ตอนที่ 97 ต่างเตรียมพร้อม (2)
หลังจากฉินเฟิ่งชิงรับภารกิจรับเด็กใหม่แล้ว จางอวี่ก็จำศีลเตรียมพร้อมเผชิญหน้ากับการทะลวงด่านของหวังจินหยางในอนาคต
เรื่องทั้งหมดนี้ฟางผิงไม่รู้อยู่แล้ว
ช่วงนี้เหล่าหวังปิดมือถือ ฟางผิงรู้ว่าเขากำลังท้าประลองกับผู้ฝึกยุทธ์ ไม่คิดจะโทรไปสอบถามเช่นกัน
เวลานี้ฟางผิงกินข้าวเย็นเสร็จแล้วก็เริ่มฝึกวิชาทันที
ผ่านมากว่าสิบวัน หลังจากที่เขาหลอมกระดูกครั้งที่สามสำเร็จ
ตอนนี้ความสามารถของฟางผิงมีการพัฒนาขึ้นอีกขั้น
ทรัพย์สิน : 2,100,000
ปราณ : 207 แคล (209 แคล)
จิตใจ : 208 เฮิรตซ์ (210 เฮิรตซ์)
ค่าปราณและจิตใจต่างเพิ่มขึ้น แต่ฟางผิงกลับรู้สึกว่าร่างกายนั้นมาถึงขีดจำกัดจริงๆ แล้ว
เว้นเสียเขาจะหลอมกระดูก เสริมสร้างกล้ามเนื้อต่อ เพราะตอนนี้ปราณได้แตะขีดจำกัดแล้ว
เขาใช้น้ำยาเสริมสร้างความแข็งแรงไปจนหมด หลอมกระดูกอีกครั้งไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ ฟางผิงไม่คิดจะทำต่อแล้ว
พรุ่งนี้หากการแบ่งอาจารย์เสร็จสิ้น เขาเตรียมจะยื่นเรื่องขอทะลวงด่าน
ตอนนี้ฟางผิงไม่ฝึกวิชาอีกแล้ว เข้าสู่สภาวะจวงกงแทน
สองวันก่อนเขาเพิ่งทะลวงจวงกงขั้นสอง ฟางผิงพยายามฝึกให้ชำนาญ เผื่อพรุ่งนี้มีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น
จวงกงขั้นสองทำได้ดีแล้ว อย่างน้อยฟางผิงก็รู้สึกเหมือนจะเห็นเค้าลางของ ‘ตุ๊กตาล้มลุก’ ขึ้นมาแล้ว
—
ขณะที่ฟางผิงกำลังฝึกวิชา หอพักโซนหนึ่งชั้นสองนั้นเงียบอย่างมาก
ทุกคนต่างกำลังจัดการกับอารมณ์ตัวเอง
วันนี้พวกอาจารย์ถูกฟางผิงและฟู่ชางติงดึงความสนใจไปหมด แม้พวกเขาจะไม่พอใจ กลับไม่อาจทำอะไรได้ แต่ทั้งสองคนคุยเล่นในสถานการณ์แบบนั้นได้ ก็แสดงให้เห็นถึงความสามารถแล้ว
หากสองคนนั้นคิดจะพูดเอาใจทุกคนจริงๆ คงถูกคนดูแคลนไปนานแล้ว
นักศึกษาที่ไม่รู้ความนัยอาจจะคิดอย่างนั้น แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นนักศึกษาหัวกะทิในโซนหนึ่ง ทุกคนต่างตระหนักถึงความสามารถของพวกเขาได้
เวลานั้นมีสิบเก้าคนที่ต้านทานแรงกดดันไว้ นอกจากพวกฟางผิง คนที่มีแรงพูดคุยมีไม่ถึงห้าคนเท่านั้น
แม้จะเป็นห้าคนนี้ อาจจะไม่สามารถพูดคุยแบบสบายๆ อย่างฟางผิงได้ด้วยซ้ำ ไม่งั้นตอนนั้นคงไม่ปิดปากเงียบอยู่ตลอดหรอก
วันนี้เป็นแค่การประลองเรื่องปราณเท่านั้น พรุ่งนี้ต่างหากที่สำคัญ
—
เทียบกับหอพันชั้นสองแล้ว ชั้นล่างกลับผ่อนคลายกว่าไม่น้อย
หลายคนเคาะประตูทำความรู้จักกัน เรียกออกไปกินข้าวด้วยกัน กัวเซิ่งเป็นหนึ่งในนั้น
ตอนที่กัวเซิ่งพูดว่า ควรชวนฟางผิงไปด้วยหรือเปล่า คนอื่นๆ ล้วนทำหน้าตกใจขึ้นมา?
เมื่อถามลวกๆ ไป ค่อยรู้ว่าทั้งสองคนได้พูดคุยกันตอนเช้าเท่านั้น ทุกคนจึงเลิกล้มความคิดนี้ไปทันที
คนผู้นั้นหลอมกระดูกครั้งที่สามแล้ว คืนนี้จะออกมาได้ยังไง นายอ้วนไม่รู้จริงๆ หรือว่าวันพรุ่งนี้หมายถึงอะไร?
พวกเขายังไงก็ได้อยู่แล้ว แต่สำหรับคนที่พักชั้นบน กลับเป็นเรื่องใหญ่
จะให้อาจารย์เลือกคุณ คุณเป็นคนเลือกอาจารย์ หรือคุณเป็นของเหลือ สุดท้ายต้องฝ่ายแบ่งให้อาจารย์เอง ความห่างชั้นแบบนี้ พรุ่งนี้คงได้เห็นกันแล้ว
นายอ้วนไม่รู้เรื่องพวกนี้แม้แต่น้อย ทำให้หลายคนถึงกับถอนหายใจ ให้ตายเถอะ หมอนี่หลุดเข้ามาในมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ได้ยังไงกัน!
—
ในเวลาเดียวกัน
ปักกิ่ง
โรงแรมใหญ่ในเมืองหลวง
หวังจินหยางพิงโซฟาดูโทรทัศน์ด้วยใบหน้าผ่อนคลาย
รองอธิการมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียงที่อยู่ด้านข้างกลับเอ่ยอย่างร้อนใจอยู่บ้าง “จินหยาง พรุ่งนี้มั่นใจหรือเปล่า?”
“ไม่รู้สิครับ”
รองอธิการหมดคำจะพูด ผ่านไปพักใหญ่ค่อยเอ่ยว่า “เฉินเฟิงอยู่ขั้นสามมานานแล้ว หากไม่ใช่ว่ากระดูกมือซ้ายเสียหายตอนลงถ้ำใต้ดิน คงทะลวงขั้นสี่ไปนานแล้ว ถึงจะเป็นแบบนี้ การต่อสู้ ประสบการณ์ และความสามารถในการตอบโต้กลับอยู่ในขั้นสี่ ขอแค่ฟื้นฟูกระดูกมือซ้าย คงจะทะลวงขั้นสี่ได้ นายไม่เตรียมพร้อมสักหน่อยเหรอ?”
“ไม่จำเป็น ผมต้องการคู่ต่อสู้แบบนี้เหมือนกัน”
หวังจินหยางดูใจเย็น เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “รออีกสักหน่อย ประลองกับเฉินเฟิงแล้ว ไปตระเวนรอบมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ปักกิ่งอีกสักครั้ง การทะลวงขั้นสี่ของผมคงใกล้เข้ามาแล้ว อธิการ ทรัพยากรขั้นสี่ของผมคงไม่ติดขัดอะไรใช่หรือเปล่า?”
รองอธิการเอ่ยหยอกว่า “ตอนนี้นายคือหน้าตาของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียง อธิการบอกว่าให้สิทธิพิเศษนายเป็นอันดับแรก แน่นอนว่ายังต้องคืนทีหลัง ทรัพยากรของมหาวิทยาลัยมีจำกัด ไม่อาจให้นายแหกกฎอยู่คนเดียวได้อยู่แล้ว”
“เข้าใจแล้ว แค่ล่วงหน้าให้ก่อนก็เพียงพอแล้วครับ”
หวังจินหยางเผยยิ้ม “พรุ่งนี้เหมือนจะเป็นการแบ่งสาขาของแต่ละมหาวิทยาลัย?”
“อืม นายในช่วงปีก่อนยังไม่โดดเด่นอะไร นึกไม่ถึงว่า…”
รองอธิการถอนหายใจ ตอนที่หวังจินหยางเข้ามหาวิทยาลัยใหม่ๆ ยังไม่ได้โดดเด่น อย่างน้อยก็ตอนที่แบ่งสาขา ไม่เตะตาเอาเสียเลย
แน่นอนว่า ยังนับว่าใช้ได้เช่นกัน นี่ถึงเป็นเหตุผลที่จางชิงหนาน อาจารย์ขั้นห้าคนนั้นถูกใจ
ในมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียง อาจารย์ขั้นห้าไม่ถือว่าอ่อนด้อยเลย เป็นคนที่อยู่ขั้นสูงสุดต่างหาก
เวลานั้นทุกคนต่างคิดว่าจางชิงหนานมองพลาด แต่ความสามารถของหวังจินหยางกลับปรากฏออกมาทีหลัง
สามเดือนแตะขีดจำกัด อีกสองเดือนหลอมกระดูกครั้งที่สอง นับวันยิ่งก้าวหน้าเร็วขึ้นเรื่อยๆ
ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งปีในการทะลวงขั้นหนึ่ง
หลังจากทะลวงขั้นหนึ่ง ไม่นานก็แตะขั้นหนึ่งตอนปลาย ยังไปท้าประลองที่เซี่ยงไฮ้จนมีชื่อเสียงกลับมา มหาวิทยาลัยจึงให้ทรัพยากรในการทะลวงขั้นสองฟรี
นึกไม่ถึงว่าสามเดือนให้หลัง หวังจินหยางจะแตะถึงขั้นสองตอนปลาย
ครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องให้มหาวิทยาลัยช่วยเหลือ ไม่รู้ว่าเขาไปหาทรัพยากรที่ใช้ทะลวงด่านมาจากไหน จู่ๆ กลับทะลวงขั้นสามได้!
ทะลวงสามขั้นในหนึ่งปี นี่ถือเป็นตำนานของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียง
จากนั้นนับตั้งแต่จางชิงหนานหายสาบสูญ หวังจินหยางเหมือนจะแบกรับความกดดัน ภายใต้การฝึกวิชาที่บ้าคลั่ง ไม่นานจึงหลอมกระดูกแกนกลางสำเร็จ
ตอนนี้กำลังเข้าใกล้ขั้นสี่แล้ว!
หากสามารถทะลวงได้จริงๆ อาจจะพอพูดได้ว่าทะลวงสี่ขั้นในหนึ่งปี คนแบบนี้เป็นผลผลิตจากหนานเจียง ถือเป็นเรื่องที่น่าตกตะลึงไม่น้อย
เวลานี้กระทั่งอธิการและผู้ว่าจางยังฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เขา คาดหวังให้เขากลายเป็นหน้าตาของเจียงหนาน
รองอธิการยังกังวลจริงๆ ถ้าหวังจินหยางพ่ายแพ้ ร่างกายบาดเจ็บเป็นเรื่องเล็ก ประเด็นสำคัญคือจิตใจต่างหาก
หวังจินหยางนั้นไม่สนใจความกังวลของรองอธิการ พึมพำว่า “แบ่งสาขาแล้ว ไม่รู้ว่าเจ้านั่นจะได้อาจารย์แบบไหน?”
“ถ้าผ่านช่วงนี้ไปแล้วต้องเข้าไปดูสักหน่อย หวังว่าจะไม่ทำให้ฉันขายหน้าคนอื่น”
เหล่าหวังคิดว่าฟางผิงนับเป็นศิษย์ของเขาครึ่งหนึ่ง หากทำเรื่องขายหน้าจริงๆ เหล่าหวังคงแบกหน้าตัวเองไว้ไม่อยู่เช่นกัน
แต่ตอนนี้ยุ่งเกินไป เขาไม่มีเวลาสนใจเรื่องพวกนี้
หวังจินหยางที่ดูไม่ใส่ใจคู่ต่อสู้ในวันพรุ่งนี้ ความจริงในใจกลับร่างแผนต่อสู้ต่างๆ ไว้ในหัวแล้ว
—
วันต่อมา
วันที่ 2 กันยายน
ผ่านไปหนึ่งคืน ค่าปราณและจิตใจของฟางผิงต่างฟื้นฟูอย่างเต็มเปี่ยม ไปกินข้าวที่โรงอาหารแค่พออิ่ม ก่อนจะเดินไปยังตึกฝึกซ้อมอย่างสบายๆ
ด้านหลังยังมีฟู่ชางติ่งที่ถือหอกไม่มีคม กำลังทำความคุ้นชินให้เข้ากับมือ ไม่ปริปากพูดอะไร
ด้านข้างมีผู้ฝึกยุทธ์หลายคนพกอาวุธต่างๆ มาเช่นกัน มีคนพึมพำว่า “ไม่รู้ว่าจะเอาเข้าไปได้หรือเปล่า…”
นักศึกษาคนอื่น กลับดูตั้งตารอ ทั้งเผยท่าทีสับสนอยู่บ้าง เห็นได้ชัดว่ารับรู้ถึงบรรยากาศตึงเครียด แต่ไม่รู้ว่ามาจากที่ไหน
กัวเซิ่งเห็นฟางผิง เดิมทีตั้งใจจะทักทาย แต่เห็นฟางผิงเผยสีหน้าเคร่งขรึม จำต้องละทิ้งความคิดไป
นายอ้วนรู้สึกไม่ยุติธรรมอยู่บ้าง เอ่ยเสียงเบาว่า “ในมหาวิทยาลัยนี้ไม่มีคำว่ามิตรภาพเสียเลย…”
อย่างน้อยเขาก็รู้สึกแบบนั้น
ไม่มีเพื่อนร่วมห้อง ไม่มีรุ่นพี่รุ่นน้องอย่างที่เล่ากันมา ไม่เห็นสาวงาม ไม่เห็นใครคล้องไหล่กัน พูดคุยกันเรื่องขนมอะไรอร่อยกว่า
ฟางผิง เพื่อนคนแรกที่รู้จักตอนเปิดเทอมก็เหมือนไม่ได้พูดเก่งอย่างที่คิด นี่ทำให้กัวเซิ่งผิดหวังอยู่บ้าง
“นี่คือมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้สินะ?”
นายอ้วนพึมพำ เดินตามหลังทุกคนไปยังตึกฝึกซ้อม
———————–