เล่ม 6 เล่มที่ 6 ตอนที่ 155 สาวน้อย เป็นเจ้าที่ปลุกปล้ำข้า

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

“เอาล่ะ! พระชายาโยวอ๋อง ปรากฎว่าผู้ที่ข่มเหงดูหมิ่นเหม่ยเจียเป็นคนจากสกุลของท่าน เรื่องนี้ท่านควรให้คำอธิบายแก่พวกเรา พระชายาโยวอ๋อง ครานี้ท่านคงไม่ปกป้องคนผิดใช่หรือไม่” ฮูหยินเว่ยกั๋วกงพูดขึ้น

        ในความเป็นจริง คราแรกที่เว่ยกั๋วกงและฮูหยินเว่ยกั๋วกงได้รับข่าว พวกเขารู้เพียงว่าเกิดเรื่องขึ้นกับเว่ยเหม่ยเจีย ทว่าไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ใด

        เฉินไท่เฟยเอาแต่ได้เห็นแก่ตัว ตอนที่พบเว่ยเหม่ยเจีย ฮั่วปี้ก็อยู่ที่นั่น ดังนั้นนางจึงแอบลักพาตัวฮั่วปี้โดยไม่บอกผู้ใดแม้แต่เว่ยกั๋วกงและฮูหยินเว่ยกั๋วกง

        ในคราแรกความเห็นแก่ตัวของเว่ยกั๋วกง ฮูหยินเว่ยกั๋วกง และเฉินไท่เฟยนั้นมีจุดประสงค์เหมือนกัน พวกเขาต้องการผลักความรับผิดชอบทั้งหมดไว้บนตัวของซูจิ่นซี พยายามทำให้ซูจิ่นซียอมจำนน เพื่อให้นางไปพูดโน้มน้าวเยี่ยโยวเหยาให้ยอมรับเว่ยเหม่ยเจีย

        ทว่าหลังจากที่ไหวหยางจวิ้นจู่มาปรากฎตัววุ่นวายได้อย่างพอดิบพอดี เว่ยกั๋วกงและฮูหยินเว่ยกั๋วกงจึงรู้ว่าผู้ที่ข่มเหงเว่ยเหม่ยเจียเมื่อคืนนี้เป็นฮั่วปี้ บุตรชายคนโตจากจวนจงอู่โหว

        แม้ฮั่วปี้ไม่ได้เยือกเย็นและงดงามดั่งเยี่ยโยวเหยา อีกทั้งสถานะทางราชวงศ์ก็ไม่ได้สูงส่งน่านับถืออย่างหาใดเปรียบมิได้เช่นเยี่ยโยวเหยา ทว่าอย่างไรก็ตามยังถือได้ว่าเขาเป็นครึ่งราชวงศ์ที่ใกล้ชิดฮ่องเต้

        หากเว่ยเหม่ยเจียแต่งเข้าจวนจงอู่โหว คงสมกันดีราวกับผีเน่ากับโลงผุ

        นอกจากนี้เว่ยกั๋วกงและฮูหยินเว่ยกั๋วกงรู้ดีว่าตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ เยี่ยโยวเหยาไม่เคยมองเว่ยเหม่ยเจีย ยิ่งไปกว่านั้นบัดนี้เว่ยเหม่ยเจียเป็นเช่นนี้แล้ว หากยังคิดให้เยี่ยโยวเหยายอมรับเว่ยเหม่ยเจียก็เหมือนกับพันหนึ่งราตรี [1]

        ดังนั้นพวกเขาจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปที่จวนจงอู่โหว

        อย่างไรก็ตาม เมื่อข้าวหุงสุกแล้วจึงเหลือเพียงกระบวนการเดียวเท่านั้น

        ทว่าในฐานะสตรี พวกเขาไม่สามารถล้มลงกับพื้นและพูดเรื่องนี้ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการใช้ซูจิ่นซีเป็นเครื่องมืออีกครั้ง

        สิ่งเหล่านี้ ซูจิ่นซีจะมองไม่ออกได้อย่างไรกัน?

        ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา นางเอ่ยฉีกหน้าฮูหยินเว่ยกั๋วกงอย่างตรงไปตรงมา “ฮูหยินเว่ยกั๋วกง ท่านต้องการให้ข้าพูดกับท่านอย่างไร? ท่านพูดออกมาตามตรงดีหรือไม่? ”

        ให้ฮั่วปี้รับผิดชอบต่อเว่ยเหม่ยเจีย!

        ทว่าคำพูดเช่นนี้ฮูหยินเว่ยกั๋วกงไม่สามารถพูดออกมาได้อย่างแน่นอน

        ดังนั้นนางจึงหลีกเลี่ยงใจความสำคัญและพูดอย่างแผ่วเบาว่า “ท่านเป็นต้นเหตุของเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ นอกจากนี้จงอู่โหวยังมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกับท่าน หากท่านไม่ให้คำอธิบายเรื่องนี้แก่พวกเรา แล้วผู้ใดจะสามารถให้คำอธิบายกับพวกเราได้เล่า? พระชายาโยวอ๋อง หากท่านไม่อธิบายให้กระจ่าง พวกเราจะไปที่วังหลวงเพื่อให้ฮ่องเต้ทรงช่วยเหลือ! ”

        ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกสกุลฮั่วและซูจิ่นซีที่เป็นเช่นนี้ ถือว่าเป็นเครือญาติ?

        “อวดดี! ” ทันใดนั้นดวงตาของซูจิ่นซีพลันดุดันขึ้นมา นางพูดอย่างเย็นชาว่า “ฮูหยินเว่ยกั๋วกง ข่าวลือ ข่าวโคมลอยเกี่ยวกับข้าในเมืองตี้จิงบัดนี้ ข้าได้อธิบายไว้อย่างชัดเจนที่ประตูจวนโยวอ๋องก่อนที่จะมาหนานย่วนแล้ว หากสติปัญญาของท่านถูกปิดกั้นจนไม่สามารถรับรู้สิ่งใดได้ ข้าสามารถให้เวลาท่านในการแสวงหาพยานหลักฐาน ทว่าหากท่านกล้าพูดจาไร้สาระและโยนโถอุจจาระมาใส่ข้า ก็อย่าหาว่าข้าไม่เห็นแก่จิตใจของท่านและท่านแม่เล่า”

        ฮูหยินเว่ยกั๋วกงตกตะลึงไปทั้งร่าง ใบหน้าซีดเผือดด้วยความตกใจ

        เฉินไท่เฟยไม่ได้บอกว่าซูจิ่นซีเป็นลูกพลับที่สุกนิ่มหรอกหรือ? เหตุใดจึงดุร้ายถึงเพียงนี้เล่า?

        ที่จริงแล้ว อย่าว่าแต่ฮูหยินเว่ยกั๋วกงเลย กระทั่งทุกคนที่อยู่ที่นี่รวมไปถึงเฉินไท่เฟยและไหวหยางจวิ้นจู่ ล้วนคิดไม่ถึงว่าเมื่อครู่ซูจิ่นซีที่นิ่งเงียบจะเกรี้ยวกราดขึ้นมาอย่างกะทันหัน

        “พระชายาโยวอ๋อง ท่านวางอำนาจบาตรใหญ่ต่อหน้าพวกเราจะมีประโยชน์อันใด อย่างไรเสียจวนจงอู่โหวก็มีความสัมพันธ์เครือญาติกับท่าน เรื่องนี้ท่านควรร้องเรียนแทนไหวหยางจวิ้นจู่” อย่างไรเสียเว่ยกั๋วกงก็เป็นบุรุษ แม้ซูจิ่นซีจะแข็งแกร่งเพียงใดก็คงมีความหวั่นเกรงอยู่ไม่น้อย

        ดีนี่!

        เว่ยกั๋วกงผู้นี้ถึงกับกล่าวยั่วยุออกมาเอง

        ซูจิ่นซีจ้องเขม็งไปที่เว่ยกั๋วกงและไม่พูดจาอันใด ทว่าดวงตากลับค่อยๆ หรี่ลงอย่างเชื่องช้า

        เห็นได้ชัดว่าซูจิ่นซีมีร่างกายผอมบาง ยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนคนอ่อนแออยู่บ้าง ทว่าแผ่นหลังของเว่ยกั๋วกงกลับรู้สึกเย็นเยือกจากการจ้องมองของซูจิ่นซี

        เมื่อจ้องมองอีกครั้ง เขากลับไม่พบว่าซูจิ่นซีผอมแห้งอ่อนแอ ทว่านางคือนกอินทรีที่แข็งแกร่งอย่างเห็นได้ชัด เป็นนางในสวรรค์ชั้นเก้าที่ชำเลืองมองลงมายังใต้หล้า

        “โยว… พระชายาโยวอ๋อง ท่านคิด… คิดจะกระทำสิ่งใด? ” เว่ยกั๋วกงอดก้าวถอยหลังสองก้าวไม่ได้

        ซูจิ่นซียังคงไม่พูดสิ่งใดกับเขา นางยกยิ้มมุมปากให้เขาอย่างเย็นชาและหันไปมองไหวหยางจวิ้นจู่

        “ไม่ทราบว่าฮ่องเต้พระราชทานบรรดาศักด์ขั้นใดแก่ไหวหยางจวิ้นจู่หรือเพคะ? ” ซูจิ่นซีถามขึ้น

        ใบหน้าของไหวหยางจวิ้นจู่เปลี่ยนไปและไม่พูดจา

        ทันใดนั้นซูจิ่นซีก็ถามฮั่วปี้ว่า “ขออนุญาตถามคุณชายใหญ่ฮั่ว มารดาของท่านเป็นองค์หญิงขั้นใดหรือ? ”

        แท้จริงแล้วฮั่วปี้ก็เหมือนกับฮั่วอวี้ ตัวอ้วนและหูกางใหญ่ กระทั่งยังโง่เซ่อกว่าฮั่วอวี้ ในคราแรกเขามองไม่ออกด้วยซ้ำว่าซูจิ่นซีถามสิ่งนี้เพื่ออันใด

        คาดไม่ถึงว่าฮั่วปี้จะยืดคอขึ้นอย่างภาคภูมิใจและเย่อหยิ่งสำคัญตัว “พระชายาโยวอ๋อง ท่านโปรดฟังให้ดี มารดาของข้าคือองค์หญิงไหวหยางลำดับขั้นที่เก้าของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน”

        “ลำดับขั้นที่เก้า! ” ซูจิ่นซีจงใจเบิกตาโต

        ฮั่วปี้ยิ่งมองซูจิ่นซีอย่างยโสโอหังกว่าเดิม “เป็นอย่างไรเล่า? ตกใจมากใช่หรือไม่? ”

        ซูจิ่นซียิ้มเยาะที่มุมปากชั่วครู่ นางเอ่ยกับไหวหยางจวิ้นจู่ว่า “ไหวหยางจวิ้นจู่ ท่านกล้าหาญยิ่ง เป็นเพียงองค์หญิงบรรดาศักดิ์ลำดับเก้าเท่านั้นยังอาจหาญอวดดีพูดจาโผงผางต่อหน้าข้า ทั้งยังกล้าพากองกำลังมาที่ตำหนักหนานย่วนของข้า ผู้ใดมอบความกล้าหาญให้แก่ท่าน ในสายตาของท่านยังมีข้า ยังมีพระชายาลำดับสี่เช่นข้าอยู่หรือไม่? ”

        เมื่อพิจารณาลำดับศักดิ์อย่างจริงจัง ไหวหยางจวิ้นจู่กระทำผิดจริง นางคิดจะอ้าปากพูดกระไรบางอย่างทว่ากลับไม่พูดออกมา

        “ซูจิ่นซี เจ้าคิดจะทำกระไร? มารดาของข้าเป็นองค์หญิงที่ได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้ด้วยพระองค์เอง! ” ฮั่วปี้เริ่มวิตกกังวลในทันใดและพูดขึ้นอย่างโง่เขลา

        ถุย!

        ข้าก็เป็นองค์หญิงลำดับสี่ที่ได้รับการแต่งตั้งจากฝ่าบาทเช่นกัน!

        ทว่าซูจิ่นซีคร้านจะสนใจเรื่องพวกนี้เหมือนเช่นคนงี่เง่า

        นางถามฮั่วปี้ว่า “เมื่อคืนเจ้าทำอันใดเว่ยเหม่ยเจีย? พูดมาตามตรงดีกว่า หากกล้าพูดโกหกไร้สาระ ข้าจะสั่งให้คนฆ่าเจ้าเดี๋ยวนี้! ”

        เมื่อซูจิ่นซีถามขึ้นเช่นนี้ สาวใช้ทั้งสองที่ดูแลเว่ยเหม่ยเจียต่างตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง น้ำตาของนางเริ่มไหลลงมาไม่หยุดราวกับน้ำท่วมเขื่อนแตกอย่างไรอย่างนั้น

        แววตาของเว่ยกั๋วกงและฮูหยินเว่ยกั๋วกงเป็นประกาย รอคอยคำตอบของฮั่วปี้

        เฉินไท่เฟยตกตะลึงอย่างมาก คาดไม่ถึงว่านางจะกระวนกระวายใจมากกว่าเว่ยกั๋วกงและฮูหยินเว่ยกั๋วกงเสียอีก เฉินไท่เฟยกำหมัดทั้งสองข้างแน่น

        “เจ้ากล้ายิ่งนัก! ” ไหวหยางจวิ้นจู่ตะโกนขึ้น

        “ไหวหยางจวิ้นจู่ ท่านควรดูแลตนเองดีกว่า! ข้าเคยกล่าวอภัยให้ท่านที่ดูถูกเหยียดหยามข้าหรือไม่? ” เสียงของซูจิ่นซีแข็งกร้าวยิ่งกว่าเสียงของไหวหยางจวิ้นจู่

        ไหวหยางจวิ้นจู่สำลักคำพูดของซูจิ่นซี ใบหน้าแดงก่ำเล็กน้อย นางไม่พูดอันใดอีก

        “พูดมา! ” ซูจิ่นซีดุฮั่วปี้อย่างรุนแรง

        ร่างกายของฮั่วปี้สั่นเทา ทันใดนั้นก็เห็นกระจ่างแล้วว่าพระชายาโยวอ๋องที่อยู่ตรงหน้าตนท่านนี้มีความงามที่น่าทึ่งยิ่ง

        นอกจากนั้น ฮั่วปี้ที่หยิ่งทะนงในมารดาของตนเสมอ คาดไม่ถึงว่ามารดาที่เขาคิดว่าสามารถยกเอาฐานะสูงส่งมาข่มขู่ได้กลับไม่กล้าแม้แต่จะพูดต่อหน้าสตรีผู้นี้ด้วยซ้ำ

        เจอบุคคลสำคัญเข้าเสียแล้ว…

        ความคิดของฮั่วปี้นั้นเรียบง่ายเหมือนคนโง่เง่าอย่างไรอย่างนั้น ทว่าไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าเขาไม่เพียงเป็นคนโง่เง่าเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นยังไร้ยางอายเสียด้วย

        ทันใดนั้นเขาก็ชี้ไปที่เว่ยเหม่ยเจียและพูดว่า “เมื่อคืนนางเป็นคนปลุกปล้ำข้า! เป็นนางที่ถอดเสื้อผ้าออกต่อหน้าข้าและล่อลวงข้า ข้าเมาแล้ว ไม่รู้กระไรเลยแม้แต่น้อย มันไม่ใช่เรื่องของข้า! ”

……

เชิงอรรถ

[1] พันหนึ่งราตรี คือสำนวนจีน หมายถึง เรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน