ตอนที่ 376 บังเอิญพบใต้ทะเลสาบ

พันธกานต์ปราณอัคคี

ตอนที่ 376 บังเอิญพบใต้ทะเลสาบ

 

 

 

 

คันธนูเขียวซ่อนเร้นปรากฏขึ้นในมือมั่วชิงเฉิน ศรแหลมคมเล็งเป้าไปที่ดวงตาของปลาหมึกยักษ์แล้วพุ่งออกไป มันลากลำแสงสีทองให้ปรากฏกลางอากาศพลันทำให้ท้องฟ้าสว่าง

 

 

ในขณะเดียวกันในมือของเผยสิบสามที่อยู่ข้างๆ ก็มีกระบี่ยาวที่รวมตัวขึ้นมา เขาฟาดมันลงด้วยความดุดัน ไอกระบี่กระแสหนึ่งเหมือนสายรุ้งพุ่งตรงไปยังปลาหมึกยักษ์

 

 

เจ้าปลาหมึกยักษ์เป็นเพียงสัตว์อสูรขั้นห้า ด้วยการโจมตีที่ร่วมมือกันของมั่วชิงเฉินและเผยสิบสามไฉนเลยจะมีกำลังสู้กลับ มันถูกยิงทะลุตัวในทันใด ร่างกายแบกออกเป็นสองท่อนเพราะไอกระบี่ดุจสายรุ้ง เลือดสีฟ้าสดพุ่งออกมาย้อมให้น้ำทะเลสาบที่อยู่รอบข้างกลายเป็นสีฟ้าแปลกประหลาด

 

 

“แค่กๆ” ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังปีนขึ้นฝั่ง ไอออกมาอย่างรุนแรง

 

 

มือทั้งสองข้างของหญิงบำเพ็ญกำหญ้าป่าบนฝั่งเอาไว้แน่น ท่อนล่างยังคงแช่อยู่ในน้ำ แต่กลับไม่มีเรี่ยวแรงปีนขึ้นมาอีกได้แต่ยืนนิ่งไม่ขยับ

 

 

มั่วชิงเฉินและเผยสิบสามร่อนลงมา

 

 

“สหายเต๋าท่านเป็นอะไรหรือ” เผยสิบสามค่อยๆ เอ่ยปากขึ้น มั่วชิงเฉินพบว่าเขาเหมือนจะต่างออกไป เหมือนกับตอนที่เพิ่งพบเขาในตอนแรก การกระทำสง่างามไม่มีข้อบกพร่อง ไม่สู้ตอนที่คิดจะกรอกตาแล้วยังต้องข่มตนเองในการแสดงอารมณ์ที่แท้จริงตอนที่ถูกอีกาไฟแย่งบทพูด

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังถ่มน้ำลายออกมาอย่างแรง พูดเสียงหอบ “ไม่ต้องพูดถึงแล้ว พวกข้าเพิ่งจะจัดการกับหอยผูกมัดคู่หนึ่งเสร็จ จังหวะที่พลังวิญญาณถูกใช้ไปจนหร่อยหรอจู่ๆ ก็มีปลาหมึกยักษ์ตัวหนึ่งพุ่งออกมาจากช่องแห่งหนึ่ง เหอะ ช่างโชคร้ายเสียจริง!”

 

 

จะไม่โชคร้ายได้อย่างไร หากในยามปกติผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณสองคนสู้กับอสูรปีศาจขั้นห้าเป็นเพียงเรื่องง่ายเหมือนปลอกกล้วยเข้าปาก แต่ตอนนี้กลับเกือบต้องแลกกับชีวิต

 

 

ฉะนั้นถึงพูดกันว่าเวลากำหนดชีวิต

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังพูดพลางหันไปอีกทาง เห็นหญิงบำเพ็ญเพียรนอนสลบแช่อยู่ในน้ำครึ่งตัวถึงขมวดคิ้วมถ้น พูดเสียงไม่พอใจ “เจ้าตัวซวย!”

 

 

พูดจบกลับยื่นมือออกไปดึงนางขึ้นมา

 

 

มั่วชิงเฉินอมยิ้ม เป็นอีกครั้งที่นางรู้สึกว่าผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังคนนี้น่าสนใจ คำพูดคำจาไม่ไว้หน้า แต่ปฏิบัติต่อหญิงบำเพ็ญนั่นไม่เลวเลยทีเดียว ไม่รู้ดีกว่าผู้ชายที่เต็มไปด้วยคำหวานเหล่านั้นมากเพียงใด

 

 

ระหว่างผู้บำเพ็ญเพียรด้วยกันนอกจากตลบหลังและป้องกันก็ยังคงมีความสงสารอยู่เล็กน้อยบ้างกระมัง

 

 

ความสงสารเช่นนี้ไม่เกี่ยวกับความรัก แต่เป็นเพราะล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทเดียวกัน มั่วชิงเฉินที่เคยประสบผ่านความโกลาหลแห่งวิกฤตอสูรรู้สึกทอดถอนใจ

 

 

ใจกว้าง สงสาร เข้าใจ และปรารถนาดี สิ่งเหล่านี้เป็นความรู้สึกที่งดงามในโลกคนธรรมดา ไม่ควรที่จะเอามาเป็นข้ออ้างในการเหยียบย่ำละทิ้งของผู้บำเพ็ญเพียรที่ไล่ตามพละกำลังอันยิ่งใหญ่ ไล่ตามความเป็นอมตะ

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งควรจะมีพละกำลังและจิตใจที่เท่าเทียม มีพละกำลังมากเพียงใดก็ควรจะมีจิตใจที่กว้างขวางมากเท่านั้น ไม่ใช่ว่าอาศัยพละกำลังที่คนธรรมดายากจะมีทำตัวยโสโอหัง เช่นนั้นมีแต่ทำให้พบบทลงโทษจากสวรรค์

 

 

ความคิดรำพันของมั่วชิงเฉินถูกทำลายลงด้วยเสียงร้องครางของหญิงบำเพ็ญ

 

 

“อืม ข้า ข้ายังมีชีวิต…” หญิงบำเพ็ญช้อนตามองเห็นมั่วชิงเฉินและเผยสิบสาม เสียงหยุดไปแล้วพูดต่อว่า “คุณชายเผย ท่านช่วยข้าน้อยหรือเจ้าคะ”

 

 

“อยู่นิ่งๆ หากเจ้ายังพูดมากอยู่ข้าจะโยนเจ้ากลับลงไปในน้ำอีก!” ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังที่อยู่ข้างๆ ตะคอก

 

 

หญิงบำเพ็ญตะลึงไป จากนั้นก็ก้มหน้าลงด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ ยังไม่ลืมถลึงตามองมั่วชิงเฉินทีหนึ่ง

 

 

สายตาของเผยสิบสามไม่ได้มองหญิงบำเพ็ญแม้แต่ครั้งเดียว แต่กลับเดินตรงไปขอบฝั่ง ในมือมีเชือกสีเขียวหยกเส้นหนึ่งขยับขึ้นๆ ลงๆ ในน้ำแล้วลากปลาหมึกยักษ์ขึ้นมา

 

 

ควักมุกปีศาจของปลาหมึกยักษ์แล้วโยนให้มั่วชิงเฉิน “แม่นางมั่ว มุกปีศาจนี้เป็นของท่าน”

 

 

มั่วชิงเฉินยื่นมือไปรับ ช้อนตาขึ้นมอง ตามจริงแล้วพวกเขาจัดการอสูรปีศาจพร้อมกันนางเอามุกปีศาจไปก็ดูจะเอาเปรียบไปเสียหน่อย

 

 

เผยสิบสามเหมือนเดาความคิดของมั่วชิงเฉินได้ ยิ้มในทันใดพูดว่า “ข้าน้อยกำลังต้องการผนังหมึกของปลาหมึกยักษ์นี้ แม่นางมั่วเอามุกปีศาจไป ต่างฝ่ายต่างได้สิ่งที่ต้องการ”

 

 

พูดจบสายตาก็ทอดมองไปยังร่างไร้วิญญาณของปลาหมึกยักษ์ แลดูมีคิดอะไรบางอย่าง

 

 

ในเมื่อเขาพูดเช่นนี้มั่วชิงเฉินย่อมไม่เล่นตัว เก็บมุกปีศาจลงไป ถามว่า “สหายเต๋าเผย ปลาหมึกยักษ์ตัวนี้มีอะไรไม่เหมาะสมหรือไม่”

 

 

“หือ เหตุใดแม่นางมั่วถึงคิดเช่นนี้” เผยสิบสามกระดกคิ้ว

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มปาก “หากไม่มีอะไรพิเศษ แค่ร่างอสูรปีศาจขั้นห้าตัวหนึ่งถูกผ่าเป็นสองท่อนเกรงว่าคงไม่มีค่าให้สหายเต๋าเผยพิจารณาอย่างตั้งใจเช่นนี้”

 

 

“เหอๆ แม่นางมั่วสายตาแหลมคมนัก ข้าน้อยรู้สึกแปลกใจจริง เจ้าปลาหมึกยักษ์ตัวนี้ไม่ควรที่จะปรากฎตัวที่นี่ พื้นที่ปกติของมันอยู่ห่างจากที่นี่หมื่นกว่าลี้…” เผยสิบสามพูดเท่านี้ก็เงยหน้าขึ้นมองผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลัง “สหายเต๋า ไม่ทราบว่าปลาหมึกยักษ์ปรากฏตัวที่ใด พาข้าน้อยไปดูได้หรือไม่”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังโบกมือ “ได้ ไม่มีปัญหา แต่ต้องรอให้พลังวิญญาณของข้าฟื้นกลับมาก่อนนะ”

 

 

“ย่อมเป็นเช่นนั้น” เผยสิบสามพยักหน้า

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังและหญิงบำเพ็ญรีบทำเวลาฟื้นฟูพลังวิญญาณ มั่วชิงเฉินตัดสินใจนั่งสมาธิเริ่มฝึกบำเพ็ญตบะเช่นเดียวกัน

 

 

มีเพียงเผยสิบสามที่ยังคงยืนอยู่ข้างร่างปลาหมึกยักษ์ แลครุ่นคิดอะไรอยู่

 

 

  “คุณชายเผย ไปกันเลย” ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังฟื้นกำลังเสร็จลุกขึ้นมา

 

 

  “แม่นางทั้งสองโปรดรอชั่วครู่” เผยสิบสามยิ้มเล็กน้อย กระโดดลงไปในทะเลสาบพร้อมกับผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลัง

 

 

  มั่วชิงเฉินและหญิงบำเพ็ญไร้คำจะพูด ทำได้เพียงนั่งเท้าค้างมองผิวทะเลสาบเหม่อลอย

 

 

  หญิงบำเพ็ญอดกลั้นแต่ก็ยังอดพูดเย้ยหยันออกมาประโยคหนึ่งไม่ได้ “ได้ยินคุณชายเผยสิบสามเรียกเจ้าว่าแม่นางมั่วใช่หรือไม่ สหายเต๋ามั่ว อย่าหาว่าข้าไม่เตือนเจ้า ชาติตระกูลของคุณชายเผยสิบสามสูงส่งนัก ไม่ใช่ใครที่ไหนจะมาลอบคิดไม่ได้ดีด้วยได้”

 

 

  มั่วชิงเฉินลอบถอนหายใจ นี่มันข้าไม่ได้ไปหาเรื่องใครแต่กลับมีเรื่องมาหาข้า 

 

 

 ทั้งสองคนอยู่ในระดับเดียวกัน หากสู้กันขึ้นมาจริงๆ อย่างมากก็เป็นคนแบบนางสองคน มั่วชิงเฉินเองก็ไม่กลัว นางย่อมไม่ได้อารมณ์ดีจะอดทนอดกลั้นเอาไว้ จะแสร้งทำเป็นหมาป่าห่มหนังแกะก็ต้องดูว่าเป็นสถานการณ์เช่นไร คนเช่นนี้หากถอยหลังให้แล้วหนึ่งก้าวก็จะคิดว่าสามารถรังแกได้ แล้วยิ่งพูดจาทำร้ายกันมากขึ้น

 

 

  “ทำไมหรือ ข้าพูดจี้จุดหรืออย่างไร” สายตาของหญิงบำเพ็ญแฝงความดูแคลน          

 

 

  มั่วชิงเฉินยิ้มกว้าง เสน่ห์ที่ถูกปล่อยออกมาในชั่วพริบตาทำให้หญิงบำเพ็ญตะลึงไป “ที่สหายเต๋าพูดก็ถูก ใครที่ไหนไม่รู้มาลอบคิดไม่ดีกับคุณชายเผยย่อมเป็นไปไม่ได้”

 

 

  “เจ้า เจ้าหมายความว่าเช่นไร” หญิงบำเพ็ญไม่ได้โง่ย่อมฟังคำเย้ยหยันที่แฝงอยู่ในคำพูดของมั่วชิงเฉินได้

 

 

  มั่วชิงเฉินเลิกคิ้ว “สหายเต๋าคิดว่าข้าหมายถึงอะไรเล่า”

 

 

  หญิงบำเพ็ญผุดลุกขึ้นในทันใด “ข้าจะบอกเจ้า คุณชายเผยสิบสามเขาถูกกำหนดไว้ว่าต้องไปเฟิ่งหลินโจวสู่ขอคุณหนูตระกูลซั่งกวนของที่นั่น ตระกูลซั่งกวนนั้นเป็นถึงตระกูลผู้บำเพ็ญอันดับหนึ่งในเฟิ่งหลินโจว เจ้าคิดว่าเจ้าหน้าตาดีอยู่บ้างแล้วจะทำให้คุณชายเผยเปลี่ยนความตั้งใจได้เช่นนั้นหรือ”

 

 

  มั่วชิงเฉินเริ่มรู้สึกปวดหัว นางก็เคยพูดคุยผูกสัมพันธ์กับผู้บำเพ็ญหญิงมาก่อน ไม่ต้องพูดถึงต้วนชิงเกอและมั่วหลีลั่วที่เป็นเหมือนพี่น้อง ต่อให้เป็นเฉินเจียวซิ่งที่เอาแต่ใจอยู่บ้างหรือหลัวเตี๋ยจวินที่เย็นชาล้วนมีส่วนที่น่ารักกันทั้งสิ้น แต่ผู้หญิงคนนี้เหตุใดถึงทำให้คนนึกรังเกียจได้เช่นนี้

 

 

  นิ้วมือของนางลูบผ่านถุงเก็บสัตว์วิญญาณเหมือนไม่ตั้งใจ รอยยิ้มของมั่วชิงเฉินไม่ได้ลดลง แต่ในดวงตากลับไม่มีความอบอุ่นแม้แต่น้อย “สหายเต๋า คุณชายเผยจะไปเฟิ่งหลินโจวแล้วมีความเกี่ยวข้องอะไรกับข้าอย่างนั้นหรือ”

 

 

  ‘อ่า หากว่าตอบรับคำเชิญของเฉิงหรูยวนก็คงจะมีกระมัง ความสัมพันธ์ด้านแข่งขัน?’

 

 

  หญิงบำเพ็ญพ่นหัวเราะ “เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้ความคิดเจ้าหรืออย่างไร บุรุษเช่นคุณชายเผยไม่ใช่ว่าใครจะอาศัยหน้าตาดีแล้วจะเกาะได้ หากว่าเป็นคุณหนูตระกูลเล็กก็แล้วไป แต่คุณหนูตระกูลซั่งกวนแห่งเฟิ่งหลินโจวย่อมไม่อาจรับให้มีเมียน้อยได้เด็ดขาด”

 

 

  มั่วชิงเฉินลุกขึ้นอย่างกะทันหัน

 

 

  “เจ้า เจ้าจะทำอะไร” หญิงบำเพ็ญตกใจ ถอยหลังลงไปหนึ่งก้าว

 

 

  มั่วชิงเฉินพูดชัดถ้อยชัดคำ “คำโบราณกล่าวไว้เมื่อใจมีพระพุทธ สายตาที่มองคนย่อมเป็นพระพุทธ หากในใจเป็นอุจาระสุนัข สายตาที่มองคนก็เป็นอุจาระสุนัข สหายเต๋า ไม่ต้องเอาความคิดของเจ้ามาใช้กับผู้อื่น เหอๆ เป็นถึงผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ แต่สิ่งที่เฝ้าคำนึงคิดกลับเป็นแต่งเข้าเป็นเมียน้อยของคุณชายตระกูลใหญ่ ช่างงามหน้านัก!”

 

 

  พูดถึงตรงนี้ก็หยุดลงพักหนึ่ง แล้วพูดว่า “คำพูดนี้ข้าจะพูดเพียงครั้งเดียว เจ้าฟังให้ดี ไม่ว่าจะเป็นคุณชายเผยหรือคุณชายเฉิงล้วนไม่เกี่ยวข้องกับข้าเลยแม้แต่กระผีกเดียว หากเจ้ายังหาเรื่องไม่เรื่องข้าจะเอาก้อนอิฐตบปากเจ้า!”

 

 

  พูดจบเสียงน้ำแตกกระเซ็นก็ดังขึ้น เผยสิบสามและผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังยืนบนชายฝั่ง ท่าทางไร้ชีวิตชีวา

 

 

  “คุณชายเผย…” หญิงบำเพ็ญร้องเรียกด้วยความน้อยใจ

 

 

  มั่วชิงเฉินปัดเศษฝุ่นบนเสื้อผ้า ค่อยๆ เดินเข้าไปหา ถามเสียงเรียบนิ่ง “สหายเต๋าทั้งสองพบอะไรใต้ทะเลสาบหรือไม่”

 

 

  เผยสิบสามทีท่าทีนิ่งเกร็ง ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังกลับหมุนตัวกลับไปในทันใด ไหล่สั่นสะท้านหัวเราะออกมาเสียงดัง

 

 

  รอจนเขาหัวเราะจนพอแล้วหันกลับมา เหลือบมองเผยสิบสามที่มีท่าทีแปลกประหลาดทีหนึ่งแล้วถึงพูดว่า “เจอเรื่องอะไรข้าไม่อาจสัมผัสได้ หากสหายเต๋ามั่วอยากรู้ก็รอไปถามคุณชายเผยเถิด” พูดจบก็ยิ้มกว้างมากกว่าเคย

 

 

  ในที่สุดเผยสิบสามก็กลับมาเป็นปกติ เหลือบมองทุกคนทีหนึ่งด้วยท่าทีสุขุม “สหายเต๋าทั้งสาม เมื่อครู่นี้ข้าน้อยพบร่องรอยของม่านพลังใต้ทะเลสาบ”

 

 

  “ม่านพลัง?” ทั้งสามคนตะลึงไป เสียงของผู้ฝึกกายดังที่สุด เห็นชัดว่าเขาก็ไม่รู้เรื่อง

 

 

  “ใช่แล้ว อีกทั้งม่านพลังนั้น…เป็นการกระทำของคน!” เผยสิบสามตอบอย่างมั่นใจ

 

 

  ใจของมั่วชิงเฉินกระตุก เป็นการะกระทำของคนแล้วยังอยู่ใต้ทะเลสาบ เช่นนั้นก็หมายความว่าที่นี่มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นถ้ำพักของผู้อาวุโสบางท่าน! 

 

 

 คิดถึงความเป็นไปได้นี้ในใจก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา

 

 

  เสียงนุ่มทุ้มของเผยสิบสามดังขึ้นมาอีกครั้ง “นี่หมายความว่าที่แห่งนี้บางทีอาจเป็นถ้ำพักของผู้อาวุโสบางท่านที่ทิ้งไว้ หรือจะเป็นม่านกำจัดชีวิตที่สร้างไว้ อัตราความเป็นไปได้ของทั้งสองอย่างนั้นครึ่งๆ ไม่ทราบว่าสหายเต๋าทั้งสามมีความคิดเช่นไร”

 

 

  ผู้บำเพ็ญเพียรสายพละกำลังคนนั้นสมกับที่เป็นคนหยาบกร้านแฝงละเอียดอ่อน ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วคิดครู่หนึ่ง ตบเข่าฉาด “ไม่มีเหตุผลที่มาแล้วจะต้องไล่โชคชะตาไป ข้าคิดอยากบุกเข้าไปดู”

 

 

  “สหายเต๋ามั่วเล่า” เผยสิบสามกันมามองมั่วชิงเฉิน

 

 

  มั่วชิงเฉินไม่ลังเล “เหมือนกับที่สหายเต๋าท่านนี้พูด ในเมื่อมาถึงแล้วย่อมต้องลองบุกดู หากเป็นถ้ำพักของผู้อาวุโสคนใดแล้วได้กำไรก็คงดี ต่อให้เป็นม่านกำจัดนั่นก็ถือว่าเปิดโลก อย่างไรก็คงไม่เสียแรงเปล่า”

 

 

  นางพูดอย่างง่ายดาย แท้จริงแล้วได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนมาแล้ว เห็นชัดว่าคุณชายเผยผู้นี้ถนัดวิชาม่านพลัง ดูจากคำพูดเขาเห็นชัดว่าอยากลองดูสักตั้ง นี่หมายความว่าอย่างน้อยเขาก็มีความมั่นใจกว่าครึ่ง เพราะเขานั้นเกิดเป็นคุณชายในตระกูลใหญ่เกรงว่าคงให้ความสำคัญต่อชีวิตมากกว่าผู้อื่น ไม่มีทางที่จะทำอะไรเพียงเพราะความบุ่มบ่ามเป็นแน่

 

 

  ในโลกบำเพ็ญเพียรความมั่นใจเพียงครึ่งถือว่าไม่น้อยแล้ว หากว่านั่นก็กลัวนี่ก็กลัวก็ไม่ต้องมาบำเพ็ญเพียร กลับบ้านไปนั่งรอชะตาก็พอแล้ว

 

 

  “แม่นางช่างมองได้เด็ดขาดเสียจริง” แววตาของเผยสิบสามปรากฏแววชื่นชม แล้วมองไปยังหญิงบำเพ็ญ

 

 

  หญิงบำเพ็ญมีสีหน้าเขินอาย พูดเสียงอ่อน “ข้าน้อยฟังคำคุณชายเผยเจ้าค่ะ”

 

 

  ริมฝีปากของเผยสิบสามประดับยิ้มเยาะ แต่กลับปกปิดได้อย่างดี “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราลงไปสำรวจกันดีหรือไม่”

 

 

  ทั้งสามคนพยักหน้าแล้วกระโจนลงไปในทะเลสาบพร้อมกัน