บทที่ 579 ขอยืมชั่วคราว
ประมุขผู้นี้มีอำนาจมากถึงขนาดพูดกับผู้อื่นเช่นนี้เลยทีเดียว ทว่าในตอนนั้นจู่ๆ หนิงเมิ่งเหยาก็หยิบของบางอย่างออกมา เมื่อเขาเห็นมัน ดวงตาของประมุขซ่งถึงกับเบิกกว้าง
“นี่มัน… เป็นไปได้อย่างไร”
ป้ายในมือของหนิงเมิ่งเหยานั้นไม่ต่างจากป้ายธรรมดาทั่วไปเลยแม้แต่น้อย ทว่าตรงกลางของป้ายมีตัวอักษร ‘โม่’ เขียนด้วยน้ำหมึกเอาไว้
ประมุขซ่งรู้ชัดเจนแจ่มแจ้งว่าคำนั้นหมายความว่าอย่างไร มันหมายถึงตระกูลโม่
เมื่อมองคนสองคนเบื้องหน้าเขา บนใบหน้าของประมุขซ่งก็ปรากฏสีหน้าแปลกๆ ขึ้นมา เป็นไปได้หรือไม่ว่าสองคนนี้มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลโม่
เมื่อคิดเช่นนั้น ประมุขซ่งก็รู้สึกกระวนกระวาย เขาทำตัวเสียมารยาทกับคนทั้งสองไปเสียแล้ว พวกเขาจะต้องทำให้เขาลำบากแน่ ประมุขซ่งใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงหัวเราะขึ้น “โอ้ พวกท่านคงเป็นท่านชายและท่านหญิงจากตระกูลโม่ ข้าไม่รู้เลยว่าวันนี้จะมีแขกผู้ทรงเกียรติมาเยี่ยมเยียนที่นี่ ข้าขอต้อนรับพวกท่านแทนตระกูลซ่งด้วยขอรับ ข้าจะรับรองท่านทั้งสองอย่างดี”
จุดประสงค์ของประมุขซ่งนั้นชัดเจน เขาอยากพาทั้งสองกลับไปยังตระกูลซ่ง
หนิงเมิ่งเหยามองเขา “ท่านพี่ ไปกันเถอะ ใครที่กล้าขวางทางพวกเรา จับพวกมันฆ่าทิ้งเสียให้หมด”
“ได้ตามที่เจ้าว่า”
เฉียวเทียนช่างยกแส้ในมือขึ้นสูง ก่อนฟาดมันลงอย่างหนัก ม้าควบตะบึงออกไปข้างหน้า ประมุขซ่งคิดอยากขวางทางพวกเขาแต่ลูกดอกรูปทรงใบไม้หลายใบพลันพุ่งออกมาจากรถม้า
เมื่อเห็นลูกดอกพวกนั้น ประมุขซ่งจึงไม่กล้าไล่ตามพวกเขาไป ภายในตระกูลโม่มีคนผู้หนึ่งที่เชี่ยวชาญการทำลูกดอกจากใบไม้อยู่ คนผู้นั้นคือแม่นางเว่ยลั่ว นางทิ้งเหมียวเจียงไปเมื่อหลายปีก่อน และตั้งแต่นั้นก็ไม่เคยกลับมาเยือนที่นี่เลยสักหน เขาไม่คิดเลยว่าวันนี้จะได้พบกับนางเข้า
เขายกมือขึ้นจับแก้มที่ถูกลูกดอกบาด เมื่อมองดูก็เห็นว่ามีเลือดติดนิ้วตนมาด้วย ดวงตาของประมุขซ่งเต็มไปด้วยความหวาดผวา โชคดีที่แม่นางเว่ยลั่วไม่ได้เล็งมาที่เขา มิฉะนั้นชีวิตของเขาคงต้องจบสิ้นแน่
เมื่อมองรถม้าของหนิงเมิ่งเหยาเคลื่อนห่างออกไป ประมุขซ่งก็รู้สึกโล่งใจ
“ท่านประมุข คนผู้นั้นคือใครหรือขอรับ”
“พวกเจ้าไม่ต้องถามให้มากความ หากครั้งหน้าเจ้าเห็นพวกเขาอีก ให้อ้อมไปอีกทางเสีย” เมื่อมองดูใบไม้ที่ถูกพับอย่างชำนาญพวกนั้น และนึกถึงสถานะของแม่นางเว่ยลั่วภายในตระกูลโม่แล้ว นางนับว่าเป็นอัจฉริยะคนถัดจากท่านโม่หลิวเลยทีเดียว
หากเขากล้าลงมือขัดขวางแม่นางเว่ยลั่ว คงไม่ต้องสงสัยเลยว่านั่นเป็นการขุดหลุมฝังศพให้ตัวเองชัดๆ
แม้แต่พระชายาแห่งเหมียวเจียงก็คงไม่อาจช่วยเหลือตระกูลซ่งได้
เฉียวเทียนช่างมองประมุขซ่งที่ยืนอย่างนอบน้อมอยู่ตรงจุดนั้นแทนที่จะไล่ตามพวกเขาด้วยสายตาแปลกใจ “เหยาเหยา เจ้าทำอะไรลงไป เหตุใดเขาจึงไม่ตามพวกเรามา”
ทั้งที่เมื่อครู่เขายังโกรธจนควันออกหูอยู่ แต่ตอนนี้กลับเปลี่ยนท่าทีไปแทบจะในทันที ช่างประหลาดยิ่งนัก
“ข้าแค่ยืมอาวุธจากศิษย์น้องในบ้านท่านปู่ไกว้มาก็แค่นั้น” นางเอาใบไม้ในมือของตนให้เฉียวเทียนช่างดู
เฉียวเทียนช่างมองใบไม้ ก่อนหยิบมันขึ้นมาไว้ในมือตัวเอง เขามองมันอย่างละเอียด รอยพับบนใบไม้พวกนี้ดูพิเศษกว่าสิ่งใดที่เขาเคยเห็น
“ท่านปู่ไกว้สอนเจ้าทำสิ่งนี้หรือ”
“ใช่แล้ว ท่านปู่ไกว้เคยบอกว่าเขาอยู่ตัวคนเดียวมาตลอด ไม่มีครอบครัว แต่ข้าไม่คิดว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นเรื่องจริงหรอก แม้ว่าแซ่เขาจะเป็นโม่ และคนผู้นั้นจะแซ่เว่ย แต่ข้าคิดว่ามีสายสัมพันธ์อันยิ่งใหญ่คล้องอยู่ระหว่างพวกเขาแน่ ยิ่งตอนที่ท่านปู่ไกว้เล่าเรื่องเด็กสาวชื่อเว่ยลั่วให้ข้าฟัง สายตาและดวงตาของเขาโกหกใครไม่ได้หรอก พวกเขาจะต้องมีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นซึ่งกันและกันอย่างแน่นอน” เมื่อนึกถึงช่วงเวลาที่ท่านปู่ไกว้สอนนาง สีหน้าและคำพูดของเขานั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกรักใคร่เอ็นดู
เฉียวเทียนช่างส่งใบไม้คืนให้หนิงเมิ่งเหยา “เป็นประโยชน์ยิ่งนัก”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น”
เขาพอจะเข้าใจความรู้สึกของท่านปู่ไกว้อยู่บ้าง เขาเพียงแค่กลัวว่าจะทำให้ตัวเองต้องเจ็บปวดและเสียใจ
พวกเขาบังคับรถม้าห่างออกไปเรื่อยๆ เมื่อใกล้ถึงเมือง อุณหภูมิในร่างของเด็กน้อยที่เป็นไข้ก็ค่อยๆ ลดลง
หนิงเมิ่งเหยาจับหน้าผากของเขา ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความกังวล หากอาการไข้ของเด็กผู้นี้ยังแย่ลงอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ จะต้องมีปัญหาแน่
“เทียนช่าง เด็กนี่อาการไม่ค่อยดีนัก” หนิงเมิ่งเหยารู้สึกจนปัญญา
นางเอายาที่ชิงซวงเตรียมไว้ให้เขากินไปแล้วสองสามเม็ด แต่ดูเหมือนว่ายาจะออกฤทธิ์ได้ไม่ดีเท่าใดนัก ราวกับว่าเด็กชายได้ละทิ้งความหวังไปจากใจเสียแล้ว
เฉียวเทียนช่างรู้สึกปวดหัวขึ้นมาเช่นกัน “หาที่พักกันก่อนเถอะ จากนั้นค่อยพาเขาไปหาหมอ”
“อืม คงเป็นสิ่งเดียวที่พวกเราทำได้ในตอนนี้” หนิงเมิ่งเหยาพยักหน้าอย่างจนใจ
ทั้งสองเข้าไปพักในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง พวกเขาบอกให้เสี่ยวเอ้อร์จัดหาหมอฝีมือดีที่สุดของเมืองมาให้ หลังจากนั้นจึงเดินขึ้นไปด้านบนเพื่ออาบน้ำให้ลูก
เฉียวโม่ซางกำลังหลับสนิท สนิทเสียจนขนาดที่ว่าหนิงเมิ่งเหยาทิ้งเขาลงบนเตียงแล้วก็ยังไม่ตื่น
“เหยาเหยา หยุดโยนลูกเสียที” เฉียวเทียนช่างเอ่ยขึ้นอย่างจนปัญญาขณะมองปากของเด็กชายที่เม้มเข้าหากันแน่น ราวกับว่าเขากำลังจะร้องไห้
“เขาคงรู้สึกไม่สบายตัวแน่หากยังหลับอยู่เช่นนี้” หนิงเมิ่งเหยาเองก็ไม่ได้อยากโยนเจ้าลิงน้อยแบบนี้เช่นกัน
บทที่ 580 จำอะไรไม่ได้สักอย่าง
เจ้าลิงน้อยต้องอาบน้ำเป็นประจำทุกวันตั้งแต่ยังเล็ก แม้อากาศจะหนาว แต่หนิงเมิ่งเหยาก็จะเช็ดตัวของเขาด้วยน้ำอุ่น เพื่อให้เขาหลับสบาย หากตอนนี้นางไม่ได้ขัดขี้ไคลให้เขาสักนิด เขาคงหลับไม่สบายตัวแน่
“ข้าจะไปดูเด็กเสียหน่อย” เฉียวเทียนช่างเห็นหนิงเมิ่งเหยานั่งลงข้างเตียงและเริ่มร้องเพลงกล่อมลูกนอน เขาจึงเดินมายังอีกเตียง เพื่อดูอาการของเด็กผู้นั้น ใบหน้าของเด็กน้อยยังคงแดงจัดเพราะพิษไข้
เฉียวเทียนช่างจับศีรษะของเด็กชาย อุณหภูมิในตอนนี้ร้อนยิ่งกว่าเดิมเสียอีก เขารีบออกไปเรียกเสี่ยวเอ้อร์ให้เตรียมหม้อใส่เหล้าต้มให้ทันที เขาใช้เหล้าพวกนั้นช่วยลดไข้ให้เด็กชายขณะรอหมอมา
ใช้เวลากว่าหนึ่งก้านธูปกว่าไข้ของเด็กชายจึงค่อยๆ ทุเลาลง
หนิงเมิ่งเหยารอให้เฉียวโม่ซางหลับก่อน จากนั้นนางจึงเดินมายังอีกเตียงเพื่อดูอาการเด็กชายผู้นั้นบ้าง นางถามขึ้นว่า “อาการเขาเป็นอย่างไรบ้าง”
เฉียวเทียนช่างส่ายหน้าช้าๆ “ไม่ดีนัก”
หนิงเมิ่งเหยาขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น นางทั้งรู้สึกเป็นห่วงและกระวนกระวายใจยิ่งนัก “แล้วเราควรทำอย่างไรกันดี”
“เราทำได้เพียงรอให้หมอมาดูอาการของเขา ตอนนี้เรายังวินิจฉัยอาการของเขาไม่ได้หรอก”
ร่างของหนิงเมิ่งเหยาเกร็งขึ้นเล็กน้อย แต่สุดท้ายนางก็พยักหน้าอย่างจนปัญญา “เจ้าพูดถูก ตอนนี้เราทำได้เพียงแค่นั้น”
ผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น เฉียวเทียนช่างเดินไปเปิดประตู เสี่ยวเอ้อร์ยืนอยู่ด้านนอก ด้านหลังของเขามีชายแก่เจ้าของใบหน้าถมึงทึงยืนอยู่ ชายผู้นี้น่าจะเป็นหมอ
“หมอที่ท่านต้องการมาแล้วขอรับ ท่านหมอเฉินเป็นหมอฝีมือดีที่สุดในเมืองของเรา” เสี่ยวเอ้อร์กล่าวอย่างรวดเร็ว
“ขอบใจมาก” หลังจากนั้นเขาจึงส่งเงินให้กับเสี่ยวเอ้อร์เป็นรางวัล
“ท่านหมอเฉิน เชิญขอรับ” ท่าทีอันนอบน้อมของเฉียวเทียนช่างทำให้อารมณ์ของหมอเฉินดีขึ้น
เฉียวเทียนช่างปิดประตูแล้วเดินตามท่านหมอเข้าไป
หลังจากท่านหมอเฉินตรวจชีพจรของเด็กชาย เขาจึงมองทั้งสองแล้วเอ่ยขึ้นว่า “หากไม่ใช่เพราะยาที่เจ้าให้เขากิน ป่านนี้เขาคงตายไปแล้ว แม้ไข้ของเขาจะค่อยๆ ทุเลา แต่ร่างกายของเขาอ่อนแอยิ่งนัก อีกทั้งหัวใจของเขายังอยู่ในอาการสิ้นหวัง ข้าจะจัดยาให้เจ้า ให้เขากินทุกวัน วันละหนึ่งซอง หากเขาตื่นขึ้นมาแล้วให้พาเขามาเปลี่ยนยาที่สำนักแพทย์ หากเขาไม่ตื่นขึ้นมาก็ให้กินยาต่อไปเรื่อยๆ” หมอเฉินว่าพลางเขียนรายชื่อยาใส่กระดาษ เขามีสีหน้าจริงจังยิ่งนัก
เฉียวเทียนช่างถือรายชื่อยาไว้ในมือ แล้วจึงมองหนิงเมิ่งเหยา “เหยาเหยา เจ้าดูแลเด็กทั้งสอง ส่วนข้าจะออกไปซื้อยา”
“ได้” หนิงเมิ่งเหยาพยักหน้าก่อนจะพยักพเยิดบอกให้เขาไป
เฉียวเทียนช่างกลับมาหลังผ่านไปกว่าหนึ่งก้านธูป เขาถามเสี่ยวเอ้อร์ว่าจะต้มยาได้ที่ไหน หลังจากที่นำยาป้อนให้เด็กชายกินเป็นที่เรียบร้อย ทั้งสองจึงเข้านอน
รุ่งสางวันถัดมา เฉียวเทียนช่างตื่นขึ้นเพราะลูกของตน
เท้าของเด็กน้อยถีบเข้าที่หน้าเขา ก่อนที่เฉียวเทียนช่างจะสัมผัสได้ว่าตัวเขาเปียกปอนไปด้วยปัสสาวะจากลูกชายตน ไม่จำเป็นต้องมองเลยว่าสภาพของตัวเองในเวลานี้นั้นเป็นเช่นไร
เฉียวเทียนช่างทำได้เพียงอุ้มเด็กน้อยขึ้นมากอดไว้ในอ้อมอก เขาบีบปลายจมูกเล็กๆ ของลูกชายก่อนเอ่ยว่า “เจ้าเด็กไม่ดี”
“พ่อ…” เมื่อเห็นว่าบิดาของตนตื่นแล้ว ดวงตาของเฉียวโม่ซางก็เป็นประกายสดใส มือของเขาขยับขึ้นลง เมื่อเห็นลูกชายกระฉับกระเฉงถึงเพียงนี้ เฉียวเทียนช่างจึงหลับไม่ลงอีกต่อไป เขาอุ้มเด็กน้อยขึ้นแล้วพาเขาออกไปเล่นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจัดการอาบน้ำแต่งตัวให้เสียใหม่
หลังจากนั้นเขาจึงพาลูกไปหาเด็กอีกคนที่อยู่ห้องถัดไป
เฉียวโม่ซางดูจะสนใจเด็กชายอายุมากกว่าที่นอนอยู่บนเตียงยิ่งนัก เขาส่งเสียงออกมาด้วยความตื่นเต้นพลางชี้นิ้วใส่เด็กคนนั้น
“เบาๆ หน่อย อย่ากวนพี่เขา” เฉียวเทียนช่างบิดแก้มของบุตรชายแล้วเอ่ยเตือน
ตอนที่เฉียวเทียนช่างตั้งใจว่าจะพาเฉียวโม่ซางไปหาหนิงเมิ่งเหยา บานประตูก็ถูกเปิดออก แล้วหนิงเมิ่งเหยาก็ก้าวเข้ามาข้างในพร้อมอาหารหลายอย่าง บนถาดมีถ้วยใส่ยาวางอยู่ด้วย
เฉียวเทียนช่างเดินเข้าไปหานางแล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “เหตุใดเจ้าจึงตื่นเช้านัก”
“พอข้าตื่นก็เลยหลับไม่ลง มากินข้าวกันเถอะ ข้าจะป้อนยาให้เด็กผู้นี้กินด้วย” หนิงเมิ่งเหยาปล่อยให้พวกเขาลงมือกินข้าวกันก่อน ส่วนตัวนางเองนั้นเดินไปยืนอยู่ข้างเตียงของเด็กชายผู้นั้น จากนั้นนางจึงป้อนยาให้เขา
ผ่านมาสองวัน แต่เด็กชายก็ยังไม่ได้สติ จนกระทั่งถึงวันที่สาม เฉียวเทียนช่างวางลูกไว้บนเตียงตอนที่เขากำลังจะเข้าไปอาบน้ำ ทว่าหลังจากนั้นกลับมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น
เขาไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเฉียวโม่ซางส่งเสียงเอะอะอยู่ด้านข้างเด็กคนนั้น และทึ้งผมของเขาไม่หยุดหรือไม่ ในขณะที่เฉียวเทียนช่างปรี่เข้าไปอุ้มเฉียวโม่ซาง เขาสังเกตเห็นว่าดวงตาของเด็กชายบนเตียงสั่นไหวเล็กน้อย
ทันใดนั้น เด็กชายคนนั้นก็ลืมตาตื่นขึ้นมา ดวงตาอันกลมโตสุกใสคู่หนึ่งจ้องมองเฉียวเทียนช่าง แล้วจากนั้นจึงถามขึ้นว่า “ท่านเป็นใคร แล้วข้าเป็นใครกัน”