บทที่ 33.1 ถูกสวมเขาอีกแล้ว! (1)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

บทที่ 33 ถูกสวมเขาอีกแล้ว! (1) Ink Stone_Romance

ซูหลินรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที

“ซื่อ…” สาวใช้หมอบอยู่บนพื้น นางลุกลี้ลุกลนอยากจะร้องตะโกน

นัยน์ตาเย็นเยียบของซูหลินจ้องมองมาอย่างคมกริบ นางยิ่งเหมือนถูกบางอย่างปิดปากอย่างกะทันหันจนเสียงติดค้างอยู่ในลำคอ

ซูหลินที่กำลังเกิดความสงสัย เขาสาวเท้าเข้าไปในเรือนอย่างรวดเร็ว ทว่าเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็อารมณ์เดือดพล่านจนเลือดขึ้นหน้าในชั่วพริบตา

มีเสียงผู้หญิงหัวเราะเสียงต่ำดังอยู่ในห้องที่อยู่ข้างห้องโถงใหญ่ แต่ก็อาจเป็นแค่เสียงร้องไห้ก็ได้ ทว่าบางทีมีเสียงห้าวหอบหายใจของผู้ชายกับเสียงหยอกล้ออย่างน่ารังเกียจที่สุดปะปนมาด้วย

“อย่า…เบา…เบาหน่อย…อ๊ะ…”

“ไม่เป็นไรหรอก บอกว่าไม่มีใครเข้ามาเวลานี้ไม่ใช่หรือ?”

“อุ๊ย…อย่ากัด…อย่าทิ้งร่องรอยไว้บนตัวข้า…จะ…จะถูกเห็นเข้า…อื้อ…”

“เขาไม่แตะต้องเจ้าสักหน่อย จะกลัวอะไร!”

เสียงในห้องนั้นค่อนข้างรุนแรงทีเดียว ราวกับเสียงโต๊ะเก้าอี้เตียงขยับเสียดสีกันไม่หยุด

ซูหลินรู้สึกความโกรธโมโหปะทุจนถึงขีดสุดและขาดสติไปในทันที

สาวใช้ด้านหลังเพิ่งจะรวบรวมความกล้าพอที่จะกระโจนเข้ามาหยุดได้ แต่เขาพุ่งปราดเข้าไปถีบประตูเปิดแล้ว

กลิ่นความเหลวแหลกเข้มข้นในห้องนั้นลอยมาปะทะหน้า แต่ภาพที่เห็นนั้นยิ่งเกินกว่าที่คาดไว้โดยสิ้นเชิง…

ชายสองหญิงหนึ่ง!

คนข้างในตกใจจนเสียงขยับตัวขาดหายไปอย่างฉับพลัน

ฉู่หลิงซิ่วกึ่งพันกายด้วยเสื้อคลุมตัวใหญ่เนื้อบางจนแทบใส่เป็นเสื้อผ้าไม่ได้ นางเกี่ยวเสื้อผ้าไว้แค่บนแขนเท่านั้น สีหน้าท่าทางเคลิบเคลิ้มไปทั้งตัว ท่าทางมีความสุขมาก

พอเห็นซูหลินถีบประตูเข้ามา ชายคนที่อยู่บนตัวนางก็ขยับตัวออกไปอย่างว่องไว และรีบควานหาเสื้อผ้าที่ตกอยู่บนพื้นอย่างตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูก

ชายร่างกำยำที่เปลือยครึ่งท่อนอีกคนรีบคว้าขอบกางเกงหลวมโพรกไว้ แล้วตัดสินใจจะกระโจนออกไปทางหน้าต่างด้านหนึ่ง

เลือดทั้งกายซูหลินไหลพลุ่งพล่าน เขาคว้าชั้นไม้ที่วางแจกันดอกไม้เอาไว้ใกล้มือติดมือมาด้วยแล้วพุ่งเข้าหาทันที

คนนั้นที่เพิ่งเปิดหน้าต่างออกก็ถูกเขาฟาดหลังศีรษะอย่างแรง

ชั้นวางไม้หวงฮวาหลี[1]แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ เต็มพื้น

เลือดไหลอาบเต็มศีรษะและใบหน้าของชายผู้นั้น ร่างของเขาเซไปเซมาแล้วล้มจมกองเลือดดังโครมไปในทันใด

“อ๊า…” ฉู่หลิงซิ่วพึ่งจะได้สติท่ามกลางความวุ่นวายในตอนนั้นเอง ตกใจจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่างทันที นางกอดอกไว้แล้วกรีดร้องเสียงแหลม

ชายที่หมอบอยู่บนพื้นก็ตกใจจนสองขาอ่อนยวบเช่นกัน เขาคลำหากางเกงอย่างลนลานอยากจะสวมใส่

ซูหลินหันตัวกลับปราดเข้าไปหา แล้วยกเท้าถีบเขาล้มคว่ำลงไปบนพื้นโดยไม่อธิบายสิ่งใด

คนนั้นกลิ้งหลุนๆ ลงไปบนพื้น และรีบร้องขอชีวิตด้วยหน้าซีดเผือด “ซื่อจื่อไว้ชีวิตด้วย!”

ยังไม่ทันพูดจบ ซูหลินก็ประชิดตัวเข้าไปอีก เขาไม่พูดไม่จาเหยียบลงไปบนกล่องดวงใจของชายผู้นั้น

ชายฉกรรจ์ร้องอย่างน่าสงสาร เจ็บจนเหงื่อตกท่วมตัว ตาเหลือกและเป็นลมสลบไปทันที

แต่ความโมโหยังไม่หายไปจากใจง่ายๆ เขาจึงขยี้ด้วยส้นรองเท้าอย่างแรงไปอีกจนเลือดออก

ฉู่หลิงซิ่วขดตัวอยู่บนเตียงนอนไม่ใหญ่นักอย่างหน้าซีดไร้สีเลือด นางชะงักงันไปทั้งตัวจนลืมไปว่าตนเองไม่ได้สวมเสื้อผ้า ทำได้เพียงเบิกตามองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างหวาดหวั่นเท่านั้น

ซูหลินล้มผู้ชายสองคนไปแล้วหันมาในทันใด

สาวใช้ประจำตัวของฉู่หลิงซิ่วกลัวจนฉี่ราดวิ่งถลาเข้ามาจากด้านนอกหวังห้ามปราม นางกอดขาซูหลินจากด้านหลังไว้แน่นพลางร้องไห้โฮ น้ำเสียงสั่นเครือตะโกนว่า “ซื่อจื่อไว้ชีวิตด้วย! ไว้ชีวิตชายาสักครั้งเถอะเจ้าค่ะ!”

“ไสหัวไป!” ซูหลินเตะนางไปไกลมากในทีเดียว

ร่างสาวใช้กระเด็นไปชนบานประตูด้านหลังอย่างแรง นางกระอักเลือดออกมาคำโตและกุมอกชักกระตุกด้วยความเจ็บปวด

ฉู่หลิงซิ่วถึงได้ตกใจจนตัวสั่นและได้สติกลับมาในเวลานั้นเอง นางรู้สึกได้ว่าซูหลินถูกยั่วยุจนเป็นบ้าไปแล้วจึงไม่บุ่มบ่ามอธิบายอะไรเช่นกัน เพียงกระโดดลงมาจากเตียง ไม่สนใจว่าตนเองไม่ได้สวมเสื้อผ้า รวบเสื้อคลุมเนื้อบางไว้แล้วเผ่นแน่บจะหนีออกไปทางประตู

ซูหลินหน้าตายเย็นชาเหมือนน้ำแข็ง เขาดึงทึ้งผมนางจนศีรษะแทบหงายแล้วลากตัวนางกลับมา

“อ๊า…” ฉู่หลิงซิ่วร้องครวญอย่างเจ็บปวด สองมือกุมศีรษะไว้แน่น รู้สึกแค่ว่ามือเขาแรงเยอะมากจนแทบจะกระชากหนังศีรษะของนางหลุดมาทั้งหมด หน้าตาบิดเบี้ยวตามไปด้วย พาลให้น้ำตาไหลทะลักออกมาโดยไม่รู้ตัว

“นางสารเลว!” ซูหลินลากตัวนางมาตบไปหนึ่งฉาดจนล้มลงบนพื้นเลือดกบปาก

ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าอย่างเร่งรีบก็ดังลอดมาจากด้านนอก

ซูหลินได้ยินก็รู้ว่าเป็นองครักษ์ที่คอยตรวจตราในจวน คงได้ข่าวแล้วจึงรีบมา

ต่อให้เขาโกรธแค้นแค่ไหนก็รู้ว่าต้องปิดบังเรื่องอื้อฉาวนี้ไว้เสียก่อน จึงจ้องฉู่หลิงซิ่วที่ซบพื้นร่ำไห้อย่างมาดร้าย แล้วตัดสินใจเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ฉวยโอกาสปิดประตูห้องก่อนที่เหล่าองครักษ์จะเข้ามาเห็นสภาพห้องอย่างชัดเจน

“ซื่อจื่อ?” เหล่าองครักษ์ได้ยินเสียงร้องน่าเวทนามาจากทางนี้ ทีแรกคิดว่ามีขโมยเข้ามาในเรือน แต่พอมาถึงได้เจอกับซูหลินต่างก็ประหลาดใจยิ่งนัก

เพราะตั้งแต่ฉู่หลิงซิ่วแต่งงานเข้าตระกูลมา ซูหลินเอาแต่หลบเลี่ยงนาง แม้แต่หน้านางยังคร้านจะมองด้วยซ้ำไป จึงไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องเข้ามาในเรือนของนางเช่นนี้

ยิ่งได้ยินเสียงร่ำไห้เศร้าใจของฉู่หลิงซิ่วดังมาจากในห้องด้านหลังอย่างชัดเจน

ใบหน้าซูหลินยิ่งทวีความเย็นเยียบ ทั้งมืดมนและน่ากลัวจนทำให้ผู้คนรู้สึกหนาวสะท้าน

“ซื่อจื่อ พวกข้าได้ยินเสียงมาจากที่นี่ แต่ว่ามีหัวขโมยบุกเข้ามาทำให้ชายาซื่อจื่อตกใจหรือ?” องครักษ์ที่นำหน้ามากลืนน้ำลายแล้วลองเอ่ยถาม

“มีหัวขโมยเข้ามา แต่ข้าจัดการแล้ว” ซูหลินเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “พวกเจ้าไม่ต้องมาวุ่นวายที่นี่ ออกไปให้หมด!”

“ขอรับ!” สีหน้าเขาน่ากลัวเกินไปจริงๆ ทำให้ทุกคนต่างไม่อยากอยู่ต่อแม้แต่สักนาทีจึงถอยออกไป

ซูหลินร้อนใจผลักประตูเปิดเข้าไปในห้องอีกรอบ แล้วดึงประตูปิดอีกครั้ง

ตอนนี้ฉู่หลิงซิ่วค่อยๆ ได้สติกลับมาบ้างแล้ว นางมองเขาอย่างหวาดกลัวและเอ่ยเสียงสั่นว่า “ซื่อ…ซื่อจื่อ…ข้า…”

ซูหลินหัวเราะเย้ยหยันออกมาและมองนางอย่างชั่วร้าย เขาใช้ปลายเท้าเตะสาวใช้ที่ล้มเหงื่อตกอยู่ข้างๆ ตลอดพลางว่า “ไป จัดการเก็บกวาดที่นอนและเสื้อผ้าในห้องนี้ให้หมด เอาออกไปซะ!”

เพียงแค่คิดถึงภาพที่เขาถีบประตูเข้ามาเห็นเมื่อครู่ ซูหลินรู้สึกเวียนศีรษะไปเดี๋ยวนั้น

ข้างนอกนั่นเขาเจ้าชู้ไปทั่วเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ชายาคนสำคัญที่แต่งงานเข้าตระกูลมาของตนเองสวมเขาให้เขาด้วยการมีอะไรกับคนอื่นในจวนอย่างโจ่งแจ้งถือว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น…

หนึ่งในผู้ชายสองคนที่มีอะไรกับฉู่หลิงซิ่วนั้น เขามองแวบเดียวก็จำได้ว่าเป็นองครักษ์ที่รับใช้ในเรือนที่สองของจวนเขา

นี่เป็นการสวมเขาซ้ำยังตบหน้าเขาอย่างแรงในคราวเดียว

มาถึงเวลานี้เขารู้สึกเหมือนอารมณ์โกรธพลุ่งพล่านขึ้นไปถึงสมองหมดแล้ว เขาอยากจะสับร่างชู้สามคนนี่ให้เป็นชิ้นๆ ด้วยน้ำมือตนเองเพื่อระบายความเคืองแค้น

แม้สาวใช้จะถูกเขาถีบจนบาดเจ็บภายในแต่ก็ไม่กล้าขัดขืน นางอดทนต่อความเจ็บปวด แล้วลุกขึ้นมาเก็บกวาดเสื้อผ้าของสามคนที่กระจัดกระจายอยู่พื้นขึ้นมาถือไว้ก่อน พลางก้มหน้าก้มตาไม่กล้ามองหน้าซูหลินแม้แต่น้อย

ซูหลินกัดฟันกรอดจนขมับเต้นตุบๆ แล้วเอ่ยเสียงเย็นยะเยือกว่า “ทิ้งไป!”

————————————————

[1] ไม้มีราคาที่นิยมนำมาทำเฟอร์นิเจอร์ในสมัยหมิงและชิง