ภาคที่ 3 ตอนที่ 32 การประลองกระบี่บนโขดหินโสโครก

มรรคาสู่สวรรค์

ถงหลูมิได้กล่าวกระไร สีหน้าเฉยชา

ทันใดนั้น ลำแสงกระบี่สว่างวาบ

กระบี่บินวกกลับมาจากโขดหินโสโครกที่อยู่ไกลออกไป มีแต่หยดน้ำ ไม่มีเลือด

หลิ่วสือซุ่ยที่ืยืนอยู่บนโขดหินโสโครกได้หายตัวไป

ถงหลูร่ายเคล็ดกระบี่เงียบๆ อากาศที่อยู่ตรงหน้าเปลี่ยนแปลงรูปร่างเล็กน้อย ฟองน้ำสีขาวที่อยู่ใต้เท้าพลันหายไป จากนั้นร่างกายเขาหายไป

เสียงฉึบดังขึ้นเบาๆ บนโขดหินที่เขายืนอยู่ในตอนแรกมีรอยลึกปรากฏขึ้นมารอยหนึ่ง

น้ำทะเลสีครามซัดสาดอยู่ในโขดหินโสโครกแถบนี้ คลื่นทะเลหนุนเนื่อง ภายในรอยแตกของโขดหินโสโครกพ่นน้ำทะเลออกมาเป็นช่วงๆ กลิ่นคาวค่อนข้างรุนแรง

ถงหลูและหลิ่วสือซุ่ยไม่รู้ไปแอบอยู่ที่ใด พวกเขาเตรียมจะปล่อยกระบี่ครั้งต่อไป

เมื่ออยู่ในระดับสภาวะอย่างพวกเขา ก็เป็นไปได้ยากที่จะมองเห็นกระบี่บินของอีกฝ่ายด้วยตาเปล่า ในการต่อสู้ย่อมต้องมีความอันตรายมากยิ่งขึ้น มักจะตัดสินกันในกระบี่เดียว

ตอนที่ประลองกระบี่กันในชิงซาน สาเหตุที่การประลองกระบี่ของศิษย์แต่ละยอดเขาดูยอดเยี่ยมปานนั้น ไล่โจมตีไม่หยุด นั่นเป็นเพราะทั้งสองฝ่ายต่างรู้จักกันดี ยิ่งไปกว่านั้นก็มิได้ต้องการต่อสู้กันถึงตาย

แต่การต่อสู้ของถงหลูและหลิ่วสือซุ่ยในเวลานี้นั้นตั้งอยู่บนความเป็นความตาย

หากกระบี่แรกของพวกเขาก่อนหน้านี้มิได้โจมตีถูกความว่างเปล่า ฟองอากาศสีขาวในโขดหินโสโครกในเวลานี้คงจะถูกย้อมจนกลายเป็นสีแดงแล้ว

เวลาค่อยๆ เดินไป น้ำทะเลกระแทกโขดหิน ส่งเสียงดังโครมๆ ร่างกายของทั้งสองคนยังคงไม่ปรากฏออกมาให้เห็น

ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือแอบซ่อนร่องรอยของตัวเอง คล้ายกับตอนที่เจ้าล่าเยวี่ยสังหารลั่วไหวหนานครั้งนั้น

ด้านล่างของหินโสโครกก้อนหนึ่ง แสงสว่างน้อยนิด ยากจะมองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า บนโขดหินเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำและซากเปลือกหอย

ถงหลูยืนอยู่ด้านใน ดวงตาปิดสนิท ปล่อยให้น้ำทะเลรดลงไปบนใบหน้าและร่างกาย ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ลมหายใจแผ่วเบาและทอดยาวจนคล้ายจะหยุดลง

กระบี่บินของเขามีระดับพลังวิญญาณที่สูงมาก มีนามว่าประจิมเหน็บหนาว ในเวลานี้มันกำลังแอบซ่อนตัวอยู่ในเกลียวคลื่นที่เป็นสีขาวดุจหิมะ พร้อมจะโจมตีออกไปทุกเมื่อ

ด้านหลังหินโสโครกอีกก้อนหนึ่งที่ไกลออกไปหลายร้อยจ้าง หลิ่วสือซุ่ยหลับตา นั่งขัดสมาธิอยู่ในทะเล

ศีรษะของเขาอยู่ห่างจากผิวน้ำหลายฉื่อ

แต่กระบี่ของเขาไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน

ท่ามกลางเสียงซัดสาดของเกลียวคลื่น พวกเขายากที่จะจับเสียงเต้นของหัวใจและลมหายใจของอีกฝ่าย เพื่อที่จะทำการระบุตำแหน่งของอีกฝ่ายได้ จึงได้แต่ต้องแผ่จิตจำแนกแห่งกระบี่ออกไปค้นหา แต่มันก็จะถูกอีกฝ่ายใช้จิตจำแนกระบุตำแหน่งของตัวเองกลับได้อย่างง่ายดายเช่นกัน ดังนั้นสุดท้ายแล้วก็ต้องมาดูว่ากระบี่ของใครเร็วกว่า

ถงหลูพลันรับรู้ได้ถึงอันตราย เขาลืมตาพร้อมหลบไปด้านข้าง

เสียงฉึบดังขึ้น ไหล่ซ้ายของเขามีบาดแผลปรากฏขึ้นมา

หินโสโครกก้อนนั้นถูกฟันจนเป็นรอยแตก ตะไคร่น้ำและเศษเปลือกหอยแตกกระจาย จากนั้นร่วงหล่นลงในทะเล

กระบี่ของหลิ่วสือซุ่ยแอบซ่อนอยู่ในทะเล!

ถงหลูคิดไม่ถึงว่าศิษย์ที่ถูกขับออกจากชิงซานผู้นี้จะอันตรายถึงเพียงนี้ แต่เขาก็หาได้หวาดกลัวไม่ ปราณกระบี่โคจรอย่างรวดเร็ว สองนิ้วประกบแล้วชี้ออกไปยังตำแหน่งหนึ่งในทะเลที่ไกลออกไป

กระบี่ประจิมเหน็บหนาวแหวกอากาศพุ่งออกไป ผิวน้ำเกิดเป็นเส้นสีขาว เกลียวคลื่นซัดสาด อานุภาพน่าตกใจ

เพลงกระบี่กระแสน้ำซ่อนเร้นของสำนักกระบี่ซีไห่!

……

……

ลำแสงกระบี่สว่างวาบ

บนผิวน้ำทะเลเกิดเป็นกระแสน้ำปั่นป่วนหลายสิบสาย

ก้อนหินถูกฟันจนแตกกระจาย จากนั้นกระเด็นลอยขึ้นไปคล้ายฝนที่ตกกลับขึ้นไปบนฟ้า

ถงหลูบินถอยกลับมาสิบกว่าจ้าง จ้องมองร่างที่อยู่ไกลออกไปร่างนั้น ตะคอกเสียงดังว่า “เจ้าเรียนกระบี่นี้มาจากไหน!”

ก่อนหน้านี้เขาระบุตำแหน่งของหลิ่วสือซุ่ยได้ จึงใช้กระบวนท่าที่มีอานุภาพรุนแรงที่สุดในเพลงกระบี่กระแสน้ำซ่อนเร้นอย่างไม่ลังเล

คิดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะเตรียมพร้อมรับมืออยู่แต่แรก ยิ่งไปกว่านั้นยังวิเคราะห์วิถีเคลื่อนที่ของกระบี่ของตนเองออกด้วย จากนั้นสามารถรับเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย!

ร่างหลิ่วสือซุ่ยเปียกโชก ใบหน้าซีดขาว น่าจะเป็นเพราะใช้ปราณก่อกำเนิดไปเป็นจำนวนมาก ดูคล้ายภูตผีที่ปีนขึ้นมาจากทะเล

เสียงร้องกระบี่ที่ดังกังวานหลายเสียงดังขึ้นรอบกายเขา ภายในอากาศที่เต็มไปด้วยไอน้ำมีกระแสการไหลของอากาศปรากฏขึ้นมาเป็นจำนวนมาก

กระแสการไหลของอากาศเหล่านั้นคือร่องรอยการฟาดฟันของกระบี่สองเล่มนั้น

เขาไม่ได้ตอบคำถามของถงหลู กำปั้นกำปั้นหนึ่งพุ่งเข้ามาจากระยะร้อยกว่าจ้าง บนกำปั้นมีเพลิงปีศาจสีดำลุกไหม้!

ไม่ว่าจะเป็นน้ำทะเลที่อยู่ด้านล่างหินโสโครกสีดำหรือว่าเกลียวคลื่น เพียงพริบตาก็ระเหยขึ้นมา แปรเปลี่ยนเป็นมังกรสีขาวพุ่งทะยานเข้าใส่ร่างกายของถงหลู

ถงหลูทราบว่านี้คือวิชามารของสำนักเสวี่ยหมัว และยังมีพลังทำลายของไฟของตานปีศาจด้วย สีหน้าเขาคร่ำเคร่ง เรียกกระบี่ประจิมเหน็บหนาวกลับมา ทำการตั้งม่านกระบี่เอาไว้ด้านหน้าร่างกายสามแถบ

เสียงเพล้งๆๆ ดังขึ้นเบาๆ ม่านกระบี่สามแถบทุกทำลายอย่างต่อเนื่อง!

ถงหลูส่งเสียงอึกออกมา ก่อนจะล้มกระแทกลงไปในหินโสโครกอย่างแรง หน้าอกยุบตัว มุมปากมีเลือดไหล ได้รับบาดเจ็บสาหัส

สีหน้าหลิ่วสือซุ่ยขาวซีด การโจมตีอย่างบ้าคลั่งเช่นนี้ได้ทำให้เขาสูญเสียเพลิงปีศาจและปราณก่อกำเนิดไปเป็นจำนวนมาก

เขาเตรียมจะไล่โจมตี ทันใดนั้นพลันรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ จึงเหลือบมองดูขอบฟ้า ก่อนจะขี่กระบี่หนีไปอย่างไม่ลังเล

เพลิงปีศาจสีดำลุกลามไปรอบด้าน น้ำทะเลเดือดพล่าน หมอกสีขาวคละคลุ้งคล้ายเมฆ หลังสลายหายไป ก็ไม่เห็นร่างของเขาอีก

ลำแสงกระบี่พุ่งลงมายังกองโขดหินโสโครก

ศิษย์สำนักกระบี่ซีไห่มาถึงแล้ว

คนที่เป็นผู้นำคือผู้อาวุโสขั้นคเนจรผู้หนึ่ง

เมื่อเห็นถงหลูที่อยู่บนหินโสโครก ศิษย์สองสามคนพลันตะโกนเรียกศิษย์พี่อย่างตกใจ จากนั้นรีบวิ่งเข้าไปช่วย

ผู้อาวุโสขั้นคเนจรผู้นั้นรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของเพลิงปีศาจที่ยังหลงเหลืออยู่ในอากาศ จึงขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางกล่าวถามว่า “เป็นใคร?”

ถงหลูถูกศิษย์สำนักกระบี่ซีไห่พยุงขึ้นมา กล่าวว่า “หลิ่วสือซุ่ยขอรับ”

เมื่อได้ยินชื่อนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสหรือศิษย์สองสามคนนั้นต่างก็รู้สึกตกตะลึง

ถงหลูส่งสายตาบอกศิษย์น้องว่าไม่ต้องพยุงตนเองแล้ว เขามองดูหินโสโครกที่ถูกฟันจนแตก ปลาตายที่ลอยขึ้นมาทุกที่ ในดวงตามีแววตาโกรธแค้นปรากฏขึ้นมา

“ครั้งนี้เขาหนีไม่รอดแน่”

นับแต่ที่เห็นจดหมายฉบับนั้น เขาก็เริ่มคาดเดาแล้วว่าเป็นผู้ใดที่มาท้าตนเองสู้

ถึงแม้นเขาจะคิดไม่ถึงว่าหลิ่วสือซุ่ยจะใจกล้าถึงเพียงนี้ แต่คำตอบนี้ก็มิได้เหนือความคาดหมายเขาไปเท่าใดนัก

ที่นี่คือด้านนอกเมืองไห่โจว เป็นอาณาเขตของสำนักกระบี่ซีไห่ เขาได้เตรียมการล้อมจับเอาไว้ตั้งแต่ก่อนที่จะมาประลองแล้ว ย่อมไม่มีทางปล่อยให้หลิ่วสือซุ่ยหนีไปได้

แต่เรื่องราวหลังจากนั้นกลับเหนือไปจากความคาดหมายของถงหลู

สำนักกระบี่ซีไห่ปิดตายเมืองไห่โจว ส่งศิษย์จำนวนมากออกค้นหา แต่กลับไม่พบร่องรอยของหลิ่วสือซุ่ย

เขาหายตัวไปเฉยๆ คล้ายกับผีตนหนึ่ง

……

……

นอกเมืองไห่โจวมีเมฆแถบหนึ่งที่ตลอดทั้งปีไม่ยอมสลายหายไปไหน หรือควรจะเรียกว่าเมฆก้อนหนึ่งมากกว่า

เพราะเมฆก้อนนี้หนามาก ตั้งแต่ด้านล่างไปจนถึงด้านบนสุดไม่รู้ว่าสูงกี่พันจ้าง

กระทั่งประชาชนในเมืองยังรู้ว่าในเมฆมีภูเขาลูกหนึ่งซ่อนตัวอยู่ ในภูเขามีตึกตำหนักจำนวนนับไม่ถ้วน

ภายในเมืองไห่โจวมักจะมองเห็นภาพชาวเมืองออกมาคุกเข่าอยู่บนพื้น กราบไหว้ไปทางก้อนเมฆก้อนนั้นอยู่บ่อยๆ

ที่นั่นคือลานเมฆ

ในส่วนที่ลึกที่สุดของลานเมฆมีห้องที่เงียบสงบอย่างมากอยู่ห้องหนึ่ง

แสงจากโลกภายนอกยากจะส่องมาถึงที่นี่ได้ ดังนั้นบนผนังหินจึงมีไข่มุกราตรีฝังอยู่เป็นจำนวนมาก แสงสว่างนุ่มนวล เหมาะแก่การอ่านหนังสือ

บางทีอาจจะเป็นเพราะเหตุนี้ บนชั้นวางของที่อยู่ภายในห้องจึงมีหนังสือตั้งเรียงรายอยู่เต็มไปหมด บนโต๊ะเองก็มีม้วนเอกสารที่ัสั้นยาวไม่เท่ากันกองอยู่เต็มไปหมด

หลิ่วสือซุ่ยนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะ ประเดี๋ยวก็หยิบเอาม้วนเอกสารมากางออก อ่านด้วยสีหน้าจริงจัง จากนั้นมือขวาก็หยิบพู่กันขึ้นมาจดอะไรบางอย่างลงไปบนกระดาษขาว

ใครจะไปคิดบ้างว่าที่แท้ปู้เหล่าหลินที่แสนลี้ลับจะแอบซ่อนตัวอยู่ในลานเมฆอันเป็นสถานที่สำคัญของสำนักกระบี่ซีไห่

มิน่าไม่ว่าสำนักฝ่ายธรรมะและราชสำนักจะค้นหามาร้อยกว่าปี แต่สุดท้ายก็หาไม่พบว่าปู้เหล่าหลินอยู่ที่ไหน

มิน่าหลิ่วสือซุ่ยที่สังหารศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักจงโจวลั่วไหวหนาน ถูกสำนักจงโจวและสำนักชิงซานประกาศจับตัว ก็ยังสามารถใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยมาจนถึงตอนนี้ได้

มิน่าถงหลูที่เตรียมการเอาไว้แต่แรก สำนักกระบี่ซีไห่ออกค้นหาจนทั่ว แต่เขาก็ยังหลบหนีออกมาได้อย่างสบายๆ

แสงภายในห้องเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย

หลิ่วสือซุ่ยมองไปทางชายวัยกลางคนที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมาในห้อง

ชายวัยกลางคนสวมชุดสีดำที่ดูสวยงาม ให้ความรู้สึกสูงศักดิ์

นั่นคือซีหวังซุน

หลิ่วสือซุ่ยลุกขึ้นคารวะ

ซีหวังซุนมองดูเขา กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ในเมื่อได้รับบาดเจ็บ ก็ควรจะพักผ่อน เอกสารพวกนี้ไม่มีทางจัดเสร็จได้ในเวลาสั้นๆ ไยต้องรีบร้อนล่ะ”

…………………….