ตอนที่ 320 โดดเดี่ยวเดียวดาย

ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม

“สหายนักพรตท่านนี้ ท่านรู้ข่าวคราวในตอนนี้ของหญิงลึกลับผู้นั้นหรือไม่” อันหลินเดินเข้าไป คำนับแล้วเอ่ยถาม

ชายวัยกลางขมวดคิ้ว พบกันครั้งแรกต้องเรียกว่าสหายร่วมรบไม่ใช่หรือ สหายนักพรตคืออะไร

แต่เขาก็ไม่คิดอะไรมาก เห็นแก่ที่เป็นเพื่อนของลูกสาว จึงตอบไปว่า “ข้ารู้เพียงว่าหญิงลึกลับคนนั้นเหาะไปทางตะวันออกของแคว้นต้าโจว รายละเอียดข้าไม่รู้”

“ขอบใจมาก” อันหลินพยักหน้า จากนั้นหันไปยิ้มให้ไป๋ซูเยี่ยน “ข้ายังมีธุระเร่งด่วน ขอตัวลา”

“แล้วพบกันใหม่ผู้อาวุโส!” ไป๋ซูเยี่ยนพอจะคาดเดาอะไรได้บ้างแล้ว จึงไม่เหนี่ยวรั้งเขาไว้

จู่ๆ ลำแสงสีดำก็ปรากฏใต้ฝ่าเท้า อันหลินย่ำลำแสงสีทะมึนลอยขึ้น พุ่งสู่ชั้นเมฆ

“นี่มัน…ขี่วัตถุเหาะเหิน! คุณพระ นี่มันความสามารถที่จะมีแค่ในผู้แข็งแกร่งตั้งแต่ระดับราชันสงครามขึ้นไปนี่นา!” ชายวัยกลางคนร้องเสียงหลง จากนั้นก็เบนสายตามองลูกสาวของตน “เยี่ยนเอ๋อร์ ผู้อาวุโสท่านนี้เป็นเพื่อนของเจ้าหรือ”

ไป๋ซูเยี่ยนมองร่างที่จากไปไกลแล้วส่ายหน้า พูดอย่างห่อเหี่ยวว่า “ไม่ใช่หรอก…ข้ากับเขาเพียงพบกันโดยบังเอิญเท่านั้น…”

บนท้องนภา อันหลินเปลี่ยนจากกระบี่เป็นขี่ก้อนอิฐ

ตอนนี้จิตใจของเขาว้าวุ่นอย่างยิ่ง ตอนแรกคิดว่ามีแค่ตัวเขาที่ทะลุมิติมายังต่างแดนที่พิสดารเช่นนี้ แต่ตอนนี้มีหญิงลึกลับโผล่มาอีกคน

ถ้าคนคนนั้นเป็นซูเฉี่ยนอวิ๋น อย่างนั้นความนัยแฝงนี้ มันจะแตกต่างอย่างสิ้นเชิง

คิดได้ดังนั้น เขาก็เพิ่มความเร็วในการเหาะเหินขึ้นอย่างอดไม่ได้

แคว้นต้าโจวในยามนี้กำลังตกอยู่ในสภาวะโกลาหล

มือดีของราชวงศ์สิ้นชีพแทบเป็นศูนย์ ตำแหน่งปกครองจวนล่มสลาย เหล่าวีรชนของแต่ละสำนักชูสลอน บ้างคิดจะกู้สถานการณ์ บ้างกลับคิดจะก่อตั้งอำนาจใหม่ บ้างร่วมมือกับมือดีแคว้นเพื่อนบ้านลอบโจมตีหญิงลึกลับคนนั้น

แต่สิ่งที่น่าพรั่นพรึงคือ การลอบโจมตีสามครั้งล้วนล้มเหลว ซ้ำยังมีกษัตริย์สงครามตายถึงสี่คน

เรื่องนี้ถึงขั้นสั่นคลอนจักรวรรดิอ้าวซิน ต้องรู้ว่าแม้จะค้นหาทั่วอาณาเขตของจักรวรรดิ กษัตริย์สงครามก็นับว่าเป็นผู้แข็งแกร่งแห่งแดนดินแล้ว วายชนม์ติดต่อกันเช่นนี้ จะไม่ให้ผู้คนหวาดกลัวได้อย่างไร

ปฏิบัติการลอบโจมตีครั้งที่สี่ ครั้งนี้แม้แต่จักรวรรดิอ้าวซินก็ส่งคนเข้าร่วมด้วย

ช่วยไม่ได้ เจ้าแคว้นบริวารของพวกเขาถูกสังหาร แถมเรื่องยังบานปลายใหญ่โตขนาดนี้ ควรจะวาดสัญลักษณ์ตัวหยุดให้กับหนังตลกเรื่องนี้แล้ว จำต้องประกาศให้โลกรู้ว่าจักรวรรดิอ้าวซินแตะต้องไม่ได้

เจ้าสำนักตวนมู่จวินแห่งสำนักมังกรเหลือง ประมุขหอต่งเทียนแห่งหอพันแปร เจ้าสำนักข่งหลิงแห่งสำนักหมื่นบุปผา เจ้าแคว้นติงม่าวแห่งแคว้นทิวาเพลิง ต้วนเทียนอวี่ทูตพิเศษจากจักรวรรดิอ้าวซิน กษัตริย์สงครามทั้งห้าเคลื่อนไหวพร้อมกัน

ต้วนเทียนอวี่เป็นผู้กล้าระดับกึ่งอริยะ ขอเพียงเจอตัวหญิงลึกลับ จะสามารถสังหารได้ทันทีแน่นอน!

พบเป้าหมายเป้าหมายออกจากเมืองแล้ว

เป้าหมายจับกระต่ายตัวหนึ่ง กำลังย่างอยู่

เป้าหมายย่างกระต่ายเกรียมแล้ว

สายข่าวที่จับตาดูส่งข่าวมาไม่ขาดสาย ทั้งห้าคนมุ่งหน้าสู่ตำแหน่งที่เป้าหมายอยู่

ดวงจันทร์ลอยเด่นกลางนภา

กลางผืนป่าเขียวชอุ่ม มีกองไฟสุมอยู่

หญิงสาวรูปโฉมงดงามกำลังอึ้งกับกระต่ายไหม้เกรียม

นางคิดถึงเสี่ยวเยว่ คิดถึงพี่ฉางเอ๋อ คิดถึงครอบครัวและเพื่อนพ้อง

ตลอดหลายวันนี้เป็นเหมือนฝันร้าย

ไม่ ฝันร้ายที่นางเคยฝันไม่ได้น่ากลัวปานนี้!

โลกที่แปลกหน้า ตัวคนเดียวโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง

ตอนแรกคิดว่าพบเจอบุรุษน้ำใจงาม แต่เมื่อนางเห็นความละโมบในตาของชายคนนั้น นางก็รู้แล้วว่าชายคนนั้นไม่มีเจตนาดี แม้นางจะไม่เจนโลก แต่ไม่ได้แปลว่านางโง่ นางแยกแยะชั่วดีได้ อ่านสีหน้าคำพูดเป็น

นางจึงตัดสินใจจะจากไป คิดไม่ถึงว่าชายคนนั้นจะใช้เวทมนตร์หมายขืนใจนาง อยากจะทำเรื่องที่ไม่ควรเอ่ยถึงกับนาง…ด้วยอารมณ์โทสะ จึงสังหารชายคนนั้น

แต่เพราะการลงมือในครั้งนั้น กลายเป็นต้นตอของปัญหาที่ไม่หยุดหย่อนของนาง

เหมือนว่าชายคนนั้นจะศักดิ์สูงในโลกใบนี้ ไม่นานนางก็ถูกกองทัพทั้งหลายแหล่ตามล่า

ฆ่าอย่างไรก็ฆ่าไม่หมด โผล่มากลุ่มแล้วกลุ่มเล่า นับวันจะยิ่งดุเดือดขึ้นทุกที

ประหนึ่งว่าหากนางยังไม่ตาย การไล่ล่าก็จะไม่มีวันจบสิ้น

ราวกับว่าโลกใบนี้เหลือเพียงศัตรูแล้ว

นางแหงนหน้ามองท้องฟ้า ดวงจันทร์เด่นสง่ากลางรัตติกาล ไร้ซึ่งความอบอุ่น ความหนาวเหน็บกัดกินร่างอันบอบบางของนาง นางรู้สึกกระบอกตาร้อนผ่าวอย่างไม่มีสาเหตุ ปากพึมพำว่า “ใครก็ได้บอกข้าที ข้าควรทำอย่างไร…”

ครืน…

กลิ่นอายลมปราณอันแก่กล้าม้วนตัวไปทั่วฟ้าดิน

นางลุกขึ้นยืน โยนเนื้อกระต่ายที่ไหม้เกรียมลงพื้น ใบหน้าเกลี้ยงเกลาฉายความเคร่งขรึม

มาอีกแล้วหรือ

ครั้งนี้มีห้าคน และกลิ่นอายไม่ธรรมดาเลยสักคน…

“ฮ่าๆ ๆ…นางปีศาจ ครั้งนี้เจ้าหนีไม่รอดแน่!”

เสียงทุ้มแว่วมาจากเวหาหาว ต้วนเทียนอวี่นำผู้แข็งแกร่งระดับกษัตริย์สงครามสี่คนพุ่งลงจากฟ้า

น่าเสียดายที่นางไม่เข้าใจว่าต้วนเทียนอวี่พูดอะไร รู้สึกเพียงว่าต้วนเทียนอวี่ดูจองหองเป็นอย่างมาก

เมื่อต้วนเทียนอวี่เห็นดวงหน้างดงามเรียบเฉยของหญิงคนนั้นก็ชะงักไป ในใจเกิดความคิดบางอย่าง จะจับเป็น หรือเสพสุขแล้วค่อยฆ่าทิ้ง

ทว่าครู่ต่อมา ราวกับมีลำแสงสีน้ำเงินเส้นหนึ่งกระโดดข้ามมิติ ทะลวงร่างของตวนมู่จวินเจ้าสำนักมังกรเหลืองในอึดใจเดียว ใบหน้าของตวนมู่จวินยังอยู่ในอาการหวาดกลัว แต่กลับตอบโต้ไม่ทัน

ต้วนเทียนอวี่หายใจเข้าดังเฮือก หากไม่สู้กันซึ่งหน้า ไม่มีทางรู้ได้เลยว่ามันเป็นพลังงานพิสดารแบบไหน เขาไม่รู้สึกถึงคลื่นของปราณสงครามเลยแม้แต่นิด!

“วางค่ายกล!” เขาตัดสินใจเด็ดขาด ตะโกนลั่นทันที

ตอนนี้ไม่ใช่เวลามามัวเมาความงามแล้ว ครั้นพลาดท่า พวกเขาอาจตายยกกลุ่มก็ได้

ต่งเทียน ข่งหลิงและติงม่าวขวัญเสียไม่น้อย แต่พวกเขาเป็นถึงผู้แข็งแกร่งระดับกษัตริย์สงคราม มีคุณสมบัติด้านการรบสูงมาก ยืนตามตำแหน่ง จัดขบวนเป็นค่ายกลสี่มังกรวายุอัสนีในพริบตา!

เดิมทีต้องเป็นค่ายกลห้ามังกรวายุอัสนี ตวนมู่จวินตายไปแล้ว สี่มังกรก็ไม่ด้อย

ครืน!

ปราณสงครามซัดสาด หมู่เมฆกระเพื่อม อัสนีคำราม!

ตำแหน่งของทั้งสี่คนมีต้วนเทียนอวี่เป็นหลัก ยกระดับพลังให้สูงถึงระดับของอริยะสงคราม พลังพุ่งทะยานเป็นเหตุให้พายุโหมกระหน่ำ แมกไม้ในรัศมีร้อยจั้งปลิวกระจาย

หญิงสาวยืนตระหง่านกลางลมคลั่ง กงจักรแสงจันทร์สีน้ำเงินคอยกำบังนางด้วยการสร้างม่านแสง ขัดขวางพายุและสายฟ้าที่จู่โจมนาง

นางรู้สึกได้ว่าค่ายกลมหึมาพันธนาการนางแล้ว อานุภาพของพายุและสายฟ้ารุนแรงขึ้นทุกที…

ต้วนเทียนอวี่ถือกระบี่สีชาดชี้หญิงสาวที่อยู่ไม่ไกล พูดเสียงเย็นว่า “นี่เป็นค่ายกลสี่มังกรวายุอัสนี ต่อให้เจ้าเป็นอริยะสงคราม ก็ต้านทานไม่ได้ เจ้าตายเสียเถอะ!”

สิ้นคำของเขา หวังว่าจะได้เห็นความหวาดกลัวและกริ่งเกรงจากหญิงสาว เพื่อจะได้วางมาดเท่ๆ สักหน่อย คิดไม่ถึงว่าสิ่งเขาเห็นกลับเป็นลำแสงสีน้ำเงิน

ต้วนเทียนอวี่ขนลุกชัน กระตุ้นพลังค่ายกลให้รวมตัวกันที่กระบี่แล้วตวัดฟัน

ตูม

พลังงานระเบิดทันใด แผ่นดินก็พาลสั่นไหวไปด้วย

กงจักรปะทะกระบี่ ทำให้กระบี่สีชาดของเขาเกิดรอยแตก

พลังงานโหมซัดจากกระบี่ของต้วนเทียนอวี่ทำให้เขาร่นถอยอยู่หลายก้าวกว่าจะทรงตัวได้

“สี่มังกร!”

ใบหน้าของเขาฉายความตกใจ ชักช้ายืดยาดไม่ได้อีกแล้ว จึงใช้กระบวนท่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของค่ายกลทันที

ขณะเดียวกัน ต่งเทียน ข่งหลิงและติงม่าวก็ประสานอินอย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นปราณสงครามในร่างกาย

บนเวหา สายฟ้าเหลือคณากระจายทั่ว

ครู่เดียวมังกรอัสนีสี่น้ำเงินที่มีกระแสไฟกะพริบแปลบปลาบก็แหวกชั้นเมฆมา

หญิงสาวมองมังกรอัสนีสี่ตัวบนท้องฟ้า สัมผัสได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่และมหาศาล จึงเรียกกงจักรแสงจันทร์กลับมาก่อม่านแสงจันทร์สีน้ำเงิน

“นางปีศาจตายเสียเถอะ!” ต้วนเทียนอวี่ถือกระบี่สีชาดชี้หน้าหญิงสาวไกลๆ

มังกรอัสนีสี่ตัวพุ่งทะยานจากนภาสู่พสุธาด้วยพลังทำลายล้างทุกสรรพสิ่ง สุดท้ายก็พุ่งชนพวกต้วนเทียนอวี่

ตูม

อัสนีระเบิดกระจายตัวเป็นทรงกลม ทำให้ผิวดินแตกทลาย ส่องสว่างรัตติกาลให้เป็นทิวากาล

ดวงตาสีน้ำเงินของหญิงสาวเบิกกว้างจ้องมองเหตุการณ์ตรงหน้า ใบหน้าฉายอาการตกใจเป็นครั้งแรก

รบจนบัดนี้ ในที่สุดนางก็ตกตะลึงเพราะต้วนเทียนอวี่แล้ว

เพราะตอนนี้ ศัตรูที่ใช้พลังทำร้ายตัวเองไม่ค่อยมีให้เห็น

จากนั้นชายชุดดำคนหนึ่งก็พุ่งลงมาย่ำผืนธรณี

“ซูเฉี่ยนอวิ๋น เจ้าจริงๆ ด้วย!”

เสียงคุ้นเคยที่เจือความตื่นเต้นทำให้ร่างอรชรของหญิงสาวสั่นเทิ้ม

นางมองบุรุษตรงหน้าอึ้งๆ กัดริมฝีปากอ่อนนุ่มแน่น ไม่รู้ว่าน้ำตาซึมออกจากหางตาตั้งแต่เมื่อใด

อารมณ์ที่สะกดกลั้นระเบิดราวกับเขื่อนแตก นางขยับฝีเท้า กางแขนกอดชายตรงหน้าไว้แนบแน่น

“ฮือ…เจ้ามาแล้ว ข้ากลัวเหลือเกิน ข้าคิดว่าโลกใบนี้เหลือเพียงข้าแล้ว ฮือๆ ๆ…” ซูเฉี่ยนอวิ๋นร้องไห้คร่ำครวญเสียงดัง

เนิ่นนานแล้วที่นางไม่ได้ร้องไห้เช่นนี้ น้ำตาไหลพรากบนใบหน้าขาวผ่อง นางไม่กล้าเช็ด เพียงกอดชายตรงหน้าไว้แน่น ด้วยกลัวว่าหากปล่อยมือ ชายคนนั้นจะหายไป

ชายคนนั้นก็คืออันหลินที่รีบเดินทางมา ร่างบางของหญิงสาวสั่นระริก มีกลิ่นหอมของดอกกุ้ยฮวากำจายเป็นระยะๆ เขายิ้ม ลูบหลังหญิงสาวแผ่วเบาพลางพูดว่า “อืม ไม่ต้องกลัว ข้าอยู่นี่แล้ว”