บทที่ 39 ซูเย่เร็วเกินไปแล้ว!
“ไปรักษาผู้ป่วยนอกเมือง?”
ผู้เข้าแข่งขันทั้งสิบคนชะงักค้าง
นี่คือการลงพื้นที่จริงงั้นเหรอ?
“ทุกคนแยกย้ายได้!”
เมื่อเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจของทุกคน จ้าวเหมียนก็โบกมือส่งให้ทุกคนไปพักผ่อน แล้วหักกายเดินออกไป
ในเวลาบ่ายโมง เมื่อเก็บของเรียบร้อย ทั้ง 10 คนก็โดยสารรถบัสของรายการมุ่งหน้าไปยังสนามบิน
หลังรอเครื่องประมาณครึ่งชั่วโมง ซูเย่และคนอื่นๆ ก็โดยสารเครื่องบินมุ่งหน้าไปยังต้าซีเป่ย
บ่ายสามโมงครึ่ง ถึงจุดหมายอย่างปลอดภัย
หลังจากที่เครื่องลง ทีมงานก็มีรถบัสมารับทุกคนไปต่อทันที
รถมุ่งหน้าไปพื้นที่นอกเมือง
ล้อหมุนอยู่หลายชั่วโมง ในที่สุดก็หยุดลงที่อำเภอแห่งหนึ่ง
ทุกคนมองไปออกไปดูนอกหน้าต่างรถอย่างสงสัย
“วันนี้เราหยุดพักกันที่โรงแรมแห่งนี้ก่อน พรุ่งนี้เดินทางกันต่อ”
บนรถบัส ผู้กำกับจ้าวเหมียนพูดกับทุกคน “นอกจากนี้ คืนนี้ตอนที่สามของรายการอนาคตการแพทย์แผนจีนของเราออกอากาศ ทุกคนอย่าลืมดูกันนะ!”
หลังจากรับประทานอาหารเย็นที่โรงแรมเสร็จ ก็เป็นเวลาหนึ่งทุ่มครึ่งพอดี
ห้องพักในโรงแรม
ทุกคนเปิดโทรทัศน์เพื่อรอดูรายการตอนที่สาม
ผู้กำกับจ้าวรู้สึกประหม่ามากขึ้น และเริ่มการประชุมทางวิดีโอกับทีมงานส่วนที่ยังอยู่ที่ออฟฟิศที่ตึกสถานีโทรทัศน์
แม้ว่าเรตติ้งของสองตอนก่อนหน้านี้จะดีมาก แต่อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน!
คุณภาพของรายการไม่สามารถกำหนดได้จากการเรตติ้งของสองตอนแรกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงว่ารายการจะคงอยู่ได้หรือไม่
ทั้งหมดมี 6 ตอน ตอนที่สามมีบทบาทเชื่อมโยงระหว่างตอนก่อนหน้าและตอนต่อไป เรตติ้งของตอนนี้จะส่งผลต่อแนวโน้มการรับชมของอีกสามที่เหลือ ดังนั้นผู้กำกับจ้าวจึงยังคงประหม่า
เวลาสองทุ่ม
เมื่อโฆษณาของจบลง ชื่อรายการที่เป็นตัวอักษรสีทองตัวใหญ่ก็ปรากฏบนหน้าจอโทรทัศน์
รายการเริ่มอากาศแล้ว
ในเวลาเดียวกัน ผู้ชมจำนวนมากทั่วประเทศได้เปิดโทรทัศน์รอดูอยู่แล้ว
ในหมู่พวกเขามีคุณพ่อคุณแม่ซู ครอบครัวคุณป้าของซูเย่ ครอบครัวของลุงและครอบครัวของลูกพี่ลูกน้อง เช่นเดียวกับซุนซือ จินฟาน จางจงหมิง สองพี่น้องตระกูลไป๋ อาจารย์หลี่เคอหมิง ปรมาจารย์ฮัวเหรินเชิง เป็นต้น
ที่สำคัญคือ ผู้ชมหลายท่านที่ยังไม่เคยดูหรือไม่ชอบรายการนี้มาตั้งแต่แรกเริ่มต่างรอคอยที่จะนั่งหน้าจอทีวีเพราะความนิยมของสองตอนก่อนหน้านี้
…พวกเขาต่างอยากดูว่ารายการนี้จะน่าดึงดูดมากแค่ไหน?!
นอกจากคนเหล่านี้แล้ว รายการอนาคตแพทย์แผนจีนยังมีกลุ่มบุคคลในวงการรายการวาไรตี้จำนวนมากคอยติดตามดูอยู่ด้วย
รายการนี้อยู่ดีๆ ก็ดังขึ้นมา ทำให้พวกเขาตระหนักถึงแนวโน้มใหม่ของรายการวาไรตี้ในอนาคต บางทีนี่อาจเป็นเทรนด์ใหม่ จะต้องเรียนรู้ไว้บ้าง
“มาแล้วมาแล้ว!”
“ฉันรู้สึกว่ารอดูนานมาก”
“จากที่เห็นจากตัวอย่าง ตอนนี้ต้องสนุกมากแน่ๆ”
“ครั้งนี้ซูเย่จะยังรักษาตำแหน่งที่หนึ่งไว้ได้ไหมนะ”
ทันทีที่รายการเริ่มออกอากาศ ชาวเน็ตบางส่วนก็เริ่มสนทนากัน
เมื่อการแนะนำรายการจบ ตอนที่สามก็เริ่มขึ้นทันที
“ถึงคุณจะเป็นที่หนึ่งมาตลอด แต่หวังจี้เชาจากมหาวิทยาลัยการแพทย์ตี้ตูก็อยู่ในอับดับหลังคุณเสมอ และช่องว่างของคุณกับเขาก็ไม่ได้ห่างกันมากนัก คุณคิดว่าหวังจี้เชาจะแซงหน้าคุณได้หรือไม่”
“คุณไปถามเขาเถอะครับ เป้าหมายของผมคือมุ่งไปข้างหน้า ดังนั้นผมจะเสียเวลาหันไปมองย้อนหลังทำไมกัน?”
“อันที่จริงพวกเราก็มีทีมงานไปสัมภาษณ์หวังจี้เชาเช่นกัน ดังนั้นพวกเราจะเอาคำพูดของคุณไปฝากเขาโดยไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียวแน่นอน รับรองได้เลย”
“ตามนั้นเลยครับ เพราะที่ผมพูดมันคือความจริง”
…
“วันพรุ่งนี้ก็จะเริ่มการบันทึกตอนที่สามของรายการแล้ว ซึ่งเป็นการสอบครั้งที่สามของการแข่งขันแพทย์แผนจีนด้วย คุณถูกซูเย่กดไว้ในสองตอนแรก อันที่จริงความสามารถของคุณกับซูเย่ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ในการสอบครั้งที่สาม คุณจะเอาชนะซูเย่ได้ไหม?”
“แน่นอนครับ!”
“ตอนนี้คุณยังไม่รู้ว่าจะแข่งขันอะไร แต่คุณมั่นใจว่าจะชนะได้งั้นเหรอ?”
“ความสามารถจะบอกทุกอย่างเอง!”
“ความสามารถที่ไม่เคยชนะซูเย่ได้เลย สามารถบ่งบอกถึงความมั่นใจที่จะชนะซูเย่ได้?”
……
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ขำหนักมาก เริ่มตอนมารายการก็แกล้งหวังจี้เชาเลย! โปรดิวเซอร์คนนั้นเย็นชาเกินไปแล้ว!”
เมื่อดูบทสัมภาษณ์ของซูเย่และหวังจี้เชาในตอนแรก ผู้ชมทุกคนต่างระเบิดเสียงหัวเราะออกมาไม่ต่างกัน
ที่สนุกที่สุดคือการสัมภาษณ์ของหวังจี้เชาไม่มีอะไรเลยนอกจากประโยคที่เจ็บบาดใจ และที่ตลกที่สุดคือคำถามนั้นดูจริงจังมาก แต่มันเต็มไปด้วยความกังขา
หน้าจอกลับไปเป็นสนามสอบ
“เนื้อหาการสอบในวันนี้คือการวินิจฉัยสี่วิถี”
หลังจากจับฉลากเสร็จ ก็เริ่มการสอบอย่างเป็นทางการ
ซูเย่เป็นคนแรกที่ได้เข้าสอบ ผู้ชมจึงได้เห็นการวินิจฉัยสี่วิถีอย่างจริงจังและรวดเร็วของชายหนุ่ม …แน่นอนว่าทีมงานก็ได้ตัดต่อไปเปรียบเทียบกับของผู้เข้าแข่งขันคนอื่นด้วย
……
เมื่อเห็นฉากนี้ ชาวเน็ตทุกคนที่รับชมรายการต่างพูดคุยกันอย่างดุเดือด
“พวกเขายังเป็นนักศึกษาอยู่จริงหรือ ทำไมพวกเขาถึงเชี่ยวชาญขนาดนี้?”
“พวกเขาเก่งมาก มันเหมือนกับตอนที่ฉันไปหาหมอจีนเลย โดยเฉพาะท่าทางของซูเย่ มันใช่เลย!”
“พวกเขาดูทำได้ดีมาก!”
“แพทย์แผนจีนตรวจเร็วขนาดนี้ก็ได้เหรอ ทำไมตอนฉันไปหาหมอที่คลินิกต้องต่อคิวนานทุกครั้งเลย”
ในขณะที่ทุกคนกำลังสนทนากัน
ซูเย่ได้ตรวจคนไข้เสร็จแล้ว กระบวนการทั้งหมดใช้เวลาเพียง 5 นาที
เมื่อซูเย่ตรวจเสร็จ หน้าจอก็ปรากฏการตรวจของผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ด้วย
หน้าจอแบ่งออกเป็นสีส่วนเพื่อแสดงให้เห็นผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ทันใดนั้นมีจอภาพแสดงการตรวจของคนคนหนึ่งถูกขยายให้ใหญ่ขึ้นเต็มหน้าจอ
มันคือหน้าจอที่แสดงการตรวจของหวังจี้เชา!
ด้านข้างของหน้าจอเป็นแถบแสดงการจับเวลา เมื่อหวังจี้เชาเดินออกจากห้องสอบ เวลาหยุดลงที่ 6 นาที
“5 นาทีซูเย่ก็สอบเสร็จแล้ว”
ทันทีที่เขาเดินออกจากห้องสอบ หวังจี้เชาก็ได้ยินที่คนอื่นพูด ใบหน้าที่แต่เดิมเต็มไปด้วยความมั่นใจของเขาจึงพลันเปลี่ยนเป็นหดหู่
เมื่อเห็นสีหน้าขอบเขา ผู้ชมก็อยากจะหัวเราะแต่ก็รู้สึกเสียใจกับเขาเล็กน้อย
ในเวลาไม่นานการสอบก็สิ้นสุดลง
“สิ่งที่กำลังจะตามมาคือไฮไลท์ของวันนี้!”
เมื่อได้ยินคำพูดของพิธีกร ผู้ชมทุกคนพลันดวงตาเป็นประกาย
ถ้าการสอบง่ายเกินไป มันก็ไม่สนุกน่ะสิ!
“สิ่งที่ต้องทำคือการสังเกตผิวลิ้นของผู้ป่วยจากผู้ป่วยทั้งหมดหนึ่งร้อยราย ค้นหาผู้ป่วยที่ป่วยตรงตามโรคที่กำหนดและเขียนหมายเลขของผู้ป่วยลงในกระดาษคำตอบ สำหรับการประเมินนี้ทุกคนมีเวลา 15 นาที!”
คำพูดของพิธีกรเพิ่งจบลง ผู้เข้าแข่งขันทุกคนพลันชะงักค้าง
เมื่อเห็นฉากนี้ผู้ชม ความร้อนแรงของคอมเมนท์ก็เพิ่มมากขึ้นอย่างกะทันหัน
“ตรวจคนไข้ 100 คนใน 15 นาที?”
“ทีมงานทำดีมาก!”
“นี่สิที่เรียกว่าการสอบ!”
“ปกติตอนฉันไปหาหมอจีน หมอมักตรวจคนไข้มากกว่า 5 นาทีต่อหนึ่งคน แล้วแบบนี้จะตรวจผู้ป่วย 100 คนใน 15 นาทีได้ยังไง!”
“ทีมงานก็ช่างจะหาทำจริงๆ นะ”
แม้ว่าจะพูดเช่นนี้ แต่ผู้ชมก็มีความสุขที่ได้ชมรายการ
……
ณ ขณะนี้ ในห้องพักของโรงแรม
“นอกจากตอนเริ่มต้นของรายการแล้ว อย่างอื่นดูธรรมดาเกินไป”
หลังจากดูส่วนแรกของตอนแล้ว จ้าวเหมียนก็ขมวดคิ้วพลางเอ่ยขึ้น “ไม่มีความขัดแย้ง ไม่มีจุดไฮไลต์ เรตติ้งไม่น่าจะดีมากใช่ไหม”
“0.8”
จากโทรศัพท์มือถือที่กำลังเล่นวิดีโออยู่ มีเสียงทีมงานดังตอบกลับมา “ตอนนี้ดูเหมือนว่าเรตติ้งจะไม่ผันผวนมากนัก”
“จุดเน้นของตอนนี้อยู่ที่ช่วงหลัง และจุดต่อไปถึงจะเป็นจุดที่น่าสนใจที่สุด”
ผู้กำกับจ้าวบีบมือแน่นพลางกล่าวขึ้น
หากไม่ใช่เพราะกฎการสอบที่กำหนดโดยผู้จัดงาน การสอบวินิฉัยสี่วิถีในครั้งแรกก็ไม่จำเป็นเลย และบันทึกเฉพาะการสอบครั้งที่สองเท่านั้นก็พอแล้ว
……
บนจอโทรทัศน์
การจับฉลากสิ้นสุดลง ผู้เข้าแข่งขันทยอยเดินเข้าห้องสอบตามลำดับ
ผู้เข้าแข่งขันทุกคนต่างได้รับแอร์ไทม์เท่าๆ กัน
“ต่อไป หมายเลข 10 หวังจี้เชา”
ก่อนหน้านี้ผู้เข้าร่วมทุกคนใช้เวลาระหว่าง 14 ถึง 15 นาที แต่หวังจี้เชาใช้เวลาสอบเพียง 11 นาทีเท่านั้น ฉากนี้ทำให้ผู้ชมทุกคนตกใจเป็นอย่างมาก
คิดไม่ถึงเลย ว่าหวังจี้เชาจะทำได้ดีมากขนาดนี้!!
ถัดไป ซูเย่เดินเข้าห้องสอบ ผู้ชมทุกคนต่างตั้งตารอดูว่าซูเย่จะใช้เวลานานแค่ไหน?
ห้องพักที่โรงแรม
“เรตติ้ง! เรตติ้งขึ้นแล้ว 1.0 แล้ว”
ที่ปลายสายมีเสียงของทีมงานดังมา
“ยังต่ำอยู่”
หัวใจของจ้าวเหมียนเต้นแรงราวกับจะกระโดดออกมานอกอก เขาสูดหายใจเข้าลึกเพื่อปรับอารมณ์แล้วเอ่ยพูด
เรตติ้งนี้ยังไม่ได้ทำลายสถิติของสองตอนก่อนหน้า ยังไม่เสมอสองตอนก่อนหน้าด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงยังไม่สูงพอ
ช่วงต่อไป เรตติ้งจะเพิ่มขึ้นหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับซูเย่แล้ว!
……
ในหน้าจอ ซูเย่ที่เดินเข้าไปในห้องตรวจ เขาไม่ได้เริ่มสอบในทันที แต่ยืนอยู่หน้าคนไข้ 100 คนแล้วเดินกวาดสายตามองดูผู้ป่วยทีละคนด้วยตาของเขา
ซึ่งการกระทำของเขาทำให้ผู้ป่วย 100 รายต่างมีสีหน้างงงวย
ทีมงานยังตัดต่อแกล้งเพิ่มเครื่องหมายคำถามเข้าไป เพื่อตอกย้ำว่าไม่เข้าใจว่าซูเย่กำลังจะทำอะไรกันแน่
“ซูเย่กำลังทำอะไร สังเกตสีหน้า?”
“เป็นไปได้ไหมที่เขาต้องการใช้สงครามจิตวิทยาเพื่อทำให้ผู้ป่วยกลัวแล้วแสดงตัวออกมาเอง…”
“สังเกตปฏิกิริยาของผู้ป่วยเพื่อตรวจหางั้นเหรอ ตลกดีวะ”
ชาวเน็ตที่ดูรายการเริ่มบ่นอย่างไม่เข้าใจ
ภาพหน้าจอกลายเป็นสีดำสนิท แล้วปรากฏตัวอักษรหนึ่งแถวขึ้นมา
‘สามนาทีต่อมา’
แล้วภาพก็กลับมาที่ซูเย่เช่นเดิม
“รบกวนผู้ป่วยหมายเลข 7 หมายเลข 16 หมายเลข… อ้าปากหน่อยครับ”
ซูเย่พูดขึ้นทันที
เมื่อได้ยินคำขอ ผู้ป่วยอาสาสมัครทั้งสิบห้าคนที่ถูกเรียกได้อ้าปากทันที
เมื่อเห็นฉากนี้ ผู้ชมทุกคนต่างตกตะลึง
เขาตรวจจากการดูสีหน้าคนไข้จริงๆ งั้นเหรอ?
ในตอนนี้ ทุกคนเห็นว่าซูเย่รีบเดินไปหาผู้ป่วย 15 รายที่เขาเรียกตามลำดับ และตรวจสอบทีละคน ในท้ายที่สุด เขาเลือกผู้ป่วย 5 คนจาก 15 คน
เมื่อกรอกหมายเลขคำตอบเสร็จแล้ว ชายหนุ่มจึงเดินออกจากห้องสอบทันที
ผู้ชมต่างมองฉากนี้อย่างตกตะลึง
โดยเฉพาะเมื่อหน้าจอปรากฏเลขเวลา 5 นาทีขึ้นมา
“นี่มันเร็วเกินไปแล้ว”
“หวังจี้เชาใช้เวลา 11 นาที แต่ซูเย่ใช้เวลาเพียงห้านาที เขาทำมันได้อย่างไร ใครก็ได้อธิบายให้ฉันฟังที”
“ฉันกำลังเรียนแพทย์อยู่ ในตอนแรกซูเย่สังเกตสีหน้าของผู้ป่วยที่มีอาการใกล้เคียงโรคที่ต้องตรวจหา แล้วตัดคนส่วนใหญ่ที่ไม่เข้าข่ายออกไป! แต่ถึงแม้จะเป็นการคัดกรองผู้ป่วยจากสีหน้า แต่ความเร็วของเขาเกินจริงมากไปแล้ว!!”
มีคำอธิบายจากชาวเน็ตปรากฏขึ้น คนที่เห็นต่างตกตะลึงในทันใด
“คัดกรองผู้ป่วยโดยสังเกตสีหน้าเหรอ บ้าจริง! เขาดูออกได้เพียงแค่การมองหน้า ต่อไปเขาก็หากินโดยการมองหน้าคนก็พอแล้วงั้นสิ?”
“ข้อมูลของซูเย่แสดงว่าเขาเรียนแพทย์แผนจีนเพียงครึ่งปีเท่านั้น ตอนนี้ฉันสงสัยนิดหน่อยว่าเขาเรียนแค่ครึ่งปีจริงหรือเปล่า?”
ในใจของผู้ชมทุกคนต่างเต็มไปด้วยความตกใจและยากที่จะเชื่อ
โดยเฉพาะผู้ที่เป็นแพทย์แผนจีนและผู้ที่กำลังเรียนแพทย์แผนจีน
ไม่มีใครคิดว่าผู้ที่เรียนแพทย์แผนจีนเพียงครึ่งปีและเรียนคณะสมุนไพรจีนจะมีความสามารถถึงเพียงนี้!