บทที่ 251 ปิดประตูไม่รับแขก

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 251 ปิดประตูไม่รับแขก

“เพื่อเปิดเผย ‘ฐานะ’ ในตอนแรก ข้าแอบหยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากตำหนักฮองเฮา…” พูดถึงตรงนี้ ท่านน้าเหลือบมองไปที่ผ้าไหมสีเหลือง

สวี่ชีอันเข้าใจแล้วว่า ผ้าต่วนสีเหลืองที่อยู่บนตัวหวงเสี่ยวโหรวได้มาแบบนี้นี่เอง

แต่ว่า นางสนมในตำหนักน่าจะมีวัสดุเช่นนี้ไม่น้อย อาศัยวัสดุเพียงชิ้นเดียว คงยากที่จะเป็นหลักฐานได้…สวี่ชีอันคิดมาถึงจุดนี้ ทันใดนั้นได้ยินฮว๋ายชิ่งเอ่ยเสียงราบเรียบ

“ใต้เท้าสวี่สามารถอ้างอิงผลชันสูตรศพ และติดตามเบาะแสท่านน้าที่เป็นเป้าหมายได้ ยิ่งกว่านั้นยังทราบถึงผู้บงการอยู่เบื้องหลังตั้งนานแล้ว

“ถ้าท่านแม่ไม่ยอมรับ เช่นนั้น ลำดับต่อมาคงจะมีหลักฐานช่วยใต้เท้าสวี่สืบสาวถึงตัวท่านอากั๋วเอง ที่มากกว่านั้น ด้วยเพชรกระดูกเหล็กของท่านน้าพวกเรา เข้าคุกหนึ่งคืน อะไรก็รับสารภาพทั้งหมดแล้ว”

มุมปากของหว่างชิงฉายแววเย็นเยือก

ที่นางกล่าวมาก็มีเหตุผล เป็นข้าที่เกิดความคิดเฉื่อยๆ เอง คนโง่งมผู้หนึ่งเช่นนี้ เกรงว่าจุดอ่อนยังมีอีกเยอะ ปมของปัญหาไม่ใช่อยู่ที่เขามีจุดอ่อนมากน้อยเพียงใด แต่อยู่ที่การเลือกของฮองเฮา…

แม้จะเป็นคนที่ไม่เอาไหน แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังเป็นน้องชายเพียงคนเดียว หากเอ้อร์หลางหาเรื่องและรังแกผู้หญิงทั้งวัน และทางการใช้เขามาโจมตีข้า เช่นนั้นข้าจะช่วยชีวิตเอ้อร์หลางหรือไม่

ในหัวของสวี่ชีอันปรากฏภาพสวี่ซินเหนียนได้นำกลุ่มผู้ติดตาม มีสตรีสกุลดีๆ ล้อมรอบ ใบหน้าของสวี่เอ้อร์หลางทักทายด้วยใบหน้าที่ชั่วร้ายขึ้นมา…

เป็นภาพที่งดงามยิ่งนัก ทำเอาข้าขนลุกซู่ อืม ด้วยหน้าตาของเอ้อร์หลาง เขาไม่จำเป็นต้องใช้แรง สตรีสกุลดีๆ ที่ละโมบในร่างกายของเขาก็มีถาโถมไป…สวี่ชีอันพึมพำในใจ

“ข้าจะเข้าเฝ้าฮองเฮา ข้าจะเข้าเฝ้าฮองเฮา…” ท่านน้าพุ่งเข้าหาฮว๋ายชิ่งอย่างรุนแรง เหมือนกับเด็กที่ทำผิดแต่หวังว่าจะมีคนมาบอกความจริงแก่เขา

“ฝ่าบาทจะปลดฮองเฮาก็ปลดเถอะ ถึงอย่างไรนางก็ไม่ได้รักฝ่าบาท สำหรับนางแล้วตำแหน่งฮองเฮาจะมีหรือไม่ก็ได้ แต่ว่าฮว๋ายชิ่ง ข้าเป็นลุงเพียงคนเดียวของเจ้านะ”

“เงียบ!”

ฮว๋ายชิ่งกราดเกรี้ยว เผยสีหน้าตาถมึงทึงอย่างหาได้ยาก “ความรู้สึกของเสด็จพ่อและเสด็จแม่ จะยอมให้ท่านกล่าวใส่ร้ายได้อย่างไร”

มารดาเขาเถอะ ช่างเป็นคนที่มีความสามารถเสียจริง! แทนที่จะกล้าพูดอย่างกล้าหาญ จะดีกว่าถ้าใช้คำว่าโง่มาอธิบาย ก่อเรื่องก็ไม่คิดให้รอบคอบ คิดแต่จะให้ผู้อื่นตามเช็ดให้…นี่เหมือนกับวัยรุ่นเลือดร้อนที่ปัญญาอ่อนชัดๆ

ในสมัยที่ข้ายังเป็นเด็กทารกน่ะ การไร้มนุษยธรรมในสังคมยังมีน้อย…สวี่ชีอันส่งเสียงจึกจักในใจ

สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ การทรยศฮ่องเต้ความจริงเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น แต่คนที่กล้าลงมือจริงนั้น กลับเป็นท่านน้าที่เป็นแมงป่องพิษ

เรื่องนี้ไม่ว่าฮองเฮาจะโดนปลด หรือท่านน้าสมควรได้รับการลงโทษ ต่างก็เป็นเรื่องของฮ่องเต้ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาเแม้แต่น้อย

ดังนั้นท่าทางของเขาจึงผ่อนคลายยิ่ง อย่างมากก็แค่รู้สึกเป็นห่วงฮว๋ายชิ่งเล็กน้อย แต่เพราะความชิงชังของฮว๋ายชิ่งที่มีต่อท่านน้า คิดดูแล้วแม้ท่านน้าจะโดนบั่นศีรษะ แต่นางคงไม่เสียใจหรอกกระมัง

ทันใดนั้น ก็มีความคิดแวบเข้ามาในหัวของสวี่ชีอัน ฮองเฮาเป็นพี่สาวท้องเดียวกันของท่านน้า แต่ยังปฏิบัติต่อเขาไม่ดีเท่าไหร่นัก แล้วเหตุใดเว่ยกงถึงอดทนกับคนไม่ได้เรื่องประเภทนี้ได้เล่า

แม้ทั้งสองตระกูลจะเป็นมิตรสหายต่อกัน แต่ด้วยความสามารถของเว่ยกง การเอาชนะลูกผู้ดีมีเงินและทำให้เขาเป็นคนที่ซื่อสัตย์ เป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายอย่างแน่นอน

“เว่ยกงทราบเรื่องนี้หรือไม่” สวี่ชีอันถาม

เมื่อได้ยิน ฮว๋ายชิ่งก็มองไปที่เขาทันที ทำท่าเหมือนคิดอะไรบางอย่าง

“เว่ยเยวียน?”

ก่อนหน้านี้ท่านน้าที่ยังหวาดกลัวและหมดหนทาง ทันทีก็เปลี่ยนเป็นโมโหและชั่วร้าย ยิ้มหยันพร้อมเอ่ย “ใช่ ทั้งหมดนี้ต้องเป็นแผนของเว่ยเยวียนแน่ จะต้องเป็นเขาแน่ๆ เขาฆ่าท่านพ่อข้า ตอนนี้ยังจะทำร้ายข้าอีก เขาเป็นคนจิตใจเหี้ยมโหดเยี่ยงหมาป่า สมควรแล้วที่เขาไม่มีลูกหลานให้สืบสกุล”

ในหัวสมองอันน้อยนิดของสวี่ชีอันเกิดความสงสัยขนาดใหญ่แวบเข้ามา ก่อนเข้าจวน ฮว๋ายชิ่งยังบอกเขาว่าบ้านสกุลเว่ยกับบ้านสกุลซ่างกวนเป็นเพื่อนกัน

แต่มองจากท่าทางของท่านน้า นี่ถือว่าเป็นเพื่อนกันตรงไหน เป็นศัตรูกันยังจะใกล้เคียงกว่า

คิดมาถึงตรงนี้ สวี่ชีอันมองไปทางฮว๋ายชิ่งทันที นางคิ้วขมวดราวกับไม่เข้าใจเรื่องราวภายใน และสับสนกับคำพูดของท่านน้าไม่ต่างกัน

สวี่ชีอันกระแอม เริ่มตั้งคำถาม “หมายความว่าอย่างไร เหตุใดเว่ยเยวียนต้องทำร้ายเจ้า”

ท่านน้าเหลือบมองเขา พลางหัวเราะเสียงเย็นเยียบ “ข้ากล้าพูด เจ้าจะกล้าฟังหรือไม่ เจ้ารู้จักเว่ยเยวียนในตอนนั้น…”

“แปะ!”

พูดมาได้ครึ่งทาง สวี่ชีอันก็โบกมือ และขัดจังหวะท่านน้า

“พอแล้ว ข้าไม่อยากฟัง ตอนนี้ข้าแค่อยากพาท่านกลับไปที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล” ตอนสวี่ชีอันกล่าว ก็หันหน้าไปทางฮว๋ายชิ่ง เพื่อขอความเห็นจากนาง

องค์หญิงฮว๋ายชิ่งเอ่ย “พาไปเถอะ”

“ฮว๋ายชิ่ง ฮว๋ายชิ่งเจ้าจะทำแบบนี้กับข้าไม่ได้นะ…ข้าเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของบ้านสกุลซ่างกวน เสด็จแม่ของเจ้าไม่มีทางเห็นด้วยที่เจ้าทำแบบนี้แน่…”

ท่านน้าถูกสวี่ชีอันหิ้วออกจากจวนไป ตามคำสั่งของฮว๋ายชิ่ง ท่านน้าของเขาถูกส่งต่อให้กับพวกทหารรักษาพระองค์ และส่งไปยังที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลโดยมีพวกเขาคอยคุ้มกัน

สวี่ชีอันควบอยู่บนหลังม้า องค์หญิงใหญ่ที่เพิ่งขึ้นรถม้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลาย “ใต้เท้าสวี่ ท่านจะนั่งไปด้วยกันกับข้าก็ได้นะ”

ไอหยา แบบนี้ไม่ได้ ชายโสดหญิงโสดจะให้นั่งรถม้าคันเดียวกันได้อย่างไรเล่า ข้ากับอาสะใภ้และน้องสาวยังไม่เคยนั่งรถม้าคันเดียวกันมาก่อนเลย…สวี่ชีอันกระโดดลงจากหลังม้าอย่างไว และมุดเข้าไปในรถม้าสุดหรูที่ทำจากไม้จินสื่อหนาน

คนขับรถม้าบังเหียน เจ้าม้าพันธุ์ดีทั้งสองร้องและขยับเกือบม้า เคลื่อนตัวออกจากเส้นทางนอกบ้านสกุลซ่างกวนอย่างรวดเร็วและมั่นคง มุ่งหน้าไปยังเขตรอบวังหลวง

ภายในรถม้า มีการวางพรมขนแพะเนื้อละเอียด ที่ชั้นในสุดเป็นผ้าฝ้ายนุ่ม ๆ วางเบาะสำลีลายขุยหลง เก้าอี้ใหญ่สองตัวและโต๊ะน้ำชาที่ถูกตรึงหนึ่งอัน

องค์หญิงใหญ่หยิบใบชาออกจากตู้ไม้ใต้โต๊ะ จุดถ่านโซ่วจินที่ไร้ควัน ต้มชาไปพลางเอ่ยไปพลาง “ใต้เท้ามีความคิดเห็นเช่นไร”

นี่ก็เป็นรถพี่เลี้ยงแบบโบราณเหรอ…รถม้าคันนี้คาดว่ามีมูลค่าหลายพันตำลึง…สวี่ชีอันถอนหายใจในใจ ได้ยินแล้วจึงเอ่ยอย่างใคร่ครวญ

“พระองค์น่าจะมีความคิดเห็นอยู่ในใจแล้วกระมังพ่ะย่ะค่ะ”

ฮว๋ายชิ่งพยักหน้าเบาๆ “ข้าไม่ชอบท่านน้ามาตลอด เรื่องนี้เริ่มต้นที่เขา ก็ต้องจบที่เขา”

คำศัพท์โดยนัยคือ ข้าเตรียมจะพาท่านน้าออกไป

“แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ ฮองเฮายังคงมีความผิดฐานปิดบังอยู่นะพ่ะย่ะค่ะ” สวี่ชีอันขมวดคิ้ว

เรื่องจะหนักหรือเบา หากจักรพรรดิหยวนจิ่งให้อภัยอย่างใจกว้าง เช่นนั้นลงโทษเพียงเล็กน้อยก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องปลดฮองเฮาหรอก ในทางตรงกันข้าม จักรพรรดิหยวนจิ่งสามารถยืมเรื่องการปลดดังกล่าวเพื่อกักขังให้สำนึกผิดก็พอแล้ว

ด้วยความที่สวี่ชีอันเข้าใจจักรพรรดิหยวนจิ่ง จักรพรรดิพระองค์นี้มีความปรารถนาที่แข็งแกร่งและอำนาจอันแรงกล้า คนที่มีความคิดลึกซึ้งถึงเพียงนี้ แต่กลับไม่ยอมก้มหัวให้ความไม่ถูกต้องเช่นเดียวกัน

“ใครเอ่ยว่าเสด็จแม่ปิดบัง หลังจากท่านน้าเข้าใจคดีพระสนมฝู ก็ทราบว่าสิ่งที่ตนเองทำกำลังจะเปิดเผย เขาจึงส่งคนไปอ้อนวอนกับเสด็จแม่ เสด็จแม่นึกถึงความรักในสายเลือด แม้จะเกลียดชังที่ท่านน้าทำให้พระราชวังวุ่นวาย แต่ยังคงเลือกยอมรับผิดแทน”

ท่าทางและคำพูดขององค์หญิงฮว๋ายชิ่งมั่นคงราวกับสุนัขแก่ ดูเหมือนใบหน้าจะเขียนว่า ‘ถูกต้อง นี่แหละคือความจริง’

เรื่องนี้…สวี่ชีอันถอนหายใจก่อนกล่าว “ที่องค์หญิงกล่าวมามีเหตุผล”

เวรแล้ว หากแต่งผู้หญิงคนนี้เข้าบ้านละก็ หากคิดจะนอกใจหรือมีชู้ต่างก็เป็นเรื่องยากแล้ว

“ข้าแปลกใจที่ท่านน้ายังกล่าวคำนั้นไม่จบ เหตุใดใต้เท้าสวี่ถึงขัดเล่า” องค์หญิงใหญ่ขยับริมฝีปากเบาๆ

สวี่ชีอันพินิจใบหน้าที่งดงามราวภาพแกะสลักของฮว๋ายชิ่งอย่างใจเย็น “เมื่อครู่ท่านน้าอยากจะกล่าวอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยไม่ทราบ หากพระองค์อยากเข้าใจ กลับไปข้าน้อยจะสอบถามมาให้พ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อครู่เขาตั้งใจขัดท่านน้า เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเว่ยเยวียน

สำหรับสวี่ชีอันแล้ว มีสองเรื่องที่ตนเองต้องการจะหลีกหนี เรื่องที่หนึ่งคือความลับของพระราชวัง เรื่องนี้ไม่ต้องกล่าวอะไรมาก

เรื่องที่สอง เกี่ยวกับความลับของเว่ยเยวียน เว่ยเยวียนเป็นเจ้านายและผู้สนับสนุนของเขา หากคิดอยากอยู่ในเมืองหลวงต่อไป จำเป็นต้องรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับเว่ยเยวียนไว้

เช่นนั้น ความลับเหล่านั้นของเว่ยเยวียน เขาก็ไม่ควรล่วงรู้

นอกเสียจากเว่ยเยวียนจะบอกกล่าวกับเขาเอง

ฮว๋ายชิ่งหัวเราะ พลางเปลี่ยนคำกล่าว “เรื่องของฮองเฮาใต้เท้าสวี่ไม่จำเป็นต้องกังวล เว่ยกงสามารถจัดการได้ สิ่งที่ท่านต้องทำคือหาตัวผู้อยู่เบื้องหลัง ใต้เท้าสวี่มีความคิดเห็นว่าอย่างไร”

สวี่ชีอันขมวดคิ้ว มองดูหม้อดินสีม่วงซึ่งก้นถูกเปลวไฟสีน้ำเงินอมแดงแทะเล็มอยู่ และไม่ได้กล่าวอยู่นานทีเดียว

ณ ที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล หอเฮ่าชี่

เจ้าหน้าที่ชุดดำเข้ามาในห้องน้ำชา เอ่ยด้วยน้ำเสียงยินดี “เว่ยกง ทหารรักษาพระองค์ขององค์หญิงฮว๋ายชิ่งคุ้มกันท่านน้ามาถึงที่ทำการปกครองแล้ว และท่านน้ายังเอาแต่ตะโกนเสียงลั่นว่าต้องการเข้าพบท่านพ่ะย่ะค่ะ”

เว่ยเยวียนก้มหน้าอ่านฎีกา ไม่เงยหน้า พลางเอ่ยเสียงเรียบ “ผู้ที่กำลังจะตาย ไม่มีความจำเป็นใดที่ต้องพบหน้า ไปแจ้งฆ้องทองคำหนานกงให้ทราบว่าจงปรนนิบัติต่อท่านน้าให้ดีเสียหน่อย”

หลังเจ้าหน้าที่ชุดดำออกไป เว่ยเยวียนรวบรวมฎีกา ค่อยๆ เดินไปที่หอสังเกตการณ์ มองไปยังพระราชวังด้วยสายตาที่ลึกล้ำและผันผวน

กลับถึงพระราชวัง ฮว๋ายชิ่งก็มุ่งตรงไปยังตำหนักเฟิ่งฉี

สวี่ชีอันตั้งใจจะตรวจสอบคนที่อยู่ในรายชื่อต่อไป เขาเรียกขันทีน้อยให้มาเป็นผู้ช่วย

จากรายชื่อและค้นหาตามลายแทง ช่วงที่ตรวจสอบมาถึงคนสุดท้าย ก็ได้ปักหมุดไว้รายชื่อหนึ่ง

คนผู้นั้นคือนางในจากตำหนักจิ่งซิ่ว

“ท่านพี่หลางเอ๋อร์กำลังปรนนิบัติพระสนมอยู่ ใต้เท้าสวี่ค่อยมาใหม่วันหลังเถอะขอรับ” ขันทีที่เฝ้าอยู่ปากประตูขวางสวี่ชีอันไว้

สวี่ชีอันเหลือบมองขึ้นไปบนท้องฟ้า กล่าวด้วยสีหน้าใจดี “เช่นนั้นข้าควรมาเวลาใดจึงจะดีหรือ”

ขันทีกล่าวเสียงเรียบ “ใครจะไปรู้เล่า พรุ่งนี้ค่อยมาก็แล้วกัน”

“คดีเร่งด่วน จะปล่อยให้ล่าช้าเช่นนี้ไม่ได้ ข้าแค่ต้องการทำความเข้าใจเรื่องราวจากคำพูดเพียงเล็กน้อย”

สวี่ชีอันหยิบธนบัตรห้าตำลึงออกมา “รบกวนขันทียืดหยุ่นให้ด้วย”

ขันทีเฝ้าหน้าประตูรับเงิน หันกลับเข้าไป และไม่ออกมาอีก

“จะรังแกกันมากไปแล้ว!” ขันทีน้อยโกรธจัด เอ่ยอย่างโกรธเคือง “ใต้เท้าสวี่ขอรับ ไอ้สารเลวนั้นมันแกล้งท่านขอรับ”

“หากข้าต้องการบุกเข้าไป จะเกิดอะไรขึ้น” ใบหน้าสวี่ชีอันไร้อารมณ์

“ไอหยา ไม่ได้นะขอรับ” ขันทีน้อยรีบเข้าไปขวาง พลางเอ่ยเตือน “การบุกเข้าไปในที่ประทับของพระสนมตำหนักหลังถือเป็นโทษมหันต์นะขอรับ”

สวี่ชีอันพยักหน้า หันกายเดินจากไป

ขันทีน้อยเดินตามเหยาะๆ พลางกล่าว “เช่นนั้นก็ช่างมันเถอะขอรับ ตอนนี้ก็ดึกแล้ว ใต้เท้ากลับไปก่อนเถอะขอรับ”

“ไม่ ข้าต้องการคิดบัญชีกับองค์หญิงหลินอัน”

…………………………………………………..