ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 124 ท่านอ๋อง ท่านอย่าได้เป็นอะไรไป
“อีกอย่าง เส้นเอ็นร้อยหวายที่มือและเท้าของรองแม่ทัพเสิ่นถูกเชื่อมต่อด้วยกันแล้ว ช่างเก่งกาจยิ่งนัก!”
ตั้งแต่โบราณมาจนบัดนี้มิมีหมอคนใดที่ทำเรื่องเช่นนี้ได้มาก่อน
กู้โม่หานตอบออกมาเบาๆ เขาเหลือบตามองไปทางหนานหว่านเยียนที่เริ่มดูเหนื่อยล้าหมดแรงเนื่องจากใจจดใจจ่อในการผ่าตัดเมื่อครู่
ชายหนุ่มเห็นนางวางมือไว้บนโต๊ะเพื่อพยุงกาย “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
หนานหว่านเยียนรู้สึกวิงเวียน นางมิได้เอ่ยสิ่งใดออกมาได้ยินเพียงหมอทหารกล่าวว่า “พระชายาน่าจะเหนื่อยมากพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องมิทรงรู้หรอกว่าทักษะการผ่าตัดของพระชายาช่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน กระหม่อมราวกับได้เห็นพระเจ้าอย่างไรอย่างนั้น!”
หนานหว่านเยียนยังมิทันได้รับประทานอาหาร ก็ถูกเขาเรียกมาใช้ต่างๆ นานา
เมื่อครู่ที่นางเข้าไปในกระโจมก็อยู่ในนั้นเป็นเวลาหลายชั่วโมงจวบจนกระทั่งท้องฟ้ามืด
นางคงจะเหนื่อยจริงๆ
“ข้าจะให้คนไปเตรียมอาหารมาให้เจ้า เมื่อกินเสร็จแล้วจงกลับจวนเถิด” กู้โม่หานหันมาเอ่ยกับหนานหว่านเยียน แล้วหันไปมองเสิ่นจวินที่กำลังหลับสนิท
แขนขาของเสิ่นจวิน มีสิ่งแปลกๆ มาค้ำเอาไว้ ที่ศีรษะมีท่อใสเชื่อมโยง ที่ด้านบนมีถุงใส่ของเหลวที่มิรู้ว่าคืออะไรเอาไว้
แม้เขาจะรู้ว่าทักษะด้านการรักษาของหนานหว่านเยียนยอดเยี่ยม มักนำสิ่งของแปลกๆ ออกมาใช้อยู่เสมอ แต่กู้โม่หานก็อดมิได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจกับสิ่งของใหม่ๆ เหล่านี้
เขาคิดว่าหนานหว่านเยียนจะตัดแขนขาของเสิ่นจวินออกเสียอีก เนื่องจากว่านี่เป็นวิธีเดียวที่จะสามารถช่วยชีวิตผู้บาดเจ็บเช่นนี้เอาไว้ได้ เพราะเอ็นร้อยหวายของเขาขาดสิ้น
คิดมิถึงว่าหนานหว่านเยียนจะสามารถดึงสถานการณ์กลับมาได้อย่างน่าอัศจรรย์
กู้โม่หานตกใจตกตะลึง
เขาก้มศีรษะลงตั้งใจจะเอ่ยถามหนานหว่านเยียนถึงสถานการณ์ของเหล่าเสิ่น
แต่เขายังมิทันได้เอ่ยถาม ร่างของหนานหว่านเยียนก็อ่อนแรง ภาพตรงหน้าดำมืด นางหมดแรงล้มลง
“หนานหว่านเยียน!” กู้โม่หานก้าวไปข้างหน้า กอดนางเอาไว้ได้ทันท่วงทีแล้วอุ้มขึ้นหนานหว่านเยียนหลับตาสนิท ร่างของนางอยู่ในอ้อมแขนของกู้โม่หาน
“หมอทหาร จงรีบมาดูอาการนาง!” กู้โม่หานขมวดคิ้วเข้าหากัน ท่าทางอันซับซ้อนของเขาพยุงหนานหว่านเยียนเอาไว้ เขารู้สึกสงสารจากใจ
หมอทหารตกใจมากเขารีบเข้าไปจับชีพจรหนานหว่านเยียนทันที
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ พระชายามิได้เป็นอะไรมาก นางเพียงเหนื่อยก็เท่านั้น พักประเดี๋ยวก็คงดีขึ้น”
“อืม”
ชุดสีแดงอันขาดวิ่นพริ้วไหวท่ามกลางสายลม ใบหน้าอันบอบบางของนางเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ คิ้วสีดำได้รูปขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ดูมิสบายหนัก
กู้โม่หานขมวดคิ้วจนแทบชนกัน เขาอุ้มหนานหว่านเยียนขึ้นมาแล้วเดินออกจากกระโจมทันที
เขาวางหนานหว่านเยียนลงในกระโจมแม่ทัพอย่างระมัดระวัง ให้หลังของนางค่อยๆ เอนลง
ริมฝีปากของกู้โม่หานขยับเล็กน้อย เขาเม้มมันเข้าหากันแล้วกล่าวว่า “เหตุใดข้าจึง……”
รู้สึกละอายใจต่อนางได้
ริมฝีปากของเขาเม้มเป็นเส้นตรงแล้วจ้องไปทางหนานหว่านเยียน หันไปกำชับกับเหล่าทหารว่า “ดูแลพระชายาให้ดี”
จากนั้นกู้โม่หานก็กลับไปยังกระโจมหมอทหารที่เสิ่นจวินอยู่อีกครั้ง
เสิ่นจวินอยู่ในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น เขารู้สึกว่าตนเพิ่งเดินผ่านประตูนรกเมื่อครู่
เขาลืมตาขึ้นด้วยความยากลำบากแล้วเอ่ยขึ้นอย่างไร้เรี่ยวแรงน้ำเสียงแหบแห้งว่า “กระหม่อม ตายแล้วงั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
กู้โม่หานทำสีหน้าเป็นทุกข์แล้วปลอบโยนว่า “เจ้าจะตายได้อย่างไร หนานหว่านเยียนช่วยรักษามือและเท้าของเจ้าให้แล้ว และข้าเชื่อว่าเจ้าจะสามารถกลับไปอยู่เคียงข้างข้าในสนามรบได้อีกครั้ง!”
“กระหม่อมยังมิตาย พระชายาเป็นคนช่วยกระหม่อมหรือ……” เสิ่นจวินรู้สึกขอบคุณหนานหว่านเยียนยิ่งนักที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ ขอโปรดให้ท่านอ๋องขอบคุณพระชายาแทนกระหม่อมผู้ต่ำต้อยคนนี้ด้วย”
“กระหม่อมรู้ตัวดีว่าได้รับการบาดเจ็บรุนแรง หากมิมีพระชายา กระหม่อมคงมิอาจได้พบกับท่านอีก แต่มิว่าผู้ใดที่แขนขาขาด ล้วนมิมีใครรักษาให้หายได้ กระหม่อมเชื่อว่าพระชายาก็คงจะรู้ถึงความเป็นไปได้นี้ดี”
เขาพูดอย่างกระอักกระอ่วนด้วยท่าทางไร้เรี่ยวแรงว่า “ความหวังสูงสุดของกระหม่อมนั่นก็คือตามหาบุตรชายให้พบ หากว่ากระหม่อมยังมีชีวิตอยู่ อยากจะเห็นเขาเป็นฝั่งเป็นฝาและมีความสุข……”
กู้โม่หานปลอบโยนเขาว่า “แน่นอน ข้าจะหาเขาให้พบ เจ้าจงพักผ่อนเถิด”
เขามิได้บอกกับเหล่าเสิ่นว่าได้ส่งคนออกไปตามหาบุตรชายให้แล้ว
เมื่อทุกสิ่งอย่างสงบลงแล้ว เขาค่อยให้พ่อลูกมาพบกันอีกครั้ง มิเช่นนั้นอาจทำให้เหล่าเสิ่นต้องดีใจเปล่า
เหล่าเสิ่นรู้สึกวิงเวียนศีรษะ เขาหลับตาลงอย่างควบคุมมิได้ น้ำเสียงช่างแผ่วเบา “กระหม่อม กระหม่อม……”
กล่าวไปกล่าวมาเขาก็สลบลงอีกครั้ง
กู้โม่หานเลิกคิ้วเข้าหากันแล้วห่มผ้าให้แก่เขา
ทันใดนั้นเองก็มีคนเข้ามาจากนอกกระโจมรายงานว่า “ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ พระราชสำนักส่งคนมาเพื่อส่งข่าว กล่าวว่าอ๋องเฉิงใส่ร้ายท่านอ๋องต่อหน้าฮ่องเต้ ทำให้ฮ่องเต้โมโหยิ่งนักและประกาศให้ท่านอ๋องรีบเดินทางเข้าวัง”
ดวงตาของกู้โม่หานหรี่ลงแข็งทื่อทันที ความเย็นยะเยือกแล่นผ่านหน้าอกของเขา
กู้โม่เฟิงรีบร้อนอยากจะตายเช่นนี้เชียวหรือ?
กู้โม่หานผู้มีรูปร่างสูงใหญ่กำยำ หากเขาเดินในฝูงชนมิมีใครสามารถเทียบได้เลย
รองแม่ทัพกวนจัดการกับเรื่องการประกาศหาคนเรียบร้อยแล้ว เมื่อได้ยินข่าวนี้ก็ยืนกรานจะติดตามกู้โม่หานไปด้วย
ทั้งสองคนเดินทางออกไปจากค่ายเสินเชื่อ เมื่อขณะที่กำลังจะขึ้นรถม้า กู้โม่หานก็เห็นชายหนุ่มหลายคนเดินตรงเข้าไปยังค่าย คนจำนวนมิน้อยที่รอต่อแถว
พวกเขาทุกคน ล้วนต้องการจะมาดูเสิ่นจวินผู้เป็นพ่อ
เมื่อรองแม่ทัพกวนเห็นสีหน้าของกู้โม่หานจึงได้รีบอธิบายว่า “กระหม่อมได้พาผู้ใต้บังคับบัญชาเดินทางไปที่หยาเหมินสืบหาเด็กที่หลงทางในหลายปีมานี้ ประกอบกับได้ติดประกาศตามท้องถนนและตรอกซอกซอย คิดมิถึงว่าจะมีคนเดินทางมาอย่างมิขาดสาย เกินกว่าที่เราจินตนาการเอาไว้”
กู้โม่หานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอันหนักอึ้งว่า “มีใครที่มีลักษณะพิเศษตรงตามกำหนดหรือไม่?”
รองแม่ทัพกวนโบกมือไปมาเป็นความหมายว่าอย่าได้เอ่ยถึงเลย
“พวกเขาเหล่านั้นล้วนมีจมูกและมีตาเหมือนกัน แต่เมื่อมองดูรูปร่างโดยรวมแล้วก็มิได้เหมือนกับเหล่าเสิ่นเท่าไหร่เลย มีเพียงแค่สามคนที่กล่าวว่าตนจำเรื่องตอนเด็กของตนเองมิได้แล้ว และสามคนนั้นก็มีใบหน้าคล้ายกับเหล่าเสิ่น บนร่างกายของพวกเขา น่าจะมีสัญลักษณ์อยู่ และได้ทำการเจาะเลือดพิสูจน์ เลือดนั้นก็ละลายเข้ากันได้”
“กระหม่อมมิรู้ว่าจะแยกแยะเช่นไรแล้วจริงๆ เกรงว่าอาจต้องรอให้เหล่าเสิ่นตื่นขึ้นมาแล้วให้เขาเป็นคนตัดสินใจเอง”
กู้โม่หานขมวดคิ้วเข้าหากันเขามองไปทางรองแม่ทัพกวนกล่าวว่า “จงสั่งให้ผู้ที่มีคุณสมบัติตรงตามต้องการอยู่ก่อน อีกประเดี๋ยวข้าจะไปจัดการเอง”
รองแม่ทัพกวนรับคำสั่งจากนั้นรีบไปแจ้งนายทหาร ใครจะรู้เล่าว่าเมื่อตอนที่เขากลับมาอีกครั้ง กู้โม่หานนั่งรถม้าออกไปตั้งนานแล้ว
สีหน้าของรองแม่ทัพกวนดูหนักอึ้ง สายตาของเขามองไปยังรถม้าของกู้โม่หานที่ไกลออกไปพร้อมกับสวดภาวนา
“ท่านอ๋องอย่าได้เป็นอะไรไปเลย พี่น้องทหารทุกคนล้วนรอท่านกลับมา!”