บทที่ 320 งานเลี้ยงกลางคืน

คู่ชะตาบันดาลรัก

เฝิงอี้กล่าวว่า “รายละเอียดไม่แน่ชัด แต่งานเลี้ยงที่เมืองหลวงเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาได้ยินว่าเผยกุ้ยเฟยรักเขาเสมือนบุตร หลานชายอะไรกันบุตรชายแท้ๆ เสียมากกว่า องค์ชายทั้งหลายก็ไม่ค่อยจะลงรอยกับเขาเพราะฝ่าบาทโปรดปรานเขามากจนเกินไป”

นักกวีวัยกลางคนสงสัย “หากเป็นบุตรแท้ๆ ของเผยกุ้ยเฟยจริงเหตุใดถึงเลี้ยงดูเขาที่จวนโหวกัน”

“เพราะอย่างนั้นเรื่องนี้ถึงไม่แน่ชัดอย่างไรเล่า มีคนบอกว่าก่อนที่เผยกุ้ยเฟยจะเข้าวัง นางมีความสัมพันธ์ลับกับฝ่าบาทก็เลย…” เฝิงอี้ส่ายหน้า “แม้แต่ในหมู่ขุนนางก็มีข่าวลือมากมายมันยากที่จะพูดว่าเรื่องนี้น่าเชื่อถือ”

นักกวีวัยกลางคนถอนหายใจ “ผู้เปรียบดั่งพระอรหันต์เช่นนั้น พวกผู้ใหญ่ทำไม่ถูกจริงๆ!”

เฝิงอี้พยักหน้า “ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ดูแลสนามเลี้ยงม้าไม่อยู่ในความดูแลของข้า แต่การรับซื้อของมากมายเช่นนี้เกรงว่าจะทำให้เกิดความวุ่นวายได้”

“ลำบากใต้เท้าเฝิงแล้ว…” จนกระทั่งพระจันทร์ลอยเด่นอยู่บนกลางฟ้าการสนทนานี้ก็จบลง นักกวีวัยกลางคนกลับห้องพักเพื่อล้างหน้าล้างตา เขาไล่บ่าวรับใช้ออกไปและแขวนโคมไฟไว้ใต้ชายคาแล้วนั่งหลับตาพักผ่อนบำรุงเสินที่โต๊ะ

ไม่นานก็มีเสียงเคาะประตูดังจากด้านนอก

“เข้ามา” บ่าวรับใช้ในชุดธรรมดาผลักประตูเข้ามา

“พบอะไรหรือไม่” บ่าวรับใช้นั่งลงตรงข้ามเขาด้วยท่าทีเอื่อยเฉื่อยและถามเสียงแหบ นักกวีวัยกลางคนลืมตาขึ้น “เจอแพะอ้วนตัวใหม่หนึ่งตัวข้าแนะนำให้เปลี่ยนเป้าหมาย”

บ่าวรับใช้มองเขาด้วยความสงสัย “เหตุใดต้องเปลี่ยนเป้าหมายกว่าพวกเราจะลักลอบเข้ามาในที่ว่าการอำเภอมันไม่ง่ายเลยต้องใช้เวลาดำเนินการตั้งสองเดือน ตอนนี้ให้เปลี่ยนเป้าหมายสองเดือนที่ผ่านมาไม่เปล่าประโยชน์หรือ”

“เปล่าประโยชน์แล้วอย่างไร” นักกวีวัยกลางคนพูดเสียงเย็นชา “งานที่พวกเราทำต้องนับเวลาด้วยหรือ หากล้มเหลวก็จะเสียทั้งเวลาและพลังงานและอาจถึงแก่ชีวิต แต่ถ้าสำเร็จเราก็จะอิ่มในครั้งเดียว แม้แต่เรื่องนี้ยังตระหนักไม่ได้เจ้าก็ไปเปลี่ยนอาชีพเสียเถอะ!”

เขาออกจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ บ่าวรับใช้ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะแล้วโค้งกายให้อีกฝ่าย “นายท่านอย่าโกรธเลยพวกเราลงแรงกายแรงใจกับที่นี่ไปไม่น้อยก็เลยอยากถามไว้ก็เท่านั้น”

นักกวีวัยกลางคนเหลือบมองแล้วพูดว่า “การยึดครองที่ว่าการอำเภอเป็นความคิดที่ดี แต่การปลอมแปลงเป็นขุนนางปกครองท้องที่ระดับอำเภอนั้นยากเพราะอย่างไรก็ต้องรับตำแหน่งที่สูงขึ้น วันนี้ข้าพบเป้าหมายที่ยอดเยี่ยมความยากในการปลอมแปลงมีน้อยกว่าและได้ประโยชน์กว่าหลายเท่า”

“นายท่านหมายถึงผู้ใดกัน” ดวงตาของบ่าวรับใช้เป็นประกาย “อวบอ้วนกว่าที่ว่าการอำเภออีกหรือ”

นักกวีวัยกลางคนหัวเราะเยาะ “ที่ว่าการอำเภออ้วนแค่ไหนกัน ขุนนางปกครองอำเภอคนเดียว แต่เงินเดือนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เกาถางยากจนถึงขนาดต้องขุดยุ้งฉางออกมา แต่คงกินได้เพียงสามถึงห้าเดือนเท่านั้น เป้าหมายที่ข้าพูดถึงนั้นอ้วนกว่าที่ว่าการอำเภอมาก ความมั่งคั่งของเขาสามารถซื้อทั้งเกาถางได้เลยด้วยซ้ำ”

บ่าวรับใช้ได้ยินดังนั้นก็ใจเต้นแรง “เป็นตระกูลใหญ่ตระกูลใดหรือ”

“ไม่ใช่ตระกูลใหญ่หรอก” นักกวีวัยกลางคนตอบเสียงเรียบเฉย “แต่เป็นผู้ดูแลคนใหม่ของสนามเลี้ยงม้าต่างหาก”

บ่าวรับใช้เคยได้ยินเรื่องนี้มาแล้ว แต่เขาสงสัยเกี่ยวกับเป้าหมายนี้ “นายท่านได้ยินว่าขุนนางผู้นั้นมาจากตระกูลทหาร ข้างกายเขามีขุนศึกมากมายพวกเราจะกินเขาได้งั้นหรือ”

“แพะอ้วนแน่นอนว่าไม่ง่ายที่จะกิน” นักกวีวัยกลางคนพูดช้าๆ “แต่ถ้าเราได้กินมัน เราอาจไม่ต้องเลี้ยงชีพด้วยวิธีเสี่ยงถึงเพียงนี้อีก”

คำพูดนี้โน้มน้าวบ่าวรับใช้ได้ดีอีกฝ่ายครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งจากนั้นก็พูดว่า “ถ้าเช่นนั้นเราส่งคนไปสำรวจเส้นทางก่อน และดูว่าที่นั่นสามารถทำอะไรได้บ้างดีหรือไม่”

นักกวีวัยกลางคนเคาะโต๊ะเบาๆ แล้วพูดว่า “ไม่ต้องใช้คนอื่นหรอก เจ้านั่นแหละได้ยินมาว่าพวกเขาไม่เพียงแต่รับสินค้าทุกประเภท แต่ยังต้องการจ้างแรงงานอีกด้วย อย่างไรเสียที่ว่าการอำเภอเราไม่จำเป็นต้องอยู่ต่อแล้วหากที่นั่นใช้ได้พวกเราจะย้ายไปที่นั่นกัน”

บ่าวรับใช้ครุ่นคิดแล้วเขาก็เห็นด้วย “ได้ ข้าเชื่อนายท่าน วันรุ่งขึ้นข้าจะไปที่สนามเลี้ยงม้าเอง”

…………

หมิงเวยนั่งอยู่ตรงระเบียงทางเดินมองดูฝูงชนที่เหยียดยาวออกไป ผู้คนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นชาวเขาในซีเป่ยพวกเขาถือตะกร้าและเข็นรถมาที่นี่ อาสวนเดินออกจากคอกม้าเพื่อไปรับสินค้า

“ท่านเจ้าหน้าที่ไก่ตัวนี้ท่านรับหรือไม่ขอรับ” ชาวเขาแต่งกายเสื้อผ้าโทรมๆ ถามอย่างระมัดระวัง

ขุนศึกคนหนึ่งมองแล้วพูดว่า “ตราบใดที่ไม่ใช่ไก่ป่วยหรือไก่ตาย พวกเรารับหมด นำมาชั่งน้ำหนักตรงนี้”

หลังจากที่ชั่งเสร็จแล้วก็ได้ยินเจ้าหน้าที่พูดว่า “ไก่เป็นหนึ่งตัว ราคาตลาดอยู่ที่ห้าสิบเหวิน เพิ่มสามสิบส่วนและค่าเดินทางอีกสิบส่วนเป็นเจ็ดสิบเหวิน ไก่เป็นห้าตัวทั้งหมดคิดเป็นสามร้อยห้าสิบเหวิน นี่เงินของเจ้า!” เจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งก็หยิบเงินออกมาแล้วยื่นให้เขา

ชาวเขาคนนั้นดีใจมากเขากล่าวขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า เขานำไก่ห้าตัวมาขายในเมือง แน่นอนว่าต้องโดนกดราคาอีกทั้งยังต้องจ่ายภาษี ได้ราคาสองร้อยเหวินก็ไม่เลวแล้ว ตอนนี้เพิ่มอีกหนึ่งร้อยห้าสิบเหวินเพียงพอที่จะสามารถซื้อเสื้อผ้าดีๆ ให้ครอบครัวได้ ชาวเขาหลายคนเข็นรถมาทางนี้ซึ่งด้านในมีหินอยู่จำนวนหนึ่ง พวกเขารับเงินมาด้วยท่าทางมีความสุข

หนิงซิวเดินสะบัดแขนเสื้อมาทางนี้แล้วนั่งลง “หลังสร้างป้อมปราการเสร็จ คิดจะทำอะไรต่อ”

หมิงเวยหันศีรษะไปมองเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย “อาจารย์…”

หนิงซิวพูดเสียงเรียบเฉย “ถ้าต้องการเปิดอีกโลกหนึ่งจะต้องมีความแข็งแกร่งที่สอดคล้องกัน แม้ว่าท่านจะสร้างวัง แต่ท่านจะแข่งขันกับกองทัพซีเป่ยได้อย่างไร”

เมื่อได้ยินเขาถามคำถามนี้หมิงเวยก็แปลกใจเล็กน้อย นางคิดว่าหนิงซิวเป็นคนที่ไม่อยากกบฏมากที่สุด แต่คำถามที่เขากำลังถามอยู่ตอนนี้คือกุญแจสำคัญเขากำลังคิดเกี่ยวกับการกบฏจริงๆ นี่ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง

“ที่อาจารย์กล่าวมาก็มีเหตุผลเจ้าค่ะ”

“แล้วทางแก้ล่ะ”

หมิงเวยยิ้มและมองไปที่ฝูงชน “มีอยู่หนึ่งโอกาสเจ้าค่ะ”

ดวงตาของหนิงซิวเป็นประกาย “เมื่อไร”

หมิงเวยคิดนางควรพูดอะไรดี ในเวลาไม่ถึงสองปีราชวงศ์เว่ยตะวันตกจะถูกก่อตั้งขึ้นที่อีกฟากหนึ่งของภูเขา ดังนั้นปีนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง และจะมีสงครามเกิดขึ้นในซีเป่ย ตราบใดที่สงครามยังคงอยู่พวกเขาก็สามารถใช้ประโยชน์จากความโกลาหลได้ “ท่านรู้หรือไม่ว่าอีกฝั่งของภูเขาคือผู้ใด”

หนิงซิวตอบ “หูเหริน”

“พูดให้ถูกก็คือเป็นเผ่าทั้งแปดในเป่ยหูเจ้าค่ะ” หมิงเวยตอบ “หลายปีมานี้เผ่าทั้งแปดในเป่ยหูต่อสู้กันเอง และตอนนี้ใกล้จะจบลงแล้ว เชื่อว่าอีกไม่นานพวกเขาจะรวมเป็นหนึ่งและหันเหไปทางใต้เจ้าค่ะ”

“หมายความว่าจะมีสงครามเกิดขึ้นงั้นหรือ” หมิงเวยพยักหน้าช้าๆ

แววตาของหนิงซิวเยือกเย็น “เหตุใดถึงไม่เตือนราชสำนัก”

นี่เขาคิดว่านางจะใช้สงครามเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวจริงๆ หรือ หมิงเวยยิ้ม

“ที่เสวียนตูกวันข้าใช้การสังเกตการณ์ดวงดาวเตือนฝ่าบาทแล้ว เรื่องใหญ่เช่นนี้เป็นสิ่งเดียวที่ข้าทำได้เจ้าค่ะ”

หนิงซิวสงบลง “เช่นนั้นกองทัพซีเป่ยพร้อมแล้วหรือ”

“เรื่องนี้ข้าตอบไม่ได้” หมิงเวยถอนหายใจ “ท่านก็ทราบดีว่าคนต่ำต้อยคำพูดย่อมไม่มีน้ำหนัก” หนิงซิวเงียบ

“เพราะฉะนั้นนี่ไม่ใช่แค่โอกาสของเราเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการแก้ปัญหาวิกฤตในแผ่นดินต้าฉีด้วย พวกเรามีเวลาไม่มากภายในหนึ่งปีจะต้องมีเงื่อนไขที่ใช้ได้ ไม่เช่นนั้นพวกเราคงทำได้เพียงมองโศกนาฏกรรมเท่านั้นเจ้าค่ะ”

หนิงซิวเงียบอยู่นานจู่ๆ ก็พูดขึ้นว่า “อาจารย์ฟู่บอกว่าท่านล้างสมองเก่ง ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง”

จากนั้นเขาก็เดินออกไปหมิงเวยคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาหมายถึงถูกนางพูดโน้มน้าวหรือเปล่านะ