Ch.92 – แต้มสงครามสูงสุด

Translator : Muntra / Author

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.92 – แต้มสงครามสูงสุด

 

แต่ปัจจุบันมีคนอยู่เยอะเกินไป ไหนจะเรื่องที่ฉินเฟิงกำลังถูกให้ความสนใจอีก เห็นได้ชัดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะลอบสังหารฉินเฟิงในตอนนี้ ยิ่งตาแก่เติ้งตัดสินใจแล้วว่าจะสนับสนุนฉินเฟิง มันก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่

 

หลินเซิงเลยจำต้องระงับความคิดของตนไว้ชั่วคราว

 

 

ฉินเฟิงไม่รู้เลยว่ามีใครบางคนบังเกิดเจตนาร้ายต่อเขา ขณะเดียวกัน ตัวเขาเองก็ไม่เต็มใจที่จะรามือจากซากศพพวกนี้

 

ด้วยความพยายามของเขา เพียงวันเดียวก็สามารถสังหารซากศพเดินได้ไปมากกว่า 500 ตัว ซึ่งเป็นจำนวนพอดีกับที่หลั่งไหลเข้ามาในระลอกก่อน สถานการณ์คงจะดีขึ้น ถ้าหากชุดคลุมดำกระหายเลือดไม่เปิดรอยแยกมิติอีกคราว

 

อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่ามันเป็นเพียงความหวังเพ้อฝันของผู้คน

 

ในช่วงเย็น ชุดคลุมดำปรากฏตัวขึ้นบนยอดเขา และเริ่มเปิดช่องว่างมิติอีกครั้ง

 

เมื่อช่องว่างเปิดออก สถานการณ์จากนี้ไปคงยากจะคาดเดา ไหนจะเรื่องลูกหลงอีก ดังนั้นฉินเฟิงจึงตัดสินใจปลีกตัวจากสนามรบ

 

เนื่องจากเมืองเฉิงหยางได้เรียกกำลังเสริมมาแล้วในครั้งนี้ ภายใต้การปิดล้อมของเลเวล E จำนวนมาก ชุดคลุมดำกระหายเลือดเลยเปิดช่องว่างมิติได้แค่ไม่กี่นาที ก่อนจะถูกบังคับให้ปิดลง ดังนั้นจำนวนซากศพที่ถูกเรียกออกมาเลยไม่มากเท่าไหร่นัก

 

พอตกเย็น ฉินเฟิงก็ไม่มีอะไรให้ทำอีก เขาจึงกลับไปยังค่าย

 

ใจกลางค่าย มีจอแสดงผลเกียรติยศของผู้ที่ประสบความสำเร็จในการต่อสู้ติดตั้งเอาไว้อยู่

 

อันดับ 1 : จ้าวหูซิน (ทีม) , แต้มสงคราม : 1238 , แต้มสะสม 5189

 

อันดับ 2 : ฮั่วรุ่ย (ทีม) , แต้มสงคราม : 1134 , แต้มสะสม 4811

 

อันดับ 3 : เกาหลิงฮาน (ทีม) , แต้มสงคราม : 1089 , แต้มสะสม 4790

 

อันดับ 4 ……..

 

สิ่งที่น่าสนใจก็คือ เหล่าบุคคลที่มีชื่ออยู่ในจอแสดงผลเกียรติยศนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่ถูกเรียกว่า ‘ลูกรักของพระเจ้า’ จากสถาบันต่างๆ ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นทีมอัจฉริยะรุ่นเยาว์

 

“วันนี้ก็เป็นอีกครั้งที่พวกเราสามารถทำผลงานได้มากกว่า 1000 แต้ม! พวกเราจะแบ่งกันเป็น หยางเซ่าเอาไป 200 ส่วนคนอื่นๆเอาไป 100 แต้มเป็นไง?” เกาหลิงฮานกล่าว

 

หยางเซ่าเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณในทีม กำลังรบของเขาเป็นรองเพียงเกาหลิงฮานเท่านั้น เลยเป็นธรรมดาที่คนอื่นๆจะไม่โต้แย้งกับข้อเสนอนี้

 

“ไม่มีปัญหา”

 

“ตกลงตามนั้น”

 

“รุ่นพี่ ฉันไม่ต้องการมันหรอก เพราะฉันรู้สึกว่า ฉันแทบจะไม่ได้ช่วยอะไรเลย!” หลี่เหยาเหยากล่าวด้วยความเขินอาย

 

“ทำไมจะไม่ช่วยล่ะ? พลังรักษาของรุ่นน้องหลี่มีประโยชน์จะตาย ถ้าไม่ใช่เพราะมัน ฉันมีหรือจะสามารถต่อสู้ได้ยาวนานถึงขนาดนี้!” หยางเซ่ากล่าวขึ้นทันที

 

แม้ปัจจุบันหลี่เหยาเหยาจะอยู่แค่ปี 2 และไม่ได้แข็งแกร่งเท่าใดนัก แต่เธอก็เป็นคนที่เชี่ยวชาญในด้านพลังรักษาอย่างน่าประหลาดใจ ดังนั้นเกาหลิงฮานจึงตัดสินใจดึงหลี่เหยาเหยามาเข้าร่วมทีม

 

“ใช่ๆ เธอจะปล่อยให้รุ่นพี่ต้องผิดคำพูด เอาแต้มไปอมไว้เองจนกลายเป็นหมูอย่างงั้นหรือ?”

 

“รุ่นพี่ ฉันไม่ได้คิดแบบนั้น!” หลี่เหยาเหยาหน้าแดงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ปฏิเสธอีกต่อไป เพราะกลัวเกาหลิงฮานจะอึดอัดใจ

 

หลังจากนั้น หลายคนก็ทำการแลกเปลี่ยนแต้มสงครามเป็นวัตถุดิบสำคัญบางอย่าง ทางหลี่เหยาเหยาเธอใช้แต้มแลกเปลี่ยนเป็นแก่นอบิลิตี้ธาตุน้ำ แก่นอบิลิตี้ชิ้นนี้ไม่เพียงสามารถใช้ในการดูดซับรูนผ่านทางเครื่องมือมิเตอร์ แต่มันยังสามารถใช้ฟื้นฟูพลังพิเศษในช่วงเวลาวิกฤตได้อีกด้วย

 

100 แต้มสงครามน่ะมีมูลค่าเทียบเท่ากับ 100,000 เหรียญ และเมื่อรวมกับราคาของแก่นพลังงานที่ได้มาและขายมันไป นำมาแบ่งกันอีกครั้ง ส่งผลให้ในวันนี้ รวมๆแล้วเธอสามารถได้รับเงินมามากถึง 300,000 เหรียญ –หลี่เหยาเหยารู้สึกคล้ายกับว่าตนกำลังโผบินขึ้นสู่ฟากฟ้า

 

และในเวลานั้นเอง เธอก็ได้เห็นฉินเฟิงเดินเข้ามาท่ามกลางฝูงชนจากระยะไกล

 

หรือจะให้พูดอีกอย่างนึงก็คือ มันเป็นเพราะไป๋หลีสะดุดตาเกินไปต่างหาก เลยสามารถเห็นฉินเฟิงได้อย่างง่ายดาย -ต่อให้ไป๋หลีจะสวมแว่นกันแดดสีน้ำตาลแล้วก็ตาม แต่ก็ยังตกเป็นเป้าสายตาอยู่ดี มีหลายคนพยายามที่จะสำรวจความงดงามของเธออยู่ดี

 

ฉินเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พาตัวเสี่ยวไป๋เดินฝ่าฝูงชนอย่างรวดเร็ว

 

“หิวจัง!” ไป๋หลีดึงแขนเสื้อฉินเฟิง เอียงตัวอิงแนบแขนเขาราวกับคนไม่มีกระดูก

 

“โอเค โอเค เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะเอาแก่นพลังงานจากซากศพให้แกกิน!” ฉินเฟิงปลอบประโลม

 

แต่ไป๋หลีกลับแสดงสีหน้ารังเกียจสวนกลับมา “หนูไม่กินพวกมัน เพราะมันไม่น่าอร่อยเลย!”

 

ปัจจุบันไป๋หลีเริ่มแสดงออกเหมือนกับมนุษย์มากขึ้นทุกที แต่ในส่วนของเรื่องกิน เธอก็ยังเป็นจิ้งจอกน้อยที่เรื่องมากอยู่ดี

 

“งั้นเอาไว้หลังจากนี้ ฉันจะซื้อแก่นพลังงานราชันย์สัตว์ร้ายให้แก!”

 

ดวงตาของไป๋หลีเปล่งประกายขึ้นทันใด

 

ฉินเฟิงเห็นแบบนั้นก็ยิ้มออกมา

 

ท่าทางสนิทสนมกันของทั้งสองคน ทำให้สีหน้าของหลี่เหยาเหยาหม่นลง

 

“ฉินเฟิง!”

 

หลี่เหยาเหยาร้องตะโกนขึ้น

 

ฉินเฟิงมองตามเสียง ก็พบกับหลี่เหยาเหยา ก่อนจะกวาดสายตามองคนอื่นๆรอบตัวเธอ และหยุดลงตรงเกาหลิงฮานอย่างไม่คาดคิด

 

เจ้าหมอนี่ อายุยังน้อย แต่กลับครอบครองความแข็งแกร่งในเลเวล F ดูเหมือนว่าจะเป็นพวกที่ถูกเรียกกันว่าลูกรักของพระเจ้า

 

“สวัสดีรุ่นพี่สาว”

 

ฉินเฟิงพยักหน้า กล่าวอย่างสุภาพ ทว่าขณะเดียวกันก็ห่างเหิน!

 

สีหน้าของหลี่เหยาเหยากลายเป็นไม่อาจคาดเดาได้ เธอไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน แต่จู่ๆเธอก็อยากจะทำร้ายจิตใจของฉินเฟิง เพื่อให้เขาลดความเย่อหยิ่งลง

 

“ฉินเฟิง ฉันขอแนะนำให้รู้จัก คนๆนี้คือรุ่นพี่ปีสาม เป็นอันดับหนึ่งของสถาบันทางตอนเหนือของเรา รุ่นพี่เกาหลิงฮาน!” หลี่เหยาเหยากล่าว

 

เกาหลิงฮานหัวเราะเล็กน้อยและกล่าว “อย่าพูดแบบนั้นสิรุ่นน้องหลี่ อันดับหนึ่งอะไรกัน นั่นมันเป็นคนอื่นเอาไปพูดกันเองต่างหาก!”

 

“ไม่หรอกค่ะ รุ่นพี่เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดแล้วในโรงเรียน ทุกครั้งที่มีการประเมินหรือแข่งขันอะไร รุ่นพี่ก็มักจะเป็นอันดับแรกเสมอ ดังนั้นถ้าจะพูดว่าไม่มีอะไรยากสำหรับรุ่นพี่ก็คงจะไม่ใช่เรื่องเกินเลย!” หลี่เหยาเหยากล่าวด้วยความชื่นชม

 

เกาหลิงฮานยิ้มจางๆ เขามองไปทางฉินเฟิง

 

“ถ้านายต้องการความช่วยเหลืออะไรในอนาคต นายสามารถมาหาฉันได้เลยนะ!” เกาหลิงฮานกล่าว

 

ฉินเฟิงมองเกาหลิงฮาน พยักหน้าตอบ “เข้าใจแล้วครับรุ่นพี่!”

 

ถึงจะเป็นการดูโอ้อวดไปบ้าง แต่เกาหลิงฮานก็กล่าวกับเขาอย่างสุภาพ ดังนั้นฉินเฟิงก็ย่อมสุภาพตอบอย่างเหมาะสม แม้เขาจะไม่ต้องการความช่วยเหลือจากอีกฝ่ายก็ตามที

 

ในเวลานี้ เกาหลิงฮานเบนสายตาไปมองไป๋หลี แล้วเอ่ยถามอย่างสงสัย “สาวน้อยคนนี้ก็เป็นนักเรียนปี 1 ของพวกเราด้วยงั้นหรอ?”

 

ไป๋หลีเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงตัวเอง มันก็นึกถึงคำแนะนำของฉินเฟิงก่อนหน้านี้ และกล่าวออกไปอย่างเป็นธรรมชาติ “ฉันเป็นแฟนของฉินเฟิง และเขาเป็นแฟนของฉัน!”

 

ใบหน้าอ่อนโยนของเกาหลิงฮานพลันแข็งทื่อไป

 

หลี่เหยาเหยาเองก็รู้สึกหดหู่ในหัวใจ

 

“รุ่นน้องชายถึงขั้นพาแฟนออกมาสู้กับพวกสัตว์ร้ายในทุ่งล่า ดูเหมือนว่าจะสนิทสนมกันมากเลยสินะ!” เกาหลิงฮานประชดประชันเล็กน้อย

 

“ก็ประมาณนั้น ผมขอตัวก่อนนะ” ฉินเฟิงไม่ตั้งใจที่จะเสียเวลากับทั้งสองคนอีกต่อไป เนื่องจากท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว นั่นหมายความว่ายิ่งช้า คิวการตรวจสอบก็จะยิ่งนาน

 

“รุ่นพี่สาว รุ่นพี่ชาย ผมคงต้องไปตรวจสอบแต้มสงครามก่อน พวกรุ่นพี่คุยกันตามสบายเลยนะครับ”

 

ฉินเฟิงไม่รอให้ทั้งสองเอ่ยตอบ เขาพุ่งตรงไปยังสำนักงานตรวจสอบทันที

 

แม้ฉินเฟิงจะปลีกตัวออกไปแล้ว แต่อีกฝ่ายดูเหมือนจะยังไม่แยกจากกันในทันที คล้ายกำลังเฝ้ารออะไรบางอย่าง

 

ฉินเฟิงส่งวิดีโอ และภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที มันก็ถูกตรวจสอบจนเสร็จสิ้น

 

“ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด! เสร็จสิ้นการตรวจสอบแล้ว แต้มสงครามในปัจจุบันของคุณคือ 5,671 แต้ม!”

 

แต้มสงครามที่เปิดเผยต่อสาธารณะ ซากศพเลเวล G มีค่าเท่ากับ 1 แต้มสงคราม และเลเวล F คือ 10 แต้มสงคราม ยิ่งเป็นพวกระดับทหารหรือระดับนายพลก็จะมีแต้มเสริมเพิ่มเข้าไปอีก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ฉินเฟิงจะได้รับมากกว่า 5,600 แต้มภายในวันเดียว

 

ช่วงเวลาต่อมา รายชื่อของฉินเฟิงก็ปรากฏขึ้นสู่ด้านบนสุดของจอแสดงผล

 

อันดับ 1 : ฉินเฟิง (รายบุคคล) , แต้มสงคราม : 5671 , แต้มสะสม 5671

 

พริบตานั้นเอง ผู้คนก็หันมาให้ความสนใจจอแสดงผลเกียรติยศ ก่อนจะพากันร้องอุทานออกมา

 

“ฉินเฟิง? ใครกันคือฉินเฟิง?”

 

“ต่อสู้แบบรายบุคคล? มันเป็นไปได้ยังไงที่เขาจะสามารถทำแต้มได้มากกว่า 5,000 แต้ม?”

 

“แถมตรงแต้มสะสมของเขาเองก็ขึ้นเป็นเลขเดียวกัน นั่นหมายความว่าเขาสามารถล่าแต้มสงครามมากมายขนาดนี้ได้ในวันเดียว?”

 

“เป็นตัวตนทรงพลังจากที่อื่นรึเปล่า? อย่างน้อยก็น่าจะมีความแข็งแกร่งอยู่ในเลเวล E !”

 

ฝูงชนรอบข้างต่างถกเถียงกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทางฝั่งเกาหลิงฮานกับหลี่เหยาเหยา แน่นอนย่อมได้ยินถึงบทสนทนา สีหน้าของทั้งสองแปรเปลี่ยนไป

 

เขาและเธอแทบจะไม่อยากเชื่อสายตาของตัวเอง

 

ฉินเฟิงออกจากสำนักงานตรวจสอบ และกำลังจะมุ่งตรงไปยังสำนักงานแลกเปลี่ยน

 

หลี่เหยาเหยามองไปทางฉินเฟิงด้วยดวงตาอันซับซ้อน และตะโกนเรียกอีกครั้ง

 

“ฉินเฟิง! นายตรวจสอบแต้มสงครามแล้วใช่ไหม? ได้มาเท่าไหร่หรอในการต่อสู้ครั้งนี้?”

 

หลี่เหยาเหยาภาวนาในจิตใจ ว่าไม่ควรจะเป็นเขา! มันก็แค่คนที่ชื่อเหมือนกัน! -มันต้องเป็นแค่เรื่องบังเอิญ!!