ตอนที่ 197 ถนนสายยาวอาบไปด้วยเลือด (I)

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 197 ถนนสายยาวอาบไปด้วยเลือด (I)

เป็นคราแรกที่ฟู่เสี่ยวกวนได้เห็นซูซูเดือดดาลเยี่ยงนี้ และเหตุก็เกิดจากขนมปิ้งเพียงถุงเดียวเท่านั้น !

ชีวิตของตนเองราวกับมิสำคัญเหมือนกับขนมปิ้งถุงนั้นของซูซู ฟู่เสี่ยวกวนค่อนข้างหงุดหงิดเมื่อตระหนักถึงปัญหานี้ขึ้นมา

เอาเถอะ ในตอนนี้มิใช่เวลามาคิดเรื่องนั้น เพราะเหล่าทหารม้ามิมีทางหยุดลงเพียงเพราะนายพลล้มลง

พวกเขาทำตัวราวกับศพ เผชิญหน้ากับความโหดร้ายของซูซูโดยไร้ความหวาดกลัว

เมื่อขนมปิ้งถุงนั้นมิเหลือแล้ว ซูซูจึงมีมือว่างขึ้นมาอีกข้าง นางยืนอยู่ตรงกลางของถนนทางยาว ออกหมัดสะบัดเท้า เปลี่ยนความโศกเศร้าเป็นกำลัง พลิกคว่ำทหารม้าเกือบร้อยนายที่ปรี่เข้ามาแนบไปกับพื้น

หลังจากนั้นปัญหาก็เกิดขึ้น ซูซูถอยเท้าไปด้านหลังหนึ่งก้าว ถอนไปอีกก้าว ฟู่เสี่ยวกวนก็พบว่าพลังสีขาวจากหมัดของซูซูเริ่มน้อยลง และมิเหลือในที่สุด

นี่คือเหตุผลที่ปรมาจารย์การต่อสู้ไร้หนทางต่อการกับราชสำนัก

วิทยายุทธ์ของพวกเขาแข็งแกร่ง บางทีอาจจะต้านได้ถึงหนึ่งร้อย และอาจจะเป็นพัน แต่เมื่อเผชิญหน้ากับทหารม้าที่ต้องรับแรงปะทะครั้งแล้วครั้งเล่า พลังภายในของพวกเขาก็จะหมดลง หลังจากนั้นก็จะกลายเป็นปลาที่จะถูกฆ่าบนเขียง

“ย๊า…”

ซูซูไม่ทันระวังจนโดนบาดเข้าที่แขนซ้าย ฟู่เสี่ยวกวนสูดลมหายใจเข้าออกลึก ๆ และคำรามลั่น “ข้าเอง ! ”

ซูซูมิลังเล นางถอยไป 2 ก้าว ปรับลมหายใจและหวังว่าจะฟื้นพลังภายในได้โดยเร็วที่สุด

ถนนที่ยาวอย่างยิ่งเส้นนี้ เป็นถนนที่เก่าแก่มาก และมิได้กว้างขวางมากนัก หากทหารม้าจะพุ่งเข้ามาในสนามรบ ก็สามารถเข้ามาพร้อมกันได้แค่แถวละสามถึงสี่เท่านั้น

ฟู่เสี่ยวกวนหยิบดาบขึ้นมาและยืนหยัดอยู่เบื้องหน้าของซูซู สองขางอลงเล็กน้อย สองมือกุมดาบ และเผชิญหน้ากับทหารม้าที่ปรี่เข้ามาอีกครา เขามิปรี่เข้าไปปะทะกับเหล่าทหาร แต่เลือกที่จะเฉือนม้า

มิใช่หัวม้า แต่เป็นขาม้า

เขาโน้มกายต่ำลง ดาบของทหารบนม้าศึกมาไม่ถึงเขา ดาบของเขาจึงเฉือนเข้าที่ขาของม้าอย่างโหดเหี้ยม

ม้าศึกกรีดร้องและล้มลงไปกับพื้น ฟู่เสี่ยวกวนมิมีเวลาสนใจเหล่าทหารที่ตกลงมาจากหลังม้า เขาพุ่งจากซ้ายไปขวา และจัดการคว่ำม้าศึกทั้งสองด้านล้มลงไปกับพื้น

ทหารม้าที่อยู่ด้านหลังยังคงปรี่เข้ามา “ถอย” ฟู่เสี่ยวกวนตวาดลั่น เฉือนพลางถอยไปพลาง เผชิญหน้ากับม้าศึกที่ปรี่เข้ามา ทหารม้ารอบด้านต่างลุกขึ้นมาจากพื้น ฟู่เสี่ยวกวนก็ตกอยู่ในวงล้อมอย่างรวดเร็ว

เขาดูสงบนิ่งมากขึ้น ราวกับได้กลับไปยังสนามรบในชาติที่แล้ว โลหิตทั่วร่างเริ่มพลุ่งพล่าน ใบหน้าราวกับดูปราดเปรียวยิ่งขึ้น

เสียงเคร้งเคร้งดังขึ้น เขาสกัดดาบทั้งสองที่พุ่งมาทางด้านซ้ายไว้ได้ ย่อร่างลงไป ตวัดดาบออกไป เสียงฉั๊วะดังขึ้น และตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวน หน้าท้องของทหารนายหนึ่งก็ฉีกขาด เขากู่ร้องอย่างบ้าคลั่ง คิดจะยัดลำไส้กลับเข้าไปในท้อง แต่ทั้งหมดนั้นก็เสียแรงเปล่า

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เหลียวแลให้มากความ ดาบของเขาตวัดขึ้นไปด้านบน ปัดดาบทางด้านขวาออกไป และฉวยโอกาสผ่าลงไป จากนั้นทหารอีกนายหนึ่งก็ถูกดาบของเขาเฉือนตั้งแต่ไหล่จนถึงหน้าท้องและตายโดยที่ตายังมิปิดลง

แสงแดดยังคงอ่อนโยน

หยาดโลหิตสีแดงไหลลงบนพื้นถนนเป็นทางยาว

สีหน้าของฟู่เสี่ยวกวนสงบลงเรื่อย ๆ

เขารู้สึกเหมือนตนเองดำดิ่งลงไปในสภาวะหนึ่ง พวกทหารม้าเหล่านั้นในสายตาของฟู่เสี่ยวกวนแล้วเปรียบเหมือนตุ่นและมด แต่เขาในยามนี้เขาราวกับยมทูต ที่มาเก็บเกี่ยวชีวิตของตุ่นและมดเหล่านั้นอย่างไม่แยแส

มิรู้ว่าฟาดฟันดาบออกไปเท่าใดแล้ว และมิรู้เหมือนกันว่าเฉือนจนตายไปเท่าใด เสียงฉึกดังขึ้น ดาบของเขาก็เฉือนเข้าที่สะบักของทหารนายหนึ่ง คาดมิถึงว่าดาบจะหัก

มือกุมด้ามดาบไว้ เขาเหวี่ยงออกไปเต็มกำลัง แทงไปในลำคอของทหารนายหนึ่ง ทหารนายนั้นจับดาบที่แทงเข้าไปในลำคอและตกลงมาจากหลังม้าศึก

หนึ่งดาบเฉือนเข้าที่หลังของฟู่เสี่ยวกวน สายโลหิตพุ่งกระฉูด เขากลิ้งไปกับพื้น และหยิบดาบขึ้นมาได้สองด้าม

ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกล้าเล็กน้อย ราวกับจมอยู่ในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ เขาอยากจะคว้าบางสิ่งเอาไว้ แต่ก็พบว่าข้างกายนั้นมิมีแม้แต่เชือกฟาง

สองมือของเขาสะบัดดาบ วิถีของดาบกลายเป็นไร้ระเบียบ สองมือที่กำดาบเริ่มปวดร้าว สองขาของเขาก็เริ่มสั่นเทา

แรงมันถดถอย

ฟู่เสี่ยวกวนสะบัดหัวอย่างแรง เพื่อให้ตนเองยังตื่นตัว

แต่ด้านหลังของเขากลับมีทหารอีกนายหนึ่งที่กำลังย่องเข้ามาใกล้ ทหารผู้นั้นมิได้ฟาดลงมา แต่เป็นการแทง !

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้สังเกต เขายังคงติดพันกับทหารห้านายที่ปรี่เข้ามาทางด้านหน้า

หนึ่งจ้าง

หกฉื่อ

สามฉื่อ

สองมือของทหารผู้นั้นกุมดาบไว้แถวเอว ขอเพียงเข้าไปใกล้ได้อีกหนึ่งฉื่อ เขาเชื่อว่าหนึ่งดาบนี้จะสามารถแทงฟู่เสี่ยวกวนจนตายได้

ในตอนที่เขากำลังตื่นเต้นถึงขีดสุด ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเย็นวาบไปทั้งลำคอ ศีรษะของเขาปลิดปลิว ออกห่างจากร่างกาย ร่างของเขายังยืนอยู่ตรงนั้น ยังคงอยู่ในท่วงท่ากำดาบมิเปลี่ยนแปลง

แทงเขาจนตาย !

ในหัวของเขามีคำสั่งเกิดขึ้น แต่ร่างกายของเขามิสั่งการแล้ว

เขาอ้าปากอย่างคาดไม่ถึง ราวกับรู้สึกว่ามันยากที่จะเชื่อ

หัวของเขากลิ้งอยู่ในอากาศ ดวงตาของเขามองไปบนฟ้า แสงแดดในวันนี้ราวกับสว่างอย่างยิ่ง หลังจากนั้นสายตาของเขาก็มองไปบนหลังคา หิมะบนหลังคาที่ยังมิละลายขาวโพลนปกคลุมหลังคาจนมิด สุดท้ายสายตาของเขาก็จับจ้องไปบนพื้น

ที่พื้นมีน้ำ มีโคลน แต่พวกมันเป็นสีแดง แดงราวกับเลือด

ปึก ! ศีรษะของเขาตกกระทบพื้น ในดวงตาก็แดงราวกับเลือด

ปึก ! ร่างของเขาล้มลงไปกับพื้น ซูซูได้มาถึงข้างกายของฟู่เสี่ยวกวน

……

…..

ศาลาว่าการผู้ว่าจังหวัดจินหลิง

ฮุ่ยชินอ๋อง หยูเล่อซื่อจื่อกำลังนั่งตรงข้ามกับหนิงหยู่ชุน โดยไร้ซึ่งน้ำชา

“พอแล้ว” หนิงหยู่ชุนกล่าวออกมาสองคำด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ

หยูเล่อส่ายหน้า “มิพอ”

“เขาคือฟู่เสี่ยวกวน ! ”

“เขาคือน้องสามของข้า ! ”

“เรื่องที่องค์ชายสามกระทำได้ผ่านไปแล้ว”

“ถึงกระนั้น ฟู่เสี่ยวกวนก็จะมาสั่งสอนเขามิได้ ท่านขุนนางหนิง ศักดิ์ศรีของจวนฮุ่ยชินอ๋องหรือชีวิตของฟู่เสี่ยวกวนกันแน่ที่สำคัญ ? ”

หนิงหยู่ชุนเงียบไปเนิ่นนาน

ฮุ่ยชินอ๋องหยูหลินแห่งเมืองหลวงมีการดำรงอยู่ที่พิเศษ

ในฐานะที่เป็นโอรสคนเล็ก เขาได้รับความรักจากพระชนนีเป็นอย่างมาก ตามกฎระเบียบ ก่อนที่องค์รัชทายาทจะขึ้นครองบัลลังก์ แต่เดิมหยูหลินที่อยู่ในฐานะชินอ๋องสมควรถูกแต่งตั้งและให้ไปอยู่ในอาณานิคมของเขา แต่พระชนนีกลับแก้กฎระเบียบ เหตุผลก็เพราะจะได้มีโอรสในเมืองหลวงเพิ่มอีก 1 คน พระหทัยของพระนางจึงมีความสุขยิ่งขึ้น

แต่เดิมฮุ่ยชินอ๋องก็ปฏิบัติตามกฎระเบียบ แต่บุตรชายคนที่สามของเขาหยูจิ่งฟ่านกลับมิอยู่ในกฎเกณฑ์

ตามที่ฉินโม่เหวินได้เคยกล่าวไว้ ต่อให้หยูจิ่งฟ่านตายไปพันครั้งก็มิน่าเสียดาย แต่เหตุผลเป็นเพราะฮุ่ยชินอ๋อง เขาไม่เพียงแต่จะมิถูกลงทัณฑ์ แต่กลับทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น

คดีที่เกี่ยวกับหยูจิ่งฟ่านในศาลาว่าการเหนือและใต้อย่างน้อยก็มีถึง 23 คดี 18 คดีเป็นการปล้นสะดมหญิงสาว 3 คดีคือสังหารริมถนน อีก 2 คดีที่เหลือคือทำร้ายจนพิการ

ตระกูลหนิงมิใช่หนึ่งในหกตระกูลมีอำนาจแห่งเมืองหลวง ถึงแม้ปัจจุบันประมุขของตระกูลจะได้เป็นถึงไท่ฟู่ แต่หากเทียบกับจวนฮุ่ยชินอ๋อง ก็ไร้อำนาจวิเศษใด ๆ

ดังนั้นฮุ่ยชินอ๋องจึงส่งซื่อจื่อนำมาก่อน มิใช่เพื่อขอร้องให้องค์ชายสาม เพียงมาคอยจับตาหนิงหยู่ชุนเท่านั้น เพื่อห้ามมิให้เขาส่งเจ้าหน้าที่ออกไปทำลายเรื่องของฮุ่ยชินอ๋อง

ตอนนี้องค์ชายสามได้ถูกพาเข้าไปในจวนฮุ่ยชินอ๋องแล้ว ก่อนที่จะมาศาลาว่าการผู้ว่า หยูเล่อซื่อจื่อก็ได้เข้าไปหาอยู่ชั่วครู่ เป็นตายมิอาจทราบ สีหน้าของเสด็จพ่อเดือดดาลอย่างที่มิเคยเห็นมาก่อน

เยี่ยงนั้นเรื่องนี้ถ้าหากมิตายก็ยังคงมิจบ !

“ฟู่เสี่ยวกวนเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทอย่างมาก”

“แล้วเยี่ยงไร ? ฟู่เสี่ยวกวนตายไป ฝ่าบาทก็มิสามารถคุมขังน้องชายของตนได้ และร่างกายของพระชนนีก็ยังแข็งแรงอย่างมาก ไม่กี่วันที่ผ่านมาเสด็จพ่อของข้าก็ได้พาข้าเข้าวังไปเยี่ยมเยียน ยังสามารถทานข้าวได้ครึ่งชามในหนึ่งมื้อ”

“องค์หญิงเก้าก็อาจจะชอบพอกับเขา”

หยูเล่อเลิกคิ้วขึ้น “บุรุษในใต้หล้ามีมากมาย ผู้มีความสามารถที่มีพรสวรรค์ก็มากล้น ระหว่างพวกเขามิได้มีสัญญาหมั้นหมาย ดังนั้นแม้ว่าองค์หญิงเก้าจะสนใจในตัวฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนตายไป อย่างมากที่สุดนางก็แค่เสียใจประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น เจ้าว่าข้ากล่าวถูกต้องหรือไม่ ? ”

“บางทีพระองค์อาจจะกล่าวได้ถูกต้อง…” หนิงหยู่ชุนลุกขึ้นยืน “แต่กระหม่อมต้องทำอันใดสักอย่าง”

หยูเล่อคิ้วขมวด และลุกขึ้นยืนเช่นกัน “เก็บศพได้ แต่ห้ามขัดขวาง ทำเหมือนกับเรื่องที่หอชิงเฟิงซี่หยู่ ณ ตรอกชิงหลวนเมื่อปีก่อน”

“หากกระหม่อมต้องขัดขวางให้ได้เล่า ? ”

หยูเล่อเงียบไปหลายอึดใจ หนิงไท่ฟู่เดินเข้ามาจากทางด้านนอก

“นั่งลง ! ”

……

…..

สวนต้นบ๊วยภายในสวนดอกไม้ด้านหลังวังเตี๋ยอี๋

คิ้วขององค์ชายห้าหยูเวิ่นเต้าขมวดนิ่ว แต่พระสนมซั่งกลับกำลังชื่นชมต้นบ๊วยที่สวยสดอย่างใจเย็น

“หากยังมิไป ลูกเกรงว่าจะมิทันการณ์แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“แสงแดดในหน้าหนาวของจินหลิงมีมิมากนัก เจ้าดูดอกบ๊วยนี่สิ สีสันสวยสดอย่างยิ่งใช่หรือไม่ ? ”

“เสด็จแม่…”

“มือสังหารทั่วไปมักจะลงมือในวันที่ฝนตกหรือไม่ก็คืนเดือนมืด เพราะการสังหารเยี่ยงนั้นเป็นการกระทำที่ต่ำเล็กน้อย ข้ากลับชื่นชมฮุ่ยชินอ๋อง คาดมิถึงว่าเขาจะสังหารในเวลาที่แดดจ้าเยี่ยงนี้ นี่ถือได้ว่าเป็นการสังหารที่ค่อนข้างมีศิลปะ…”

พระสนมซั่งหันกลับมามองหยูเวิ่นเต้า “เจ้าคิดว่าเขาจะสิ้นชีพเยี่ยงนั้นรึ ? ”

“ทหารม้า 400 นายเป็นของจวนฮุ่ยชินอ๋องที่ได้รับการฝึกฝนมาแบบกองทัพ มีแค่เพียงฟู่เสี่ยวกวนและสตรีนามซูซูผู้นั้น พวกเขาต้านมิไหวอยู่แล้ว”

“ใครบอกเจ้าว่ามีเพียงพวกเขาเพียงสองคนกัน ? ”

“…ยังมีใครอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”

“เจ้ามองสำนักเต๋าต่ำไปแล้ว” พระสนมซั่งหันหลังไปหยิบผลบ๊วยจากต้นบ๊วย “สำนักเต๋าจะเผยตัวในช่วงเวลาของความโกลาหล นี่คือประเพณีที่สืบทอดมานับพันปีของสำนักเต๋า และในตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าความโกลาหลนั้นจะมาเยือนแล้ว ในเมื่อสำนักเต๋าเลือกฟู่เสี่ยวกวนแล้ว เจ้านิกายสำนักเต๋าก็จะมิยอมให้ฟู่เสี่ยวกวนตายเป็นแน่”

“มิใช่แม่ห้ามมิให้เจ้าไปช่วยฟู่เสี่ยวกวน แต่กำลังมองดูอยู่ ว่าท้ายที่สุดแล้วสำนักเต๋าส่งลูกศิษย์มากี่ราย และอยากจะมองดูว่าฮุ่ยชินอ๋องจะจัดเก็บหมากรุกในตอนท้ายเยี่ยงไร มิใช่ว่าพระชนนีปกป้องเขาอยู่เยี่ยงนั้นหรือ หากเขามิกระทำการสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ก็ไร้หนทางที่จะขับไล่เขาออกไปจากเมืองหลวงแล้ว”

“เจ้าไปดูที่ศาลาว่าการผู้ว่าจินหลิงเถอะ จำไว้ เพียงดู มิต้องพูดเรื่องอะไรทั้งนั้น และมิต้องถามถึงอันใดทั้งสิ้น”

……

…..

ถนนยาวสิบลี้เต็มไปด้วยเลือด !

ซูซูและฟู่เสี่ยวกวนตกอยู่ในศึกนองเลือด คาดมิถึงว่าทหารม้า 400 นายจะถูกพวกเขาสองคนสังหารไปแล้วถึงครึ่งหนึ่งโดยที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่

ยามนี้ร่างของทั้งสองต่างอาบไปด้วยเลือด มีทั้งเลือดของตนเอง แต่ส่วนมากเป็นของศัตรู

ดวงตาของฟู่เสี่ยวกวนในยามนี้เป็นสีแดงไปแล้ว แต่เขายังคงให้ตัวเองรักษาความสงบนิ่งเอาไว้อย่างเต็มกำลัง บังคับให้แรงของทุกส่วนยังสามารถใช้ในสถานที่ที่สำคัญที่สุดได้

ใบหน้าละเอียดลออของซูซูเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ เป็นแสงระยิบระยับภายใต้แสงแดดที่ส่องมา

“เจ้าว่า…พวกเราจะตายตกที่นี่หรือไม่ ? ”

“สบายใจเถิด มีข้าอยู่ เจ้ามิตายหรอก ! ”

ซูซูหัวเราะคิกคัก ลอบคาดมิถึงว่าชายผู้นี้ที่ยังมิได้เข้าสู่หนทางวิทยายุทธ์ก็กล้าพ่นคำพูดที่บ้าระห่ำเยี่ยงนั้นออกมา

แต่ชายผู้นี้ก็ถือว่าค่อนข้างยอดเยี่ยม คาดมิถึงว่าจะสังหารไปมิน้อย โดยที่ไม่กะพริบตา

ทหารม้าที่อยู่ตรงหน้ามิให้โอกาสพวกเขาได้หายใจ ทหารม้าที่เหลืออยู่ 200 นายปรี่เข้าในถนนเส้นยาวนี้อีกครา !

เสียงเกือกม้าห้อตะบึง ราวกับเสียงกลองรบของพญายม !