ตอนที่ 182-2 สมบัติลับ

ชายาเคียงหทัย

ถานจี้จือก็ไม่สนใจ ผินหน้าไปมองเยี่ยหลีที่ยืนอยู่อีกด้าน อมยิ้มแล้วเอ่ยกับนางว่า “พระชายา ที่นี่มีหลุมพรางอยู่เต็มไปหมด ข้าน้อยจะเชื่อใจพระชายาว่าจะไม่ทำให้วุ่นวายได้หรือไม่”

 

 

เยี่ยหลีลูบหน้าท้องเบาๆ ระบายยิ้มอย่างอ่อนโยน “ใต้เท้าถานวางใจเถิด ต่อให้ข้าไม่ห่วงชีวิตตัวเอง อย่างไรก็ต้องเป็นห่วงลูกน้อยในครรภ์”

 

 

ถานจี้จือพยักหน้าด้วยความพอใจ “ดีมาก ข้าน้อยเองก็ไม่อยากทำร้ายพระชายาและซื่อจื่อน้อยเช่นกัน และยิ่งไม่อยากเป็นศัตรูกับท่านติ้งอ๋องด้วย”

 

 

เมื่อได้รับคำยืนยันจากเยี่ยหลี ถานจี้จือจึงมิได้สนใจเรื่องอื่นอีก หันไปก้มตัวลงสำรวจประตูใหญ่ของตำหนัก เงาแมลงกลุ่มดำๆ ก่อนหน้านี้ สร้างความเสียหายให้กับประตูใหญ่ที่ทำจากหยกขาวบานนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว ประตูใหญ่ที่เคยขาวประดุจหิมะ ยามนี้เต็มไปด้วยรอยดำๆ และเป็นหลุมเป็นบ่อเต็มไปหมด

 

 

เยี่ยหลีเหลือบมองผลึกแก้วทรงกลมที่กลิ้งไปอีกด้านหนึ่ง มีเงาดำประหนึ่งหยกอยู่ด้านในอย่างเห็นได้ชัด ปริศนาบนประตูยังคงมีอยู่ ด้านล่างหยกสีดำประหลาดเหล่านั้น ยังมีหยกอยู่อีกชั้นหนึ่ง ครานี้ดูเหมือนถานจี้จือจะรับเอาบทเรียนจากท่านหมอหลินไปใช้ จึงมิได้ใช้มือสัมผัสกับหยกเหล่านั้นตรงๆ แต่นำกริชออกมาค่อยๆ ขยับตัวอักษรเหล่านั้นทีละตัว

 

 

การเรียงลำดับตัวอักษรทั้งแปดใหม่ ไม่ใช่เรื่องยากอันใด เพียงไม่นานถานจี้จือก็จัดเรียงจนเรียบร้อย จากนั้นได้ยินเสียงครึกครักสองครั้ง หยกก็แยกออกเป็นสองส่วนตกลงกับพื้น เผยให้เห็นรูกุญแจหน้าตาประหลาด บนกำแพงหยกขาวมิได้ลงแม่กุญแจไว้ มีเพียงรูกุญแจกลมๆ เท่านั้น

 

 

ถานจี้จือหันไปหาท่านหมอหลิน เอ่ยว่า “ท่านพ่อ ได้โปรดเอากุญแจให้ข้า”

 

 

ท่านหมอหลินมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยและนิ่งสงบ “ไม่มีกุญแจ”

 

 

ถานจี้จือขมวดคิ้ว ใบหน้าที่ดุดันดูไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด เขาย่อมไม่เชื่อว่าท่านหมอหลินไม่มีกุญแจ หากถามว่าในใต้หล้านี้ นอกจากตนเองแล้วมีผู้ใดที่รู้จักสุสานหลวงแห่งนี้ดีอีก คนผู้นั้นก็คือพ่อเลี้ยงที่เลี้ยงเขามาตั้งแต่เล็กจนโตอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะสิ่งที่เขารู้มาทั้งหมด ก็ได้เขาที่คอยเอ่ยให้ฟังมาตั้งแต่เล็ก

 

 

“ข้าขอลองดูได้หรือไม่” เมื่อเห็นสีหน้าถานจี้จือที่ยิ่งบึ้งตึงและย่ำแย่ลงเรื่อยๆ เยี่ยหลีจึงเอ่ยถามขึ้น

 

 

คนที่ยืนประจันหน้ากันอยู่ทั้งสองต่างอึ้งไป หันมองไปทางเยี่ยหลีพร้อมๆ กัน สายตาของถานจี้จือมีความตกใจและสงสัย ส่วนท่านหมอหลินดูคลางแคลงใจและเป็นกังวล

 

 

เยี่ยหลีค่อยๆ ก้าวเข้าไปข้างหน้า ก้มลงสำรวจรูกุญแจที่บนประตู นางก้มหน้าลงลอบยิ้ม เสดาะกุญแจ…ก็เคยเป็นทักษะหนึ่งที่ต้องมีติดตัว อีกอย่างกุญแจโบราณอันนี้… จู่ๆ เยี่ยหลีก็รู้สึกสนใจใคร่รู้ในปฐมฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งแคว้นแห่งราชวงศ์ก่อนขึ้นมาเสียแล้ว

 

 

เยี่ยหลียกมือขึ้นดึงปิ่นทองแดงหน้าตาธรรมดาๆ ที่เสียบอยู่บนศีรษะออกมา เอาเข้าไปเขี่ยเล่นในรู

 

 

ชายทั้งสองที่ยืนอยู่ด้านหลังมองสตรีตรงหน้าด้วยสายตาประหลาด หากว่าการที่ชายาติ้งอ๋องเก่งทั้งบุ๋นและบู๊เป็นเรื่องปกติธรรมดแล้วล่ะก็ เช่นนั้นการที่นางสามารถเสดาะกุญแจได้ก็คงเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจอย่างยิ่ง

 

 

เมื่อเห็นท่าทางนางที่ทำได้อย่างคล่องแคล่วสบายๆ แล้ว ถานจี้จือก็เกิดความรู้สึกขึ้นในใจว่า จอมโจรทั้งหลายในใต้หล้า ก็ไม่แน่ว่าจะสู้กับสตรีตรงหน้าผู้นี้ได้ อย่างน้อยตัวเขาเอง เพื่อที่จะเข้ามาภายในสุสานหลวงแห่งนี้ ก็ได้ศึกษาเรื่องค่ายกลและการลงกุญแจมาไม่น้อย แต่รูกุญแจตรงหน้านี้ กลับอยู่ในจุดที่มองเห็นอย่างชัดเจนจนนึกสงสัยว่าเป็นเช่นนี้จริงๆ หรือ

 

 

นางใช้เวลาไปประมาณหนึ่งเค่อ ก็ได้ยินเสียงครึกครักดังมาจากด้านใน เยี่ยหลีดึงปิ่นทองแดงกลับมาพร้อมก้าวถอยหลัง

 

 

ประตูหยกขาวส่งเสียงดังครืดคราด จากนั้นไม่นานประตูทั้งสองฝั่งก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากกันต่อหน้าต่อตาทั้งสาม พร้อมเผยให้ทั้งสามเห็นถึงส่วนที่เป็นใจกลางของสุสานหลวง

 

 

ภายในเป็นตำหนักขนาดใหญ่อันกว้างขวาง เห็นได้ชัดว่าก่อสร้างขึ้นโดยการจำลองตำหนักใหญ่ภายในพระราชวังในสมัยนั้น ไฟบูชาภายในตำหนักยังคงสว่างไสวอยู่เงียบๆ ภายในตำหนักอันกว้างใหญ่เป็นสีเหลืองทองอร่าม ทำให้ผู้คนรู้สึกปานประหนึ่งว่าตนยืนอยู่กลางพระราชวัง มิใช่ในสุสานเก่าแก่โบราณที่แสนจะอึมครึม

 

 

สายตาพวกเขากวาดไปรอบตำหนัก แต่กลับไม่เห็นโลงศพของปฐมฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ก่อนที่คิดว่าควรอยู่ในตำหนัก มีเพียงกล่องไม้กล่องหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะทรงพระอักษร และตรงหน้ามีภาพวาดเหมือนขององค์ฮ่องเต้ภาพหนึ่งแขวนอยู่ ซึ่งก็น่าจะเป็นองค์ปฐมฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ก่อนท่านนั้น

 

 

ถานจี้จือนิ่งไป ก่อนก้าวเข้าไปคุกเข่าลงต่อหน้าภาพวาด พร้อมก้มหัวคารวะอยู่หลายทีด้วยความเคารพ

 

 

เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้น หันมองท่านหมอหลินที่กำลังขมวดคิ้วมุ่น ดูเหมือนเขาไม่ได้คิดที่จะคุกเข่าคารวะฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ก่อนด้วยอีกคน

 

 

ถานจี้จือคุกเข่าคารวะบรรพบุรุษของตนเสร็จ ก็ลุกยืนขึ้น หันมองเยี่ยหลีพร้อมเอ่ยว่า “ชายาติ้งอ๋อง ท่านนี้คือบรรพบุรุษของข้า องค์ปฐมฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งแคว้นแห่งราชวงศ์ก่อน” ในน้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเคารพและเลื่อมใสศรัทธาในบรรพบุรุษ น้ำเสียงที่เอ่ยกับเยี่ยหลีฟังดูมีความโอ้อวดและภาคภูมิใจอยู่หลายส่วน

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้าตอบอย่างให้เกียรติ แล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ยินดีกับท่านด้วย ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว”

 

 

ถานจี้จือดูจะไม่สนใจท่าทีของนาง รีบสาวเท้าเดินขึ้นไปบนตำหนักใหญ่ มองกล่องไม้สีน้ำตาลแดงบนโต๊ะทรงพระอักษรด้วยสีหน้านิ่งอึ้ง เขากลั้นหายใจด้วยความระมัดระวัง เห็นได้ชัดว่านั่นคือสมบัติลับที่เขาเฝ้าตามหาด้วยความยากลำบาก

 

 

เยี่ยหลีจับจ้องกล่องไม้สีน้ำตาลแดงนั้นด้วยความสนใจ นางอยากรู้เสียจริงๆ ว่า สมบัติอันใดกันที่มีค่ายิ่งกว่าแก้วแหวนเงินทอง หยกและข้าวของโบราณที่กองพะเนินอยู่ทางด้านนอกนั่น

 

 

ถานจี้จือหันมองนาง เอ่ยยิ้มๆ ว่า “พระชายาเองก็อยากรู้หรือ เช่นนั้นขึ้นมาร่วมกันเปิดความลับที่แสนมีค่าอันนี้ด้วยกันดีหรือไม่”

 

 

เมื่อถานจี้จือเอ่ยกับนางด้วยสีหน้าประหนึ่งกำลังประทานรางวัลให้นางนั้น เยี่ยหลีเพียงยกมุมปากขึ้นยิ้ม “ไม่ต้องหรอก เชิญใต้เท้าถานตามสบายเถิด”

 

 

การที่เยี่ยหลีปฏิเสธ ทำให้เขารู้สึกผิดหวังไม่น้อย แต่สมบัติอันมีค่าที่อยู่ตรงหน้า ทำให้เขามองข้ามความไม่พอใจเล็กๆ นี้ไปได้อย่างสิ้นเชิง

 

 

ถานจี้จือกดสายตาลงมองเยี่ยหลีและท่านหมอหลินที่อยู่ด้านล่างด้วยสีหน้าอิ่มเอมใจ จากนั้นจึงค่อยๆ ยื่นมือไปเปิดกล่องนั้นออกดู โชคดีที่ครานี้ กล่องใบนั้นมิได้มีอันใดที่ทำให้ต้องปวดหัวอีก ถานจี้จือเปิดกล่องนั้นออกได้โดยง่าย

 

 

ถานจี้จือหยิบแท่นประทับหยกขึ้นมาด้วยความระมัดระวัง เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้น สิ่งนั้นน่าจะเป็นแท่นประทับหยกสืบทอดต่อแคว้นที่องค์ปฐมฮ่องเต้ทำขึ้นเมื่อพันปีก่อน ด้านบนสลักเป็นคำว่า “ด้วยบัญชาแห่งสวรรค์ ไพร่ฟ้าร่มเย็นชั่วนิรันดร์” ว่ากันว่าในยามนั้น ปฐมฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ก่อนได้รับแท่นประทับหยกนี้จริงๆ เพียงแต่หลังจากนั้น ฮ่องเต้องค์ต่อๆ มา กลับไม่มีผู้ใดนำแท่นประทับหยกนั้นออกมาให้ได้เห็นอีก หลังจากปฐมฮ่องเต้แห่งต้าฉู่ขึ้นครองราชย์ ก็ได้ให้คนพลิกพระราชวังเก่าของราชวงศ์ก่อนหาก็หาไม่พบ ดังนั้นในประวัติศาสตร์ยุคต่อๆ มา ต่างคิดกันไปว่า เรื่องที่ปฐมฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ก่อนได้แท่นประทับหยกสืบทอดแคว้นมานั้นเป็นเพียงข่าวลือผิดๆ เรื่องราวนี้จึงเหลืออยู่เพียงในประวัติศาสตร์ของชาวบ้านเท่านั้น

 

 

ถานจี้จือชูแท่นประทับหยกขึ้นด้วยความปลื้มปิติ สีหน้าดูมีความหลงไหลได้ปลื้มขึ้นหลายส่วน เขายืนอยู่ด้านบนปานประหนึ่งว่ายามนี้ ตนได้ครอบครองใต้หล้าและได้รวบรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งแล้วกระนั้น

 

 

จนเมื่อเขาตื่นจากอารมณ์มัวเมานั้นแล้ว ถึงได้เริ่มสำรวจแท่นประทับหยกในมือโดยละเอียด สีหน้าของเขา…ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นแข็งเกร็งขึ้น จากนั้นก็ค่อยๆ เผยความตื่นตระหนกให้ได้เห็น “เหตุใด…เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้!”

 

 

เยี่ยหลีมองด้วยความไม่เข้าใจ ระหว่างนั้นเขาจับแท่นประทับหยกพลิกไปพลิกมาอยู่ครู่ใหญ่ แล้วในที่สุดก็ถลึงตัวลุกขึ้น พร้อมกวาดทุกอย่างที่อยู่บนโต๊ะทรงพระอักษรลงกับพื้น จากนั้นก็เขวี้ยงแท่นประทับหยกตามลงมาอย่างไม่เสียดาย

 

 

“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้!”

 

 

เยี่ยหลีกะพริบตาปริบๆ ถอยหลบข้าวของที่หล่นลงมาจากด้านบน นางเหลือบมองแท่นประทับหยกที่กลิ้งมาหยุดข้างเท้าตน แล้วก้มลงหยิบขึ้นมาดูด้วยความระมัดระวัง ช่างเป็นหยกดีที่หาได้ยากจริงๆ ด้านบนแกะสลักเป็นลวดลายมังกร พร้อมด้วยตัวอักษรทั้งแปดตัวในตำนาน ไม่ว่าจะด้วยขนาดหรือรูปแบบ ล้วนไม่ต่างจากในบันทึกประวัติศาสตร์แม้แต่น้อย เพียงแต่…เหตุใดตรงมุมด้านขวาล่างของแท่นประทับหยกถึงได้มีตัวอักษรเขียนว่า “จำลอง” อยู่ตัวใหญ่เช่นนั้น?

 

 

ท่านหมอหลินที่ยืนอยู่ด้านข้าง หยิบกล่องไม้สีน้ำตาลแดงที่ถานจี้จือกวาดลงมาจากด้านบนขึ้น ภายในกล่องยังมีผ้าไหมอยู่อีกผืนหนึ่ง เยี่ยหลีผินหน้าไปเหลือบมอง เห็นเพียงว่าด้านบนมีตัวอักษรอยู่สองแถวที่เขียนเอาไว้อย่างโอหังว่า ลูกหลานอกตัญญูที่บังอาจบุกรุกเข้ามาในห้องสุสานของข้า ข้าจะบอกเจ้าหรือว่าแท่นประทับหยกสืบทอดแคว้นที่แท้จริงและสมบัติลับนั้นอยู่ที่ใด ด้านล่างยังมีตัวอักษรใหญ่ๆ สามตัวที่เขียนไว้อย่างเยาะหยันว่า… ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!

 

 

เยี่ยหลีถึงกับกระตุกมุมปากขึ้นอย่างอดไม่อยู่ หากได้เห็นสิ่งนี้แล้วนางยังไม่เข้าใจว่า ปฐมฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งแคว้นนี้มีความเป็นมาเช่นไร นางคงไม่ต้องมีชีวิตอยู่แล้ว เพียงแต่…คนอื่นๆ ทรยศบิดา แต่ปฐมฮ่องเต้ท่านนี้ กลับทรยศลูกหลานรุ่นหลังเข้าเสียได้

 

 

ถานจี้จือที่อยู่ด้านบน ย่อมต้องเห็นแผ่นผ้าในมือท่านหมอหลินแล้ว เขารีบกระโดดลงมาจากแท่นด้านบน ดึงแผ่นผ้าจากมือท่านหมอหลินไป จากนั้นสีหน้าของเขากลับทำให้เยี่ยหลีทนมองเขาต่อไปไม่ได้ ทายาทแห่งราชวงศ์ก่อนผู้ที่จิตใจเต็มไปด้วยความหวัง ถูกบรรพบุรุษของเขาหักหลังเข้าให้อย่างน่าสงสาร

 

 

แผ่นผ้าในมือถานจี้จือร่วงลงกับพื้น เยี่ยหลีได้แต่มองเขาเดินออกไปด้วยจิตใจอันเลื่อนลอยอย่างจนใจ นางผินหน้าไปเอ่ยกับท่านหมอหลินว่า “ท่านอาจารย์ เขาออกไปเช่นนี้ คงไม่เป็นอันใดกระมัง จิตใจของเขาไม่ค่อยเข้มแข็งเอาเสียเลย”

 

 

ท่านหมอหลินถอนใจยาว ก่อนเดินตามออกไป

 

 

เยี่ยหลีกัดฟัน ก้มลงหยิบแผ่นผ้าบนพื้นขึ้นมาดูด้วยความละเ**่ยใจ มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มจางๆ ก่อนเก็บแผ่นผ้านั้นเข้าในแขนเสื้อ

 

 

นางหันกลับไปมองชายในภาพวาดที่อยู่ในชุดฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ก่อนอีกครั้ง ก่อนหมุนตัวเดินตามออกไป หากให้สองคนนั้นออกไปก่อน นางคนเดียวคงออกไปไม่ได้ เพียงแต่…หากถานจี้จือยังมิได้ถูกบรรพบุรุษที่แสนแปลกประหลาดของเขาทำให้โกรธจนเป็นบ้าไปแล้วล่ะก็ เขาก็คงไม่ทิ้งนางไว้หรอก