ตอนที่ 18 บทเรียนที่สมควรได้รับ

เกิดใหม่เป็นสาวน้อยชนบท [特工狂妃:农妇山权有点田

บทที่ 18 บทเรียนที่สมควรได้รับ

ทุกคนพูดขึ้นเสียงดังระงมชวนหนวกหูจนทำให้แม่เฒ่าเจี๋ยตื่นตระหนก ใบหน้าเหี่ยวย่นเริ่มซีดเผือด “ขะ..ข้า”

หัวหน้าหมู่บ้านมองไปที่แม่เฒ่าเจี๋ยแล้วพูดว่า “หากเจ้าต้องการจะอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ต่อไป จงอย่าสร้างปัญหาให้กับข้าอีก หากเจ้าไม่รู้ว่าสตรีดีมีคุณธรรมเขาปฏิบัติตนอย่างไร ลองกลับไปบ้านให้แม่ของเจ้าสอนดูอีกครั้งซะ”

แม้นั่นจะเป็นคำพูดที่ดูรุนแรงทว่ามันก็เป็นความจริง หากลูกสะใภ้ปฏิบัติตัวไม่ดีไม่เหมาะสม ความผิดครึ่งหนึ่งก็ถือว่าตกอยู่กับผู้เป็นแม่ที่อบรมสั่งสอนลูกสาวไม่ดี

แม่เฒ่าเจี๋ยเม้มปากแน่น ส่งสายตาอ้อนวอนไปยังตาเฒ่าซู “ได้โปรด…ท่านช่วยพูดอะไรสักอย่างสิ ช่วยข้าที!!!”

ตาเฒ่าซูใบหน้าแดงก่ำและยืนนิ่ง ๆ อยู่อย่างนั้นโดยไม่เอ่ยอะไรสักคำ เมื่อเห็นใบหน้าแดงเข้มของสามีที่ยืนนิ่งไม่คิดจะช่วยกัน น้ำตาของนางก็พลันไหลอาบแก้ม “ท่าน…ใจร้ายมากเลยนะ ข้าแต่งงานกับท่านมาก็หลายสิบปี ทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าทำก็เพื่อท่าน ท่านเองไม่ใช่หรือที่โลภอยากจะได้สมบัติของน้องชาย ทว่าไม่กล้าทำจึงให้ข้าลงมือแทน ตอนนี้เมื่อความจริงปรากฏท่านกลับยืนนิ่งเฉยไม่คิดจะปกป้องข้าเลยแม้แต่น้อย จะปล่อยให้ข้าลำบากอยู่คนเดียวงั้นหรือ เป็นบุรุษเสียเปล่าแต่กลับให้สตรีเยี่ยงข้ารับผิดแทนเจ้า!”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นทุกคนต่างอุทานขึ้น “อะไรนะ! เรื่องสกปรก ๆ ที่แม่เฒ่าเจี๋ยทำเป็นคำสั่งของเขาเองหรือ”

“ให้ตายเถอะ! ข้าไม่คิดเลยว่าจิตใจของพวกเขาจะสกปรกได้ถึงเพียงนี้!!”

“…”

ใบหน้าของตาเฒ่าซูพลันซีดเผือด ดวงตาของเขาสั่นระริกอย่างหวาดกลัว ชายชรายกไม้เท้าในมือเคาะลงกับพื้นเสียงดังจนผู้คนที่อยู่บริเวณนั้นเงียบเสียงลง “ขะ…ข้าไม่เคยทำเรื่องพวกนั้น! ข้าจะเป็นคนเช่นนั้นไปได้อย่างไร พวกเจ้าต้องเชื่อข้านะ ข้าไม่ได้ทำ!”

ชายชราพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาต่างจากปกติ เสียงของเขาสั่นคลอนไร้ความมั่นใจ ทำให้ทุกคนต่างรู้ได้ในทันทีว่าความจริงคืออะไร ยิ่งมองไปยังใบหน้าของสองสามีภรรยาคู่นี้ ผู้คนก็ยิ่งเริ่มไม่พอใจมากยิ่งขึ้น

ทันใดนั้นก็มีชาวบ้านคนหนึ่งที่วิ่งฝ่าฝูงชนออกพร้อมตะกร้าใบหนึ่งที่เต็มไปด้วยไข่เน่า ชาวบ้านคนนั้นคว้าไข่เน่าในตะกร้าปาใส่ตาเฒ่าซู “เจ้ามันชั่วช้าไร้ยางอายซะจริง เป็นเจ้าใช่ไหมที่ทำร้ายน้องชายของตัวเอง! เกรงว่าการตายของน้องชายเจ้าในครานั้นข้าว่าเจ้าต้องมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเป็นแน่!!”

“โอ๊ะ!” ชายชรารับรู้ได้ถึงของเหลว ๆ ข้น ๆ ที่มีกลิ่นเหม็นโชยออกมาจากสิ่งที่ชาวบ้านคนนั้นโยนใส่ คราบสกปรกปรากฏชัดบนแผ่นหลังของเขาทั้งยังส่งกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ออกมาอีกด้วย

“หน้าไม่อาย! คนอย่างเจ้าสมควรได้รับบทเรียนซะบ้าง!!” ผู้คนที่อยู่บริเวณนั้นต่างรู้สึกเช่นกันว่าสิ่งที่คนผู้นั้นทำถูกต้อง พวกเขาต่างหยิบข้าวของต่าง ๆ ที่เตรียมเอาไว้ทำอาหารปาใส่ตาเฒ่าซูและแม่เฒ่าเจี๋ยโดยไม่นึกเสียดายของ ทั้งผัก ปลา ไข่ และของสดอื่น ๆ ถูกขว้างใส่คู่สามีภรรยาอย่างไม่ขาดสาย ทั้งสองที่ไร้ที่กำบังใด ๆ จึงทำได้แค่ยกมือมาปิดหน้าและก้มตัวลงอย่างอับอาย

จู่ ๆ มีชาวบ้านคนหนึ่งที่ไม่ได้มีข้าวของติดตัวมาหยิบหินขึ้นมาจากพื้นก่อนจะปาใส่พวกเขาอย่างแรง ทั้งสองกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดก่อนจะเอาละมือออกจากใบหน้า แม่เฒ่าเจี๋ยร้องโวยวายไม่หยุดเลยไม่ทันสังเกตว่ามีไข่ใบหนึ่งถูกปามาตรงหน้าของนาง แต่เมื่อนางเห็นก็สายเกินไปที่จะยกมือขึ้นมาปัดป้อง และการที่หญิงชราร้องโวยวาย มันก็ทำให้ไข่ที่ถูกปามาเข้าไปในปากของแม่เฒ่าเจี๋ยแม่นราวจับวาง และโชคไม่ดีเสียเลยที่ไข่… ดันแตก!! รสชาติเน่าของไข่กระจายไปทั่วทั้งปาก กลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งตีขึ้นจมูกจนแทบอยากจะอ้วก แม่เฒ่าเจี๋ยคายไข่ออกมาอย่างรวดเร็วด้วยความขยะแขยง

“หยุด!” หัวหน้าหมู่บ้านตะโกน “ข้าจะตัดสินเรื่องนี้อย่างยุติธรรม”

ท่าทางของพวกเขาไม่ได้ดูดีขึ้นเลย ฮวงชุ่นเจินที่อยู่ห่างออกไปยกมืออ้วน ๆ ของตนปิดปากไม่ให้ใครเห็นว่านางกำลังหัวเราะแม่เฒ่าเจี๋ย ส่วนซูหวานหว่านก็หันไปปลุกแม่เจิ้นให้ลุกขึ้นมาดูความสนุกที่กำลังจะเกิดขึ้น และทั้งสองก็ตั้งใจฟังอย่างสนใจ

ในที่สุด หัวหน้าหมู่บ้านตัดสินให้ครอบครัวของซูต้าเฉียงแยกตัวออกไป ยังไม่ทันได้พูดถึงเรื่องการแบ่งสมบัติ จู่ ๆ แม่เฒ่าเจี๋ยก็ตะโกนแทรกขึ้นมา “เขาบอกจะออกจากบ้านไปตัวเปล่า! และข้าก็จะไม่ให้เงินแก่เขาแม้แต่ตำลึงเดียว!!”

หัวหน้าหมู่บ้านเบนสายตาไปยังแม่เฒ่าเจี๋ยทันทีที่ “เจ้าว่าอย่างไรนะ! ไหนเจ้าลองพูดอีกทีสิ!”

แม่เฒ่าเจี๋ยได้ยินดังนั้นก็ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดออกมาอีก เพราะเกรงว่าหากนางพูดออกไปแล้ว หัวหน้าหมู่บ้านจะไล่นางออกจากหมู่บ้านนี้จริง ๆ

ทันทีที่ได้ยินว่าจะมีการแบ่งทรัพย์สิน ฮวงชุ่นเจินที่ยืนหัวเราะอยู่ไกล ๆ ก็รีบวิ่งแจ้นเข้ามาหาแม่เฒ่าเจี๋ยพร้อมกับร้องโวยวายเสียงดัง “ท่านแม่! ไม่ได้นะ! พวกเขาบอกแล้วว่าจะออกไปตัวเปล่าไม่เอาอะไรไป! ที่ดินที่พวกเรามี… มันมีเพียงไม่กี่ไร่ หากแบ่งให้เขาแบบนั้นแล้วเราจะหาเลี้ยงครอบครัวยังไงล่ะ!”

น่ารังเกียจ…! ทำไมท่าทางไม่เหมือนกับตอนขอเงินจากท่านพ่อของนางเลย ซูหวานหว่านรู้สึกผิดหวังเสียเหลือเกินที่เป็นญาติกับคนไร้ประโยชน์ “ท่านลุงหัวหน้าหมู่บ้าน ข้าว่าหากครอบครัวของข้าไม่ออกไปตัวเปล่าไร้ซึ่งสมบัติ เกรงว่าหลังจากนี้ท่านย่าจะตามรังควานครอบครัวเราไม่เลิก”

“ออกไปตัวเปล่า นี่เป็นสิ่งที่เจ้าพูดเองนะ!” แม่เฒ่าเจี๋ยพูดแทรกขึ้นมาหลังจากได้ฟังสิ่งที่ซูหวานหว่านพูดออกมา แต่เมื่อนึกถึงประโยคที่เด็กสาวเอ่ยออกมา สีหน้าที่ของนางก็เปลี่ยนไปในทันที “เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน สิ่งใดที่เรียกว่าข้าจะรังควานครอบครัวของเจ้างั้นหรือ! เฮอะ… ข้าว่าต้องเป็นข้าเสียอีกที่จะโดนรังควาน เมื่อถึงเวลานั้นอย่ามาร้องไห้อ้อนวอนขอเงินข้าละกัน ข้าจะไม่ให้พวกเจ้าแม้แต่เหรียญเดียว!!”

ซูต้าเฉียงที่ได้ยินพลันรู้สึกผิดหวัง เขาหันไปพูดกับหัวหน้าหมู่บ้านเสียงเรียบ “ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะแยกไปกับครอบครัวของข้า”

“เอาล่ะ” ท่านหัวหน้าหมู่บ้านพยักหน้าตกลงและประกาศบอกให้ทุกคนแยกย้ายกลับไปทำเรื่องของตัวเอง โดยไม่ลืมที่จะบอกให้ซูต้าเฉียงและตระกูลซูไปยังโถงบรรพบุรุษเพื่อร่างข้อตกลงในจดหมายตระกูล โดยมีฉีเฉิงเฟิงเป็นผู้ลงมือร่างจดบันทึก ชายหนุ่มร่างจดหมายด้วยท่าทีที่สง่างาม เผยให้เห็นท่าทางที่ถือตนของชายหนุ่มผู้นี้

ซูหวานหว่านชำเลืองตาดูครู่หนึ่ง จึงได้รู้สึกว่าหมู่บ้านเล็ก ๆ ของนางไม่น่าจะมีผู้ที่มีความสามารถเช่นนี้ได้

หลังจากที่เขียนจดหมายเสร็จ หมึกยังไม่ทันได้แห้งฉีเฉิงเฟิงก็ได้ขยับริมฝีปากบางและกล่าวออกมาช้า ๆ ด้วยถ้อยคำที่น่าฟัง “เอาล่ะ เจ้าประทับลายนิ้วมือตรงนี้นะ”

น้ำเสียงของเขาช่างอ่อนโยนดั่งสายลมพัดอ่อน ๆ บนยอดเขา เป็นน้ำเสียงที่ทำให้ผู้ที่ฟังรู้สึกราวกับถูกปลอบประโลม

นี่มันเขา! ซูหวานหว่านมั่นใจเป็นอย่างมาก! ชายที่นางเจอเมื่อคืนคนที่จะขโมยโสมของนางไป!

ฉีเฉิงเฟิงสังเกตว่ามีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องมายังใบหน้าของเขา จึงเอียงหัวมองเล็กน้อยและได้รู้ว่าคนที่จ้องอยู่นั้นคือซูหวานหว่าน ซูหวานหว่านจ้องมองชายหนุ่มอย่างเผลอตัวก่อนจะตั้งสติขึ้นได้เมื่อตอนที่สายตาสบประสานเข้ากับสายตาของชายตรงหน้า หน้าของซูหวานหว่านขึ้นสีแดงระเรื่อ นางหันหน้าหนีราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อตั้งสติได้อีกครั้ง นางก็ได้พบว่าทั้งซูต้าเฉียงและปู่ของนางได้ประทับลายนิ้วมือลงไปในจดหมายเรียบร้อยแล้ว

“ต่อจากนี้ไป พวกเราไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกันอีก! พวกเจ้าจะมาที่บ้านของข้าเพื่อขอเงินไม่ได้อีกแล้ว แม้แต่อาหารข้าก็จะไม่ให้แม้แต่ข้าวเม็ดเดียว!” แม่เฒ่าเจี๋ยที่อยู่เงียบ ๆ อดทนไม่ไหวพูดออกมาอีกครั้ง นางจับจ้องไปที่กระดาษแผ่นนั้นถึงแม้ว่าจะอ่านไม่ออกก็ตาม ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าซีดขาวของซูต้าเฉียงก็ยิ่งมั่นใจว่าเขาจะออกจากบ้านไปด้วยตัวเปล่า ทำให้นางรู้สึกปีติยินดี

หัวหน้าหมู่บ้านได้ร่างจดหมายทั้งหมดสามฉบับด้วยกัน โดยฉบับหนึ่ง เขาเป็นคนเก็บไว้เอง อีกสองใบให้ทั้งสองฝ่ายเก็บไว้คนละฉบับ ชายชราไม่ลืมที่จะแนะนำบ้านทางทิศตะวันออกของหมู่บ้านให้กับซูต้าเฉียง เพื่อเป็นที่พักพิงให้กับครอบครัวของเขา นั่นทำให้ซูต้าเฉียงรู้สึกยินดีและขอบคุณเขาอย่างมาก

แม่เฒ่าเจี๋ยที่เห็นท่านหัวหน้าหมู่บ้านปฏิบัติกับซูต้าเฉียงอย่างดี ก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมาทันที นางจึงตัดสินใจลุกขึ้นเพื่อจะออกไปจากสถานที่นี้โดยไม่ลืมที่จะพาสามีของตนออกไปด้วย แต่ยังไม่ทันที่นางจะก้าวไปไหนก็มีเสียงตะโกนรั้งนางไว้ซะก่อน “แม่เฒ่าเจี๋ย เจ้าหยุดอยูตรงนั้นเลยนะ! เจ้ายังไปไหนไม่ได้ ปัญหาของเจ้ายังไม่คลี่คลาย!”

“แล้วจะให้ข้าทำยังไงล่ะ!” แม่เฒ่าเจี๋ยเงยหน้าขึ้นอย่างไม่เต็มใจ และด่ากราดใส่ซูต้าเฉียงไปด้วยท่าทางรังเกียจ ซึ่งตอนนี้นางดูเลวร้ายนัก ด้วยท่าทางที่พร้อมจะสาปใครให้มีอันเป็นไปได้ทุกเมื่อ ท่านหัวหน้าหมู่บ้านจึงล้วงมือเข้าไปในตู้เพื่อควานหาอะไรบางอย่าง จนสุดท้ายเขาก็ได้หยิบไม้บรรทัดออกมาอันหนึ่ง “แบมือของเจ้าออกมา…”

“ไม่!” แม่เฒ่าเจี๋ยส่ายหัวไปมาอย่างดื้อรั้น และหันหลังสับเท้าออกไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็วทันใดนั้น โครม!! แม่เฒ่าเจี๋ยก็ล้มลงไปกองกับพื้น หน้าผากของนางแดงเถือกจากแรงกระแทกกับประตูเนื่องมาจากความรีบและไม่ระวังตัว “โอ๊ย!” นางร้องโวยวายออกมาเสียงดังด้วยความเจ็บปวด

ซูหวานหว่านที่มองไปยังประตูจึงได้เห็นว่าฉีเฉิงเฟิงยืนพิงกำแพงอยู่หลังประตูบานนั้น เด็กสาวนึกขอบคุณเขาอยู่ในใจ และนั่นทำให้ความประทับใจในตัวเขาของนางเพิ่มมากขึ้นอีกขั้น

“ไม้บรรทัดมีไว้ลงโทษคนทำความผิด ตีเจ้าสักทีก็คงไม่เสียหาย” ชายชราหัวหน้าหมู่บ้านมองไปยังแม่เฒ่าเจี๋ยที่ยังคงนั่งอยู่ที่พื้นด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะยกไม้บรรทัดขึ้นฟาดนางอย่างไม่ปรานี แค่ฟังเสียงก็สามารถรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดมากทีเดียว ไหนจะเสียงร้องโหยหวนของแม่เฒ่าเจี๋ยที่ดังออกมาอีก…

“เจ้าคิดว่าตัวเจ้าเองนั้นมีความผิดหรือไม่? เหตุใดทุกครั้งที่เจ้าทำผิดเจ้าถึงไม่รู้จักมองตัวเองก่อนบ้าง ทำไมไม่ไตร่ตรองว่าควรหรือไม่ ถูกหรือผิด ถ้าหากว่าเจ้าคิดไม่ได้แล้วล่ะก็ กลับไปที่บ้านแม่ของเจ้าเสีย ออกไปจากหมู่บ้านนี้!!”

“ขะ..ข้าผิดไปแล้ว ข้ารู้แล้ว ข้าสำนึกแล้ว พะ..พอแล้ว พอได้แล้วท่าน!!” แม่เฒ่าเจี๋ยตอบกลับไปด้วยใบหน้าที่เลอะไปด้วยน้ำตา ถึงแม้สีหน้าของนางจะเต็มไปด้วยโกรธ แต่กลับต้องขอร้องอ้อนว้อนให้ชายชราตรงหน้าให้หยุดลงไม้ลงมือกับนางเสียที นางได้แต่คิดกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ตัวนางได้ทำอะไรผิด นางไม่ผิด! ทุกอย่างที่นางได้ทำลงนั้นถูกต้อง!!

เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้สำนึกอย่างที่ปากนางพร่ำบอก

และซูหวานหว่านเองก็รู้ดีว่าหญิงชราตรงหน้าไม่มีทางสำนึกได้ในเร็ววันนี้หรอก

โคร่กกก!

เสียงท้องร้องของซูต้าเฉียงเรียกความสนใจของซูหวานหว่านและแม่เจิ้น แม่เจิ้นจึงหันไปพยักหน้าให้ซูหวานหว่านเป็นเชิงบอกให้ออกไปจากตรงนี้ได้แล้ว ซึ่งเด็กสาวก็ยิ้มรับก่อนจะเดินตามพ่อกับแม่ไป

ก่อนเดินออกไปพ้นประตู แม่เจิ้นอดไม่ได้ที่จะถาม “ท่านแม่ของท่านไม่ทำอะไรให้ท่านกินงั้นหรือ?”