ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 64 ถามใต้หล้า

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

บนพื้นของตำหนักด้านข้างมีผู้คนมากมายกำลังนั่งคุกเข่า แลดูประหนึ่งมหาสมุทรที่เงียบสงบมิปาน สตรีวัยกลางคนผู้นั้นสาวเท้าเดินผ่านไปอย่างเฉยเมย น้ำในมหาสมุทรนั้นแหวกออกอย่างเป็นธรรมชาติ เคลื่อนเป็นระลอกคลื่นเล็กๆ หัวหน้าขันทีกระแอมเบาๆ สองที ผู้มีฝีมือ นางสนมและขันทีนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นราวกับได้รับพระราชทานอภัยโทษ รีบคลานเข่ายันตัวลุกขึ้นถอยออกจากตำหนักไปอย่างเงียบกริบ

หัวหน้าขันทีผู้นั้นใบหน้าฉาบไปด้วยรอยย่น มองแล้วแก่หง่อมอย่างยิ่ง เขากลับประคองมือของสตรีวัยกลางคนด้วยความระมัดระวัง เอ่ยเสียงทุ้มต่ำนอบน้อมถ่อมตน “ความเป็นมาของหนุ่มน้อยผู้นั้นมีปัญหาบางประการ ไหนเลยจะคุ้มค่าที่จะให้ฝ่าบาทสิ้นเปลืองสมองด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

สตรีวัยกลางคนก็คือจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ได้ยินประโยคของขันทีอาวุโส พลางกล่าวออกมาด้วยท่าทางเย็นชา “ถ้าหากเป็นคนธรรมดา ก็คงจะไม่ต้องคิดหนัก”

หัวหน้าขันทีรู้ว่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์กล่าวคำว่าธรรมดา หาใช่เจาะจงเรื่องเล็กน้อยของการได้ฝึกบำเพ็ญเพียรหรือไม่ หลังจากตรึกตรองชั่วครู่จึงเอ่ยออกไป “ตรวจสอบหนังสือแนะนำฉบับนั้นเรียบร้อยแล้ว ไม่มีปัญหาใดๆ แน่ชัดว่าในปีนั้นท่านราชครูทิ้งไว้ให้แม่นางม่อ​อวี่กับองค์หญิงผิงกั๋วเล่น……ข่าวคราวที่มาจากพระราชวังหลี แน่ชัดว่าท่านราชครูไม่รู้เรื่องนี้ หนุ่มน้อยผู้นั้นคงจะถูกดึงให้เข้ามาพัวพันโดยบังเอิญ ถึงแม้การหมั้นหมายกับสวีโหย่วหรงจะทำให้ผู้คนมิได้ระแวดระวังคาดคิดมาก่อน แต่ข้าน้อยมองไม่ออกจริงๆ ว่าเขามีตรงไหนที่พิเศษ”

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ชะงักฝีเท้า จ้องมองความมืดมิดที่ดำลึกอยู่เบื้องหลังของตำหนัก เงียบนิ่งไปชั่วครู่พลันเอ่ยถาม “เจ้าเคยพบเจอคนที่ไม่กลัวตายหรือไม่”

หัวหน้าขันทีรู้ว่าประโยคนี้ของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มีความหมายลึกซึ้ง จึงเริ่มไตร่ตรองอย่างจริงจัง

ต่างกล่าววันว่าวีรบุรุษบนโลกใบนี้ล้วนแต่เห็นความตายและการพลัดพรากเป็นเรื่องไม่สลักสำคัญ มีเพียงคนที่มีประสบการณ์ผ่านความเป็นความตายมาเท่านั้นถึงจะเข้าใจอย่างแท้จริง การไม่เห็นความสำคัญเหล่านั้น เป็นเพียงการอาศัยพลังใจที่แข็งแกร่งต่อสู้ชนะความหวาดกลัวในความตาย แต่ความหวาดกลัวนั้นแท้จริงยังคงอยู่ตลอด

หัวหน้าขันทีผู้นี้ใช้ชีวิตอยู่ในพระราชวังในราชวงศ์ต้าโจวเป็นระยะเวลาหลายร้อยปี มีอำนาจมากล้น ยี่สิบปีก่อนหลังจากจักรพรรดิพระองค์ก่อนเสด็จสวรรคต บรรดาเชื้อพระวงศ์ต่อต้านการขึ้นคองราชย์ของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ วางแผนที่จะก่อกบฏในพระราชวัง จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์สามารถจัดการให้สถานการณ์ราชวงศ์สงบนิ่ง นอกจากท่านราชครูที่เป็นหัวเรือในการสนับสนุน เขาเองก็มีบทบาทสำคัญในเวลานั้นด้วย

เขาคือผู้ยิ่งใหญ่ที่ผ่านประสบการณ์ความเป็นความตายและการจากลามานับไม่ถ้วน เขามั่นใจยิ่งว่าไม่มีผู้ใดไม่กลัวความตาย แม้กระทั่งจักรพรรดิไท่จงที่เป็นบุรุษที่ยิ่งใหญ่ ก่อนเผชิญกับความตายอยู่บนแท่นบรรทมก็ยังมิอาจสงบนิ่งได้ ดวงตาทั้งคู่เบิกโพลงจ้องมองดวงดาวดารดาษบนท้องฟ้า ทั้งอาลัยอาวรณ์และหวาดกลัว

เวลานั้นเขาอยู่ข้างกายองค์จักรพรรดิ ภาพฉากนั้นเขาเห็นชัดเจนยิ่ง

“ไม่มีผู้ใดไม่กลัวตาย” เขาเอ่ยออกมา

“ก่อนหน้านี้มีชั่วพริบตาหนึ่ง หนุ่มน้อยผู้นั้นไม่กลัวตายจริงๆ ดังนั้น เขาไม่ใช่คนธรรมดา” จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์คิดไปถึงประโยคที่มังกรยักษ์สีดำกล่าวก่อนหน้านี้ กล่าวว่า “ข้าคิดมาตลอดว่ามีเพียงชิวซานจวินถึงจะคู่ควรกับเจ้าหนูนั่น แต่ตอนนี้เห็นทีว่า…จะมิได้เป็นอย่างนั้นเสียแล้ว”

หัวหน้าขันทีสั่นสะท้านเล็กน้อย ในใจครุ่นคิด หรือว่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จะเปลี่ยนความคิดต่อเรื่องนี้?

ภายในตำหนักด้านข้างเงียบสงบลงอีกครา

สายลมยามค่ำคืนพัดโชยกระถางดอกไม้ที่อยู่ด้านนอกระเบียง กิ่งไม้สีเขียวที่อยู่กลางกระถางสั่นไหวส่งเสียงไปตามแรงลม ณ ป่าไม้ที่อยู่ไกลออกไป กระรอกที่อยู่บนกิ่งต้นไม้วิ่งเร็วขึ้นไปอีก

“คืนนี้เป็นคืนเจ็ดค่ำเดือนเจ็ด ตำหนักด้านนอกจะต้องคึกคักอย่างยิ่ง ข้ากะว่าจะไปดูเสียหน่อย”

“องค์จักรพรรดินี…ข้าน้อยคิดว่าฝ่าบาทจะประทับอยู่ในพระตำหนักจนกว่าการชุมนุมไม้เลื้อยจะสิ้นสุดลงดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”

“รออะไรเล่า จะรอดูว่านักเรียนของสำนักไหนที่มีอนาคตสดใสที่สุดน่ะหรือ ข้าไม่ได้สนใจอะไรเช่นนี้”

หัวหน้าขันทีไม่เข้าใจ เอ่ยว่า “หรือว่าฝ่าบาทอยากจะรู้ว่าเรื่องการสมรสว่าสุดท้ายจะสำเร็จหรือไม่?”

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เอ่ยว่า “การเกี่ยวดองสมรสกันระหว่างตระกูลสวีกับตระกูลชิวซาน หรือว่าคำมั่นสัญญาในปีนั้นที่จะต้องให้เฉินฉางเซิงเป็นเขย หากแต่ล้วนมิใช่เรื่องที่พวกเขาจะตัดสินใจด้วยตนเอง”

หัวหน้าขันทีโค้งตัวลงเล็กน้อย เอ่ยว่า “ทั่วทั้งใต้หล้าล้วนเชื่อฟังตามพระบัญชาของฝ่าบาทอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์สงบนิ่งพลางกล่าวว่า “เจ้าผิดอีกแล้ว เรื่องนี้ก็มิใช่เรื่องที่ข้าจะสามารถตัดสินใจได้”

หัวหน้าขันทีตกตะลึง คิดไปว่านอกจากฝ่าบาทแล้ว จะมีผู้ใดที่จะสามารถตัดสินอนาคตของการสมรสครั้งนี้ได้เล่า

“คนที่ต้องสมรสก็คือโหยว่หรง เช่นนั้น ปรารถนาจะสมรสหรือไม่ จะสมรสกับผู้ใด สุดท้ายแล้วต้องอยู่ที่ความคิดของนาง”

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์กล่าวต่อ “นางหนูนั่นเป็นคนที่มีความคิด ผู้อื่นทำเรื่องมากมายเท่าใด คิดว่าจะมีความหมายหรือ ก็คงจะเป็นเรื่องน่าหัวเราะเยาะเท่านั้นเอง”

……

……

เมืองทางทิศใต้ของพระราชวังมีตรอกเส้นหนึ่ง ที่มีแสงโคมไฟเจิดจ้าของค่ำคืนเจ็ดค่ำเดือนเจ็ดไม่เหมือนกับแห่งอื่น เวลานี้ราวกับว่าจะเงียบเชียบเล็กน้อย หรืออาจจะเป็นเพราะว่าใกล้ตัวเมืองยิ่ง อาจจะเป็นเพราะว่าที่นี่ตอนกลางวันจะต้องลำเลียงน้ำแข็งออกไป บนหนทางยามวิกาลจึงเต็มไปด้วยร่องรอยของน้ำ ที่ทั้งเปียกและชื้นอย่างยิ่ง จึงทำให้ไม่มีผู้ใดปรารถนาจะวางแผงลอยขายของที่นี่

ที่แห่งนี้เรียกว่าสะพานอุดรใหม่ ทว่ากลับไม่มีสะพาน หากจะกล่าวให้ถูกต้อง สะพานโค้งที่ทำจากก้อนหินก่อกันเป็นรูปเป็นร่างนั้นเป็นของปลอม แม่น้ำลั่วทอดตัวยาวอ้อมรอบในตัวเมือง ตามหนทางทั้งเจ็ดสายในเมืองจิงตูมีต้นไผ่หลิวย้อยลงมาตามทาง มาถึงตรงนี้กลับไหลอ้อมผ่านไป จึงทำให้ด้านล่างของสะพานไม่มีน้ำแม้แต่หยดเดียว

ห่างจากสะพานอุดรใหม่ไม่ไกลมีบ่อน้ำบ่อหนึ่ง ในบ่อน้ำมีไอเย็นเอ่อทะลักแผ่กระจายออกมา ราวกับว่าในนั้นไม่ใช่น้ำ แต่เป็นน้ำแข็งที่นับพันนับหมื่นปีที่ไม่ละลาย เวลาค่ำคืนกลางดึก แสงไฟของตัวเมืองส่องกระทบไม่ถึงที่แห่งนี้ ต้นหลิวสายราวกับเป็นพู่กันที่จุ่มหมึกแต่งแต้มไว้ กวัดแกว่งอยู่บริเวณรอบๆ บ่อน้ำ

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ยืนอยู่บริเวณปากบ่อน้ำ ในมือถือไข่มุกราตรีที่เก็บมาจากแท่นกานลู่ นางยื่นมือไปที่ปากบ่อน้ำพลันปล่อยมือ เพียงชั่วพริบตาไข่มุกราตรีก็ส่องสว่างกระทบผนังบ่อน้ำ หลังจากนั้นดำดิ่งลงไปข้างใต้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะถูกความมืดมิดของก้นบ่อกลืนกินช้าๆ

ไม่รู้ได้ว่าผ่านไปนานเท่าใด มีเสียงร้องจากก้นบ่อดังขึ้นมา เหตุเพราะระยะห่างจากก้นบ่อไกลอย่างยิ่งจึงทำให้เสียงนั้นแผ่วเบา ยิ่งเหมือนกับเสียงน้ำที่สาดกระเซ็นผนังบ่อน้ำดังสะท้อนขึ้นมา แต่ว่านางรู้ว่านั่นมิใช่เสียงของน้ำ แต่เป็นเสียงคำรามที่โกรธแค้นของมังกรดำตัวนั้น

มังกรดำโกรธจัด เพราะมันคิดว่าเผ่ามนุษย์หลอกลวงตนอีกแล้ว เอ่ยไว้ดิบดีว่าจะให้ไข่มุกราตรีหนึ่งเม็ด แต่ว่าเจ้าหนุ่มผู้นั้นเอาไปแล้วหนึ่งเม็ด เจ้าจะต้องให้ข้าสองเม็ดถึงจะถูก ถึงแม้เจ้าจะเป็นสตรีที่ข้ามิอาจยุแหย่ด้วยได้ แต่ก็ไม่ควรรังแกกันเช่นนี้!

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไม่ใคร่จะยินดีนัก พลางกล่าว “เจ้าสัตว์เดรัจฉาน เดิมทีไข่มุกราตรีเม็ดนั้นก็เป็นของเขา เมื่อเจ้าเยาว์วัยมังกรอาวุโสมิได้สอนเจ้าคิดเลขหรือไร”

……

……

การคิดเลขของเฉินฉางเซิงยอดเยี่ยม หากจะกล่าวให้ถูก ความสามารถที่เกี่ยวกับกับการร่ำเรียน เขาล้วนแต่ดีเลิศ แต่ความสามารถในการจดจำหนทางไม่ค่อยดี เมื่อออกมาจากตำหนักด้านข้าง หลังย่างก้าวเข้ามาส่วนลึกของตำหนักภายใต้ความมืดมิด ทันใดนั้นเขาพบว่าตนเองกำลังหลงทางเสียแล้ว

ดวงดาวดารดาษอยู่บนท้องฟ้า โคมไฟอยู่ด้านหน้า เขารู้ว่าทิศเหนืออยู่แห่งไหน เป็นธรรมดาที่จะรู้แน่ชัดว่าทิศไหนคือทิศใต้ จนกระทั่งสามารถเห็นโคมไฟของวังเว่ยยางได้รางๆ ทว่าพระราชวังมีดอกไม้ต้นไม้หนาแน่น หนทางเลี้ยวลดเป็นร้อยเป็นพัน เขากลัวว่าจะพบเจอทหารอารักขา จึงเลี่ยงเดินเส้นทางหลัก แต่ก็มิรู้ว่าควรเดินอย่างไรถึงจะไปถึงทางนั้นได้

เวลานี้ เสียงหนึ่งดังขึ้นมาเบาๆ จากในอุทยานหลวงที่อยู่ท่ามกลางความมืดยามราตรี

แพะดำตัวหนึ่งเดินออกมาจากความมืด เงียบเชียบไร้เสียง ราวกับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของความมืด

แรกเริ่มเฉินฉางเซิงเคยเจอมันที่สำนักฝึกหลวง อยู่วังเว่ยยางก่อนหน้านี้ เขาก็เคยพบมัน ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาแน่ใจว่าแพะดำตัวนี้ไม่มีเจตนาร้ายต่อตน เขาใคร่ครวญชั่วครู่ เอ่ยว่า “เจ้า…อยากช่วยข้าหรือ”

แพะดำตัวนั้นเหลือบมองเขาเงียบๆ หลังจากนั้นหมุนกายเดินเข้าไปในความมืดยามค่ำคืน

เฉินฉางเซิงมิกล้าแม้แต่จะลังเล รีบตามมันไป ก่อนจากไปเขาปรายตามองไปยังทางใต้อันเป็นที่ตั้งของวังเว่ยยาง ทางนั้นยังคงมีแสงโคมไฟเจิดจ้า เสียงดนตรีพิธีการกลับหายไป การสู่ขอของคณะทูตทางใต้ดำเนินไปถึงขั้นไหนแล้ว ตนจะไปทันหรือไม่

……

……

การชุมนุมไม้เลื้อยดำเนินมาถึงครึ่งทาง คณะทูตทางใต้เริ่มการสู่ขออย่างเป็นทางการ

ในวังเว่ยยางมีคนใหญ่คนโตมากมาย ดังเช่นผู้อาวุโสเสี่ยวซงกงแห่งเขาหลีซาน ดังเช่นสตรีผู้นั้นแห่งเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ ดังเช่นเหมาชิวอวี่เจ้าสำนักเทียนเต้า ดังเช่นสวีซื่อจี ดังเช่นเฉินหลิวอ๋องกับม่อ​อวี่ ในขั้นตอนการสู่ขอ พวกเขาล้วนแต่มีบทบาทแตกต่างกันออกไป

มีตัวแทนฝั่งคู่สมรสทั้งสอง มีผู้ทำพิธี มีพยาน

การเต้นรำและดนตรีอันไพเราะอ่อนหวานเพิ่งสิ้นสุดลง

ตระกูลชิวซานเป็นผู้นำเริ่มประกาศในพิธี ม่อ​อวี่เป็นตัวแทนของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์แสดงความขอบคุณ เป็นตัวแทนของราชวงศ์ต้าโจวแสดงความปีติยินดีที่ได้เห็นการสมรสครั้งนี้ ทั้งยังคาดหวังว่าเผ่ามนุษย์จะอาศัยความแน่นแฟ้นของการสมรสครั้งนี้รวมพลังสามัคคีไว้ด้วยกัน ก็จะต่อต้านเผ่ามารได้ดียิ่งขึ้น

สตรีจากเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์นางนั้นเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกับอาจารย์ของสวีโหย่วหรง นางเป็นตัวแทนของเทพธิดาของนิกายหนานฟางแสดงท่าทีเห็นด้วยกับการสมรสครั้งนี้ ต่อจากนั้นสวีซื่อจี้ก็ลุกขึ้น เพื่อเป็นการต้อนรับบรรดาแขกเหรื่อที่มาจากทางใต้ แสดงว่าเห็นด้วยกับการสมรสครั้งนี้อย่างสำรวม แน่นอนว่าผู้ใดล้วนแต่รับรู้ว่าการสำรวมนี้เป็นการเสแสร้งแกล้งทำ

การสมรสครั้งนี้จะประสบความสำเร็จได้อย่างไร

การสู่ขอเริ่มขึ้น โค้งกายทำความเคารพ ลงนามหนังสือสัญญา นี่คือการหมั้นหมาย

ฟ้าดิน จักรพรรดิ บิดามารดา อาจารย์

ตอนนี้ จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เห็นด้วยกับการสมรสครั้งนี้ สวีซื่อจี้เห็นด้วยกับการสมรสครั้งนี้ เทพธิดาแห่งนิกายหนานฟางเห็นด้วยกับการสมรสครั้งนี้

ฟ้าดินไร้วาจา หากจักรพรรดิ บิดามารดา อาจารย์ ล้วนแต่เห็นด้วยกับการสมรสครั้งนี้ สำหรับทุกคนเรื่องการสมรสครั้งนี้นับว่าสำเร็จแล้ว เดิมทีไม่มีผู้ใดคำนึงถึงสวีโหย่วหรงจะมีความคิดเห็นอย่างไร แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าสวีโหย่วหรงจะคัดค้าน

เป็นคู่หนุ่มสาวที่มีเกียรติยศรุ่งโรจน์ที่สุดในต้าลู่ เรื่องการสมรสระหว่างสวีโหย่วหรงกับชิวซานจวิน สำหรับผู้คนทั่วไปมองแล้วนับเป็นคู่ที่เหมาะสมกันยิ่ง เรื่องราวระหว่างพวกเขาถูกเล่าขานสืบทอดกันเป็นระยะเวลายาวนาน ทุกคนต่างคิดว่าเป็นเรื่องราวที่ดีงามที่สุด

ต่อไป ก็เป็นพิธีหมั้นหมาย การถามสุดท้ายในการถามทั้งสาม

ประเพณีของราชวงศ์ต้าโจวมิได้ยุ่งยากซับซ้อน สิ่งสำคัญก็มาจากความเกี่ยวข้องกับคัมภีร์เต๋า มีความเจริญรุ่งเรืองเพิ่มขึ้นตามศาสนาชาติ พิธีราชวงศ์ต้าโจวก็เจริญขยายไปถึงทางตอนใต้ คณะทูตทางใต้ค่ำคืนนี้มาสู่ขอ ขั้นตอนทั้งหมดล้วนแต่ดำเนินตามพิธีราชวงศ์ต้าโจว อาจไม่ได้ให้เกียรติฝ่ายหญิงเสียทั้งหมด พวกเขาเองก็เป็นเช่นนี้

สิ่งที่เรียกว่าการถามทั้งสาม ก็คือการถามฟ้าดิน การถามเครือญาติวงศ์ตระกูล ถามจักรพรรดิกับอาจารย์ และการจะคัดค้านเรื่องการสมรสครั้งนี้ได้นั้นอยู่ที่การถามครั้งสุดท้าย นั่นคือการถามใต้หล้า

การถามทั้งสามของแบบฉบับพิธีราชวงศ์ต้าโจว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถามครั้งสุดท้าย เป็นการให้โอกาสผู้คนใต้หล้าที่จะชี้ปัญหาของฝ่ายบุรุษหรือฝ่ายสตรีที่อำพรางไว้ครั้งสุดท้าย หากในความเป็นจริงแล้ว น้อยยิ่งที่จะเกิดเรื่องราวเช่นนี้ และเหมือนกับเป็นการให้โอกาสการเปลี่ยนใจกับฝ่ายบุรุษหรือฝ่ายสตรีเป็นครั้งสุดท้าย

โดยเหตุการณ์ปกติแล้ว พิธีการหมั้นหมายน้อยมากที่จะมีคนแสดงความคิดเห็นคัดค้านออกมา เนื่องจากหากทำเช่นนั้นในอีกนัยหนึ่งถือเป็นการล่วงเกินฝ่ายบุรุษกับฝ่ายสตรีด้วย ค่ำคืนนี้ชัดเจนยิ่งนักว่า เรื่องการสมรสทั้งสองฝ่ายต่างมิได้เปลี่ยนใจ ด้วยเหตุนี้การถามใต้หล้าจึงเป็นเพียงการทำให้เสร็จสิ้นกระบวนการเท่านั้น

เฉินหลิวอ๋องยืนตรงหน้าบัลลังก์ กวาดตามองผู้คนที่อยู่ในตำหนักหลายร้อยชีวิต ยิ้มบางๆ พลางเอ่ยถาม “ฝ่ายสู่ขอชิวซานจวินกับฝ่ายถูกขอสวีโหย่วหรงเพื่อเป็นสามีภรรยา มีผู้ใดคัดค้านหรือไม่”

ในตำหนักเงียบเป็นเป่าสาก ทว่าบรรยากาศมิได้อึดอัด ผู้คนทั้งหมดเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ฉาบอยู่บนใบหน้า อยู่ในห้วงเวลาที่ดีงามเช่นนี้ ผู้คนคิดเพียงปรารถนาจะอวยพร คิดเพียงรอหลังจากเฉินหลิวอ๋องกล่าวถามเสร็จเรียบร้อย ก็จะยืดตัวลุกขึ้นดื่มสุราอวยพรให้กับทั้งคู่

โต๊ะที่นั่งอยู่ในมุมของสำนักฝึกหลวง ใบหน้าเรียวเล็กของลั่วลั่วมิได้มีรอยยิ้ม มีเพียงสีหน้าซีดขาวเพราะความตกตะลึงเท่านั้น

นางได้แกะถุงผ้าที่อยู่ในแขนเสื้อออก จ้องมองหนังสือสมรสที่มีสีเหลืองเล็กน้อย จ้องมองรายชื่อทั้งสองที่อยู่บนหนังสือสมรส นางเพิ่งรู้ว่า เดิมทีวันนั้นที่ตนล้อเล่นคาดไม่ถึงว่าเป็นเรื่องจริง ในที่สุดนางเพิ่งเข้าใจบุญคุณความแค้นระหว่างอาจารย์กับจวนขุนพลเทพตงอวี้คืออะไร นางเพิ่งรู้ว่า เพราะเหตุใดม่อ​อวี่และผู้คนเหล่านั้นไม่ปรารถนาให้อาจารย์อยู่ในพิธี…

การถามใต้หล้าต้องถามสามครั้ง

เฉินหลิวอ๋องยิ้มอ่อนโยน เอ่ยถามอีกครา “มีผู้ใดคัดค้านหรือไม่”

ในตำหนักยังคงเงียบสนิท ใบหน้าของผู้คนเต็มไปด้วยรอยยิ้มอวยพร ดีงามจนหาสิ่งใดในโลกหล้านี้มาเปรียบมิได้

เฉินหลิวอ๋องมองสวีซื่อจี้แวบหนึ่ง ยิ้มน้อยๆ เพื่อแสดงความยินดี

สวีซื่อจี้ลูบหนวดสั้นเบาๆ มิลังเลที่จะสำรวม ก้มศีรษะน้อมรับ

เฉินหลิวอ๋องจึงมองไปยังฝ่ายของตระกูลชิวซาน ยิ้มพลางพยักหน้า

ฝ่ายตระกูลชิวซานยิ้มน้อยๆ มิได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใด ชัดเจนว่ายินดีอย่างยิ่ง

เฉินหลิวอ๋องจ้องมองในตำหนัก จึงถามเป็นครั้งสุดท้าย “มีผู้ใดคัดค้านหรือไม่”

เรื่องการสมรสครั้งนี้ ทั่วทั้งใต้หล้าล้วนแต่สนับสนุนเห็นด้วย ไม่มีผู้ใดคัดค้าน

ด้วยเหตุนี้ ทั่วทั้งใต้หล้าจึงเงียบสนิท ดีงามอย่างยิ่ง ทุกคนล้วนแต่กำลังรอคอย

ในมุมนั้น อยู่ๆ ลั่วลั่วก็ยืนขึ้น

ไม่มีใครสังเกตเห็นนาง

ตอนนั้นเอง มีเสียงดังมาจากด้านนอกตำหนัก

“ข้าคัดค้าน”

หนุ่มน้อยผู้หนึ่งเดินเข้ามาจากนอกตำหนัก

ทั่วทั้งร่างกายเขาเปียกโชก ผมสีดำยุ่งเหยิง เสื้อผ้าล้วนขาดวิ่น มองแล้วดูไม่จืดอย่างยิ่ง

เขาจ้องมองผู้คนในตำหนัก แววตาเป็นประกาย ท่าทางแน่วแน่

ในตำหนักเงียบกริบในบัดดล