“จริง ๆ นะ วันนี้ผมไปบ้านของจงย่งมา ที่พักของพวกเขาและของพวกเรามีขนาดพอ ๆ กันเลย แต่มีคนอยู่กันเป็นสิบคน เบียดเสียดมาก ถ้าไม่ใช่เพราะตอนบ่ายอบอุ่น พวกเราคงจัดโต๊ะในลานแล้ว แต่คุณรู้ไหมมันไม่มีพื้นที่เลย ลานก็ไม่ได้ใหญ่อะไร พอ ๆ กับด้านนอกห้องของพวกเราเลย” จ้าวเหวินเทากล่าว

เย่ฉูฉู่ก็ประหลาดใจเช่นกัน “ครอบครัวเขามีคนเยอะขนาดนั้นเลยเหรอคะ?”

“ใช่แล้ว” จ้าวเหวินเทาขนหัวลุกเมื่อนึกถึง “มีทั้งปู่ย่า พ่อแม่ ยังมีน้องชายของเขาอีกสองคนและน้องสาวอีกสามคน เขาบอกว่า ถ้าหาเงินซื้อบ้านไม่ได้ ต่อให้แต่งงานมีภรรยาไปก็ไม่มีที่ให้อยู่อยู่ดี!”

จ้าวเหวินเทาเห็นด้วยกับคำพูดนี้เป็นอย่างยิ่ง บ้านแบบนั้นถ้าแต่งภรรยาเข้าบ้านจริง ขอเพียงดึงม่านลงมากั้นก็ถือว่าแยกห้องกันแล้ว แต่คู่หนุ่มสาวจะไม่ทำเรื่องอย่างนั้นได้เหรอ?

เช่นเดียวกับเขาและภรรยา ทุกคืนจะต้องมีสองถึงสามรอบตลอด สุขสบายจะตาย แต่ถ้าอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนั้น เขาจินตนาการไม่ออกเลย

เย่ฉูฉู่พยักหน้ากล่าว “ห้องเล็กเกินไปสินะคะ เขาก็เลยไม่อยากแต่งงาน”

จ้าวเหวินเทากล่าว “ใช่แล้ว เขาเองก็มีความคิดแบบนั้น”

หลังจากเย่ฉูฉู่ล้างจานเสร็จ จึงเช็ดมือให้แห้งและกล่าวว่า “มาคิด ๆ ดูแล้ว ชนบทแบบพวกเราก็ดีนะคะ มีพื้นที่กว้างขวางดีออก”

“มันก็ไม่เชิงหรอก ชนบทอย่างพวกเรานอกจากเรื่องนี้แล้วก็ไม่มีอะไรที่พวกเรามีเลย” จ้าวเหวินเทาหยิบตะเกียงน้ำมันขึ้นมา กล่าวว่า “คุณดูสิ เทียบกับชนบทของพวกเรา ในเมืองมีไฟฟ้าใช้แล้ว สามารถเปิดไฟได้ ส่วนพวกเราอย่างดีที่สุดก็คือจุดไฟตรงมุมห้อง ปกติตะเกียงน้ำมันเล็ก ๆ นี้ก็มีกลิ่นเหม็นจนฉุนจมูกเลยไม่ใช่เหรอครับ?”

ตั้งแต่จ้าวเหวินเทาเห็นหลอดไฟที่บ้านพี่สาวใหญ่ เขาก็คิดกังวลมาตลอด แต่กังวลไปก็เปล่าประโยชน์ ที่หมู่บ้านไม่มีไฟฟ้า พูดอย่างไรก็ไร้ประโยชน์

“มีคุณอยู่ ใช้เวลาไม่กี่ปีชนบทแบบพวกเราก็จะมีไฟฟ้าใช้ เมื่อถึงตอนนั้นพวกเราก็สามารถใช้ไฟฟ้าได้แล้วค่ะ” เย่ฉูฉู่กล่าวกับเขาด้วยรอยยิ้ม

“ทำไมถึงบอกว่าเพราะมีผมอยู่ ในหมู่บ้านจึงมีไฟฟ้าใช้ล่ะ?” จ้าวเหวินเทามองภรรยาด้วยสายตาที่เป็นประกาย

“ยังต้องพูดอีกเหรอคะ? เพราะสามีของฉันนำโชคลาภมาให้หมู่บ้านไง มีสามีของฉันอยู่ ไม่ช้าก็เร็วหมู่บ้านก็ต้องมีไฟฟ้าใช้” สิ่งที่เย่ฉูฉู่กล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ

จ้าวเหวินเทาได้ยินดังนั้น ภายในใจของเขาจึงร้อนรุ่ม เขารู้สึกว่าภรรยาของเขาช่างน่าเหลือเชื่อจริง ๆ ปากเล็ก ๆ นั่นหวานยิ่งกว่าน้ำผึ้ง เมื่อริมฝีปากบนและล่างสัมผัสกันก็สามารถสร้างแรงบันดาลใจได้!

“มองฉันทำไมคะ?” เย่ฉูฉู่กล่าวกับเขาด้วยรอยยิ้ม

จ้าวเหวินเทายื่นหน้าเข้ามาพลางกล่าว “ภรรยา ทำไมคุณถึงมั่นใจในตัวผมขนาดนั้นล่ะครับ?”

“เพราะคุณเป็นสามีของฉันไงคะ ฉันชอบคุณตั้งแต่แรกเห็น ตอนนี้คุณคือผู้ชายที่ฉันรักสุดหัวใจ ฉันมั่นใจในสายตาของตัวเองมาก และฉันก็มั่นใจในตัวของสามีเช่นกัน เขาต้องเชื่อถือได้แน่นอน!” เย่ฉูฉู่กล่าว

จ้าวเหวินเทาอยากจะกดภรรยาของเขาลงบนเตียงแล้วจัดหนักสักรอบ แต่เมื่อนึกเรื่องค้าขายขึ้นมาจึงกล่าวว่า “ภรรยา ขึ้นเตียงมานับเงินกัน!”

ใต้ตะเกียงน้ำมัน เงินแต่ละเหมาแต่ละเฟินถูกนับอย่างละเอียด มีทั้งรายได้จากการขายเนื้อหมูและถั่วงอก วันนี้ได้กำไรมาไม่น้อยเลย ทั้งหมดรวมเป็นเงิน 1.56 หยวน!

นี่ขนาดหักเงินซื้อหนังสือไปแล้วนะ

“ช่วงนี้ฆ่าหมูกันเยอะ ไม่นานมานี้พี่ซื่อหู่บอกว่าจะฆ่าแกะด้วยนะ ถึงตอนนั้นพวกเราจะได้เงินมากกว่านี้อีก” จ้าวเหวินเทากล่าวอย่างพึงพอใจ

เย่ฉูฉู่แบ่งเงินออกเป็นเป็นส่วน ๆ หลังจากจัดเสร็จแล้ว จึงหยิบกล่องเก็บเงินออกมา มันเป็นกล่องไม้ที่ใช้ใส่เครื่องสำอางที่ทางบ้านของเธอมอบให้ตอนแต่งงาน แต่เธอนำเงินใส่ไว้ข้างในแทน นอกจากรายได้ของพวกเขาแล้ว ยังมีเงินที่ได้จากการแยกบ้านด้วย

“เรามีเงินเยอะขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว วางไว้ในบ้านไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่ พวกเราเอาไปฝากไว้ที่ธนาคารดีไหมคะ?” เย่ฉูฉู่กล่าว เธอจำได้ว่าคุณแม่เย่นำเงินไปฝากไว้ที่ธนาคาร

อีกอย่างในบ้านก็มีหูตามากมาย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาระหว่างลูกสะใภ้ ฝากธนาคารคงดีกว่าหน่อย

จ้าวเหวินเทารู้สึกว่าการฝากเงินไว้กับธนาคารเป็นเรื่องดี จึงกล่าวว่า “ก็ได้ พวกเราเก็บไว้ส่วนหนึ่งด้วยนะ”

เย่ฉูฉู่นำเงินออกมา 100 หยวน มีเงินจากการแยกบ้าน 175 หยวน แต่นำไปซื้อจักรยานแล้ว รวมเข้ากับเงินจากการขายโสมป่าและเงินของจ้าวเหวินเทาในตอนนี้ รวมแล้วมีทั้งหมด 115 หยวน เงินที่เหลือ 15 หยวนเก็บไว้ใช้จ่ายภายในบ้าน

ถ้าให้พี่สะใภ้รองจ้าวรู้ว่าพวกเขาทั้งสองคนซื้อของนู่นนี่ ทั้งยังรับประทานของดี ๆ และยังสามารถเก็บเงินได้มากขนาดนี้ ไม่แน่หล่อนอาจจะถึงขั้นโมโหจนระเบิด

แต่เห็นได้ชัดว่าจ้าวเหวินเทาและเย่ฉูฉู่ไม่สนใจเรื่องนี้ หลังนำเงินไปเก็บไว้ให้เรียบร้อย จ้าวเหวินเทาก็ไปตักน้ำอย่างมีความสุข ก่อนจะเช็ดตัวพร้อมกับภรรยาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง จากนั้นก็พาภรรยาของเขาขึ้นเตียง

เย่ฉูฉู่กระซิบถามเขาว่าทำไมเขาถึงต้องการทุกวัน แต่เมื่อถูกจ้าวเหวินเทากระทำตามความต้องการ เธอกลับกลายเป็นแอ่งน้ำในฤดูใบไม้ผลิ ปล่อยให้ดวงอาทิตย์แผดเผาทำให้เธอกลายเป็นไอน้ำลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า

เช้าตรู่ของวันถัดมา จ้าวเหวินเทาผู้ที่นอนพึงพอใจอยู่บนเตียงก็นำเงินและถั่วงอกไปหาไช่ซื่อหู่เพื่อนำเนื้อเข้าไปในเมืองด้วยพลังที่เปี่ยมล้น

เย่ฉูฉู่กำลังล้างโอ่งและไห ผักต้องนำไปตากแดดก่อนถึงจะเก็บมาหมักได้ แต่ผักกาดดองเค็มไม่ต้องตากแดด เธอวางแผนว่าวันนี้จะทำผักดองเค็มก่อน แล้วค่อยไปถักผักกาดขาวแห้ง

ผักดอง ผักดองเค็ม ผักแห้ง นี่เป็นสามวิธีหลักในการผ่านฤดูหนาวของคนภาคเหนือ สำหรับผักสดฤดูหนาวนั้นมีไว้สำหรับแขกและตอนที่อยากลิ้มรสชาติของสดใหม่ ไม่สามารถรับประทานทุกวันได้

ขณะที่เธอกำลังยุ่งอยู่ คุณแม่เย่ก็มาหา ทั้งยังถือตะกร้ามาด้วย

“แม่ แม่มาทำไมคะเนี่ย?” เย่ฉูฉู่รีบออกมาต้อนรับอย่างเร่งรีบ ทั้งพูดด้วยความประหลาดใจ

“ก็มาดูแกนั่นแหละ ผักกาดขาวนี้เหวินเทาซื้อมาเหรอ?” คุณแม่เย่เห็นผักกาดที่ตากแดดอยู่ใต้ชายคาบ้านจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มในทันที

แม้ว่าจะเป็นคำถาม แต่นางรู้ว่าต้องเป็นลูกเขยของนางที่เป็นคนซื้อแน่นอน นอกจากเขาแล้วคนอื่นคงทำใจไม่ได้ที่จะซื้อมา

เย่ฉูฉู่ยิ้ม “แม่ รอบนี้แม่พูดผิดแล้วล่ะค่ะ นี่เป็นผักที่พวกเราปลูกบนทุ่งนาต่างหาก”

คุณแม่เย่กลอกตาใส่ลูกสาว “ทุ่งนาของพวกเราจะปลูกผักกาดหัวใหญ่ ๆ ขนาดนี้ได้เหรอ? คิดว่าแม่จะไม่รู้อะไรเลยสินะ”

เย่ฉูฉู่ยิ้ม “เป็นของที่เหวินเทาซื้อมาจากในเมืองค่ะ เห็นบอกว่ามาจากหมู่บ้านไท่ผิง”

“แม่ก็เดาว่ามาจากทางนั้นเหมือนกัน มีแค่ที่นั่นเท่านั้นที่สามารถปลูกผักกาดขาวแบบนี้ได้” คุณแม่เย่พยักหน้า เมื่อเห็นว่าข้าง ๆ ไม่มีใคร จึงกระซิบว่า “เหวินเทาซื้อผักพวกนี้มา คนอื่นเขาไม่พูดอะไรเหรอ?”

เย่ฉูฉู่ไม่สามารถปฏิเสธได้ ขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ด เดาเพียงครั้งเดียวก็ทายถูกแล้ว

เมื่อเห็นสีหน้าของลูกสาว คุณแม่เย่ก็มีคำตอบในใจ นางกล่าวว่า “ซื้อแค่นี้หรือยังมีเก็บไว้ในห้องใต้ดินอีกล่ะ?”

“ห้องใต้ดินก็มีค่ะ” เย่ฉูฉู่พยักหน้า คุณแม่เย่จึงเดินเข้าไปในห้อง

คุณแม่เย่เดินเข้าไปในห้อง ก่อนจะกระซิบว่า “พวกเขาพูดอะไรบ้าง?”

เย่ฉูฉู่จึงกระซิบบอกเล่าเรื่องความคิดของเหล่าพี่สะใภ้ เมื่อคุณแม่เย่ฟังจบจึงยิ้มด้วยรอยยิ้มเย็นชา “หน้าไม่อายจริง ๆ ตัวเองไม่มีความสามารถก็คิดว่าเหวินเทาจะไม่มีความสามารถเหมือนกับพวกหล่อน สมองของพวกหล่อนจะเทียบกับสมองของเหวินเทาได้เหรอ? ต่อให้เหวินเทาได้กินเนื้อก็เป็นเพราะเหวินเทามีความสามารถ เกี่ยวอะไรกับพวกหล่อน? คนโง่ชอบอวดฉลาดจริง ๆ!”

เย่ฉูฉู่ยิ้ม “ถ้าเหวินเทาได้ยินแม่ชมเขาขนาดนี้ ไม่แน่หางของเขาอาจจะชี้ฟ้าไปแล้วก็ได้ค่ะ”

“เดิมทีเหวินเทาก็ดีไปซะทุกอย่างแล้ว หน้าตาดีทั้งยังมีความก้าวหน้า กตัญญูสมเหตุสมผล ย่อมควรค่าแก่การชื่นชม!” คุณแม่จ้าวกล่าว นางถูกใจลูกเขยคนนี้มาก จึงกล่าวต่ออีกว่า “แกดูสิ แม่เอาไข่เป็ดมาให้สองชั่ง ไข่เป็ดเค็มนี่รสชาติอร่อยที่สุดเลยล่ะ”

“แม่ แม่ไปเอาไข่เป็ดมาจากไหนคะ?” ที่บ้านของนางไม่ได้เลี้ยงเป็ด เย่ฉูฉู่มองดูไข่เป็ด เปลือกเขียวฟองใหญ่ คุณภาพไม่เลวเลย

“ไม่เลี้ยงเป็ดก็กินไข่เป็ดไม่ได้เหรอ?” คุณแม่เย่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “แม่ใช้ไข่ไก่เพื่อแลกมา นอกจากของฤดูหนาวแล้วยังมีของฤดูใบไม้ผลิอีก จะกินแต่ผักดองกับผักดองเค็มได้ยังไง? เปลี่ยนของกินบ้าง ตอนเช้าตอนค่ำต้มโจ๊กสักหน่อย ต้มไข่เค็มสักฟอง ดีกว่ากินผักดองเค็มเยอะ แม่ล้างไว้แล้ว แกมีไหใช่ไหม แม่จะช่วยดองให้”

“แม่ แม่นี่ดีจริง ๆ เลยค่ะ ถ้าฉันกับเหวินเทาได้ดิบได้ดีในอนาคต จะต้องตอบแทนบุญคุณแม่แน่นอน” เย่ฉูฉู่มองคุณแม่เย่ด้วยรอยยิ้ม

คุณแม่เย่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ดูไม่ออกเลยนะนี่ ทีตอนนี้ปากหวานเชียวนะ”

“ฉันพูดมาจากก้นบึ้งของหัวใจเลยล่ะค่ะ” เย่ฉูฉู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม

สองแม่ลูกพูดคุยหัวเราะคิกคักขณะดองไข่เป็ด วิธีทำนั้นง่ายมาก แค่นำไข่เป็ดใส่ลงไปในไห แล้วแช่ด้วยน้ำเกลือเท่านั้น

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

พี่เทาอยากมีบ้านหลังใหญ่หน่อยก็เพื่อภารกิจทำลูกสินะคะ บ้านเล็กอยู่กันหลายคนทำแล้วมันเขิน

คุณแม่เย่ฟาดอีกแรงๆ เลยค่ะ ฝีปากแม่เย่ก็เผ็ดไม่แพ้แม่จ้าวเลย

ไหหม่า(海馬)