่ถึงว่าเขาจะกล่าววาจาถากถางนางเยอะเพียงนี้ด้วยสีหน้านิ่งเฉย! นางรู้สึกรำคาญใจเล็กน้อย ทว่าอีกฝ่ายคือองค์จวิน นางไม่สามารถคิดแค้นได้ ดังนั้นจึงตอบด้วยท่าทางเหมือนหมูตายที่ไม่กลัวน้ำร้อนลวก “ก็ครั้งแรกนี่นา จึงไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าไร ต่อไปก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ ฝ่าบาทอย่าได้กังวลพระทัย ว่าแต่ฝ่าบาท มาแล้วเหตุใดถึงยืนอยู่ในสวนดอกไม้เล่า?”
อิ๋งซื่อจ้องหน้าใบหน้าที่เปี่ยมด้วยรอยยิ้มของนางครู่หนึ่ง ละสายตาเอ่ยว่า “เห็นว่าเจ้ามีแขกในห้องหนังสือ”
“หา ทำให้ฝ่าบาทรอนานแล้ว” ซ่งชูอีคำนับขอโทษอีกครั้ง
“ไม่โทษเจ้า” อิ๋งซื่อเอ่ย
“ฝ่าบาทมาได้จังหวะพอดี กระหม่อมมีเรื่องจะทูลรายงาน” ซ่งชูอีไม่คิดที่จะปิดอิ๋งซื่อเรื่องการส่งคนเข้าแทรกแซงรัฐเว่ยเป็นความลับ ในฐานะที่นางเป็นกั๋วเว่ย สามารถระดมการคุ้มกันอย่างลับๆ ได้ เพียงแต่ทันทีที่นางมีความเคลื่อนไหวก็จะถูกเปิดโปงทันที สู้อธิบายให้อิ๋งซื่อฟังอย่างละเอียดยังดีกว่า เพื่อป้องกันความเคลือบแคลงใจระหว่างจวินและขุนนางในอนาคต
อิ๋งซื่อเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า “ว่ามาเถิด”
ซ่งชูอีนิ่งไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าเขาไม่ขยับแม้แต่ครึ่งก้าว เห็นได้ชัดว่าตั้งใจจะยืนฟังอยู่ที่นี่ ก็ได้ อย่างไรเสียการยืนมันสบายกว่าสำหรับนางอยู่แล้ว “กระหม่อมส่งคนเข้าไปแทรกแซงในรัฐเว่ย”
อิ๋งซื่อไร้ความประหลาดใจ
ซ่งชูอีเล่าการวางแผนและรายละเอียดทุกอย่างให้เขาฟัง
“กั๋วเว่ยวางแผนได้ดี” อิ๋งซื่อฟังจบแล้วก็ประเมินไปคำหนึ่ง
เริ่มแรกนางจะให้สวีจ่างหนิงมีที่ยืนอยู่ในรัฐเว่ยก่อน แม้ว่ารัฐเว่ยอาจไม่ได้เรียกใช้งานอย่างจริงจังแต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคในการดำเนินการของนาง เพราะว่าภายในรัฐเว่ยมีความระหองระแหงกันเลือนรางอยู่แล้ว เพียงแค่ต้องการตัวเติมเชื้อเพลิงเท่านั้น ประการที่สอง นางจะให้หมิ่นฉือเลือกข้างระหว่างองค์รัชทายาทและองค์ชายซื่อ หากเขาไม่ติดกับ ก็จะทำให้ความไว้ใจที่เว่ยอ๋องมีต่อเขาสั่นคลอนในแง่ของรัฐฉิน บีบให้เขาต้องเลือกเจ้านายคนใหม่ให้ตัวเอง ซ่งชูอีก็สามารถใช้การต่อสู้ภายในนี้ได้ ร่วมมือกับสวีจ่างหนิงคิดหาวิธีเพื่อบีบให้เขาไปรักษาการณ์ที่นคร จากนั้นนางก็สามารถล้างแค้นอย่างเปิดเผยได้
อีกประการหนึ่งก็คือให้เจินอวี๋แต่งงานกับสวีจ่างหนิง ข้อหนึ่งเพื่อให้สวีจ่างหนิงยึดมั่นในเส้นทางสายนี้ได้อย่างสนิทใจ ข้อสองเพื่อควบคุมสกุลเจินผ่านสวีจ่างหนิง เพราะว่าด้วยความรู้ของสวีจ่างหนิงนั้นไม่เพียงพอที่จะมีตำแหน่งสูงในรัฐเว่ย หากต้องการรักษาตำแหน่งขุนนางระดับสูงเอาไว้ก็ต้องพึ่งพาซ่งชูอีเท่านั้น
ด้วยวิธีนี้ แม้ว่าไม่สามารถควบคุมสกุลเจินได้อย่างมั่นคง ทว่าก็เป็นไปได้เก้าในสิบส่วนแล้ว นอกจากนี้ยังมีวิธีสำรองไม่รู้จบ
นี่เป็นวิธีการแก้แค้นโดยอาศัยกลยุทธ์แห่งรัฐ อีกทั้งสามารถควบคุมสกุลเจินและสวีจ่างหนิงได้อีกก้าว…
อิ๋งซื่อเห็นว่านางรายงานทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวอย่างตรงไปตรงมา ทันใดนั้นก็หัวเราะออกมา
“ฝ่าบาทหัวเราะอะไรพ่ะย่ะค่ะ?” ซ่งชูอีสงสัย อิ๋งซื่อไม่ใคร่ยิ้ม หลายครั้งที่ก็เป็นเสียงหัวเราะอันสดใส หรือไม่ก็เพียงโค้งมุมปากยิ้ม ไม่เคยหัวเราะอย่างคลุมเครือเช่นนี้มาก่อน อย่างไรก็ดี ในเสียงหัวเราะครั้งนี้เจือปนความสุขอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่มีอะไร ข้าเพียงยินดีกับความซื่อสัตย์ของกั๋วเว่ย” เขาเอ่ย
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นคำพูดถากถาง ทว่าซ่งชูอีกลับมีความละอายใจเจือปนอยู่ในสีหน้ายิ้มแย้มนั้น เอ่ยว่า “กระหม่อมพยายามตามรอยฝ่าบาทอย่างสุดความสามารถเสมอ”
อิ๋งซื่อราวกับฟังไม่เข้าใจ พยักหน้า จากนั้นก็เอ่ยตำหนิ “รักษาบาดแผลให้ดี เรื่องนี้ก็พักไว้ชั่วคราวก่อน เป็นถึงกั๋วเว่ย ไม่เก่งด้านบู๊ก็ช่างประไร แต่ว่ายังเจ็บออดๆ แอดๆ จะไม่ให้รัฐอื่นๆ ใต้หล้าหัวเราะเยาะต้าฉินของข้าได้อย่างไร!”
“พ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมจะรักษาร่างกายอย่างดี” ซ่งชูอีกล่าวด้วยความขึงขัง
อิ๋งซื่อขมวดคิ้ว “รีบพักผ่อนเถิด วันหน้ากว่าเหรินจะมาเยี่ยมเจ้าอีกที”
เขามักจะรีบมารีบไป ซ่งชูอีชินเสียแล้ว “น้อมส่งฝ่าบาท”
อิ๋งซื่อเหลือบมองนาง หมุนตัวก้าวลงจากทางเดิน มุ่งหน้าไปที่ยังประตูใหญ่
เงาดวงจันทร์คมชัด แผ่นหลังตั้งตรง ชุดสีดำนั้นเคร่งขรึมเยือกเย็น มีความสง่างามในทุกย่างก้าว เพียงแต่เมื่ออยู่ตามลำพังจึงดูโดดเดี่ยวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ซ่งชูอีจับจ้องเงานั้น พลันตะโกนถาม “ฝ่าบาท อยากจะดื่มหรือไม่?”
อิ๋งซื่อหยุดเดิน หมุนตัวหันไปมองนางข้ามสวนดอกไม้เขียวชอุ่ม
ระยะทางไกลเกินไป มองเห็นสีหน้าของกันและกันไม่ชัดเจน ซ่งชูอียืดคอมองครู่หนึ่ง กลับได้ยินทางนั้นตอบกลับมาอย่างหัวเสีย “รักษาบาดแผลอยู่ก็อย่าออกนอกลู่นอกทาง!”
จากนั้นก็หมุนตัวจากไป
ไม่รู้จักความหวังดีบ้างเลย! ซ่งชูอีเบะปาก ก้าวเดินไปยังห้องอาบน้ำ
บาดแผลโดนน้ำไม่ได้ ซ่งชูอีเพียงเช็ดตัวอย่างเรียบง่าย แล้วกลับไปเอนกายที่ห้องนอน เจ้าอี่โหลวยังไม่กลับมา เวลานัดหมายของเว่ยเต้าจื่อและกุ่ยกู๋จื่อใกล้มาถึงแล้ว คงไม่มาเยี่ยมนางในจวนอีก
“หนิงยา” ซ่งชูอีเอ่ย
“เจ้าค่ะ” หนิงยาวิ่งเข้ามา “ท่านมีอะไรจะสั่งเจ้าคะ?”
“ไป๋เริ่นล่ะ? ข้าไม่เห็นมันมาหลายวันแล้ว” ตั้งแต่จางอี๋พาจินเกอเข้ามา นางก็ไม่เห็นไป๋เริ่นอีกเลย
“เรียนท่าน จินเกอกับไป๋เริ่นไปอยู่ในจวนของมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายแล้วเจ้าค่ะ” หนิงยากล่าวเสริมอีก “พวกมันอยู่ในจวนของมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายตลอดทั้งวัน ไม่ค่อยกลับมาเจ้าค่ะ”
“เอ๋ พวกมันดีกันตั้งแต่เมื่อไร?” ซ่งชูอีเอ่ยด้วยความประหลาดใจ
หนิงยาหัวเราะเอ่ย “มักจะเล่นด้วยกันประจำเจ้าค่ะ ไม่เคยกัดกันจริงๆ สักครั้ง บางทีหมาป่าอาจเล่นกันเช่นนั้นกระมัง”
“เจ้าหมาป่าเนรคุณ ตั้งหลายวันไม่มาหาข้าบ้างเลย” ซ่งชูอีบ่นพึมพำ
หนิงยาแอบหัวเราะ คิดในใจ ก็เลียนแบบท่านไม่ใช่หรือ! หลายวันนี้ก็ไม่เห็นได้ยินท่านถามถึงมันเลย!
“พรุ่งนี้ไปรับมันกลับมา” ซ่งชูอีรู้สึกว่าช่วงเวลาที่ต้องรักษาตัวจะต้องหาใครมาฆ่าเวลาเสียหน่อย
“เจ้าค่ะ” หนิงยาตอบรับ เงยหน้าเห็นว่าซ่งชูอีคล้ายง่วงนอนแล้ว จึงลุกขึ้นดับไฟในห้องนอนครึ่งหนึ่ง จากนั้นก็ถอยออกไปเงียบๆ
ครั้งนี้หลับไม่สนิทเลย
ขณะที่ฟ้ายังไม่สว่างซ่งชูอีก็ไม่มีความง่วงแล้ว นางพลิกตัว ข้างกายยังคงว่างเปล่า
เจ้าอี่โหลวไม่กลับมาทั้งคืน ซ่งชูอีมักจะมีลางสังหรณ์เลือนรางจึงทำให้นางนอนไม่หลับ จากนั้นก็สวมเสื้อผ้า เปิดประตูออกไปข้างนอก
อากาศเย็นเล็กน้อย สดชื่นเป็นอย่างยิ่ง ทำให้สมองตื่นตัวขึ้นมาด้วย
หนิงยาตื่นแต่ตั้งเช้าตรู่เหมือนทุกครั้ง ครั้นผลักประตูเปิดก็เห็นคนหนึ่งยืนอยู่ในหมอกคลุมเครือตรงทางเดินทันที “ท่าน?”
ซ่งชูอีไม่ได้หันกลับมา เอ่ยเรียบๆ “ไปทำงานเถิด ข้าจะยืนสักพัก”
“เจ้าค่ะ”
หลังจากหนิงยาจากไปไม่นาน หมี่จีก็เข้ามาจากประตูเล็ก เห็นซ่งชูอีก็งอเข่าคำนับ “ท่านเจ้าคะ ฝ่าบาทส่งคนมาแล้วเจ้าค่ะ”
“ฝ่าบาท?” ซ่งชูอีรู้สึกแปลกใจ เมื่อวานก็เพิ่งคุยกันไม่ใช่หรือ “เชิญเขาเข้ามา”
หมี่จีรับคำ กลับออกไปที่ลานด้านนอกแล้วนำทางขันทีคนหนึ่งเข้ามา
ซ่งชูอีจำได้ว่านั่นคือขันทีเถาคนสนิทของอิ๋งซื่อ ก็ยิ้มแล้วประสานมือคำนับ “ข้าน้อยได้รับบาดเจ็บ ไม่สะดวกออกไปรับ ได้โปรดขันทีเถาให้อภัย”
“มิบังอาจรับการคำนับจากกั๋วเว่ย” ขันทีเถาหลบเลี่ยง คำนับให้กับซ่งชูอีก่อนเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ฝ่าบาทตรัสว่า เมื่อว่ากั๋วเว่ยต้องการถวายสุรา วันนี้จึงตั้งใจให้บ่าวมารับ ฝ่าบาทเห็นใจที่กั๋วเว่ยได้รับบาดเจ็บ เดินเหินไม่สะดวก กั๋วเว่ยเพียงบอกว่าสุราฝังไว้ที่ใด บ่าวจะไปขุดเอง”
ถวายสุรา?
ซ่งชูอีนึกถึงสิ่งที่พูดเมื่อวานก็อดที่จะกัดฟันมิได้ อิ๋งซื่อคนนี้อันตรายเกินไปแล้วจริงๆ! ทั้งๆ ที่เป็นการเชิญให้เขาดื่มด้วยกัน กลับทำให้เขาหาข้ออ้างยึดครองสุราดอกบ๊วยในลานของนาง! หากนางบอกที่ฝังสุราไป แล้วจะเหลือไว้ให้นางสักหยดรึไง!?
นี่มันปล้นกันชัดๆ!