ตอนที่ 64 ประสบการณ์จากหมู่บ้านไท่ผิง

เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零]

หลังจากนั้นอากาศก็เริ่มหนาวขึ้นเรื่อย ๆ ผู้คนต่างก็ทำเวลาเพื่อเตรียมตัวผ่านช่วงฤดูหนาว เย่ฉูฉู่กับพี่สะใภ้สามนำผักมาดอง ผักเค็มก็ดองแล้ว ผักแห้งก็ทำเสร็จแล้ว เมื่อเห็นว่าเหล่าพี่สามีขึ้นเขาไปเก็บฟืนกันทุกวัน และนึกได้ว่าในบ้านของเธอยังไม่มีฟืนสำหรับฤดูหนาว เธอจึงขึ้นเขาไปด้วย

เธอไม่ได้บอกจ้าวเหวินเทา ช่วงนี้เขายุ่งขนาดนั้น ตอนเช้าก็ตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ ตอนดึกก็กลับมาเสียมืดค่ำ เห็นถึงความเหนื่อยล้าอย่างไม่อาจปิดบัง เธอจึงไม่รบกวนเขาในเรื่องเล็ก ๆ แบบนี้

“ฉูฉู่ ทำไมถึงขึ้นไปเก็บฟืนบนเขาเนี่ย เจ้าหกจ้าวล่ะ?” ภรรยาของเหล่าหวังสามในหมู่บ้านเห็นเย่ฉูฉู่จึงพูดขึ้น

“เขายุ่งอยู่กับการขายถั่วงอกน่ะค่ะ อีกอย่างที่บ้านก็ไม่มีอะไรต้องทำ ฉันเลยคิดจะทำงานสักหน่อย” เย่ฉูฉู่กล่าว

“ฉูฉู่ งานพวกนี้มันเป็นงานของผู้ชายนะ ขายถั่วงอกนั่นจะขายนานสักเท่าไรกันเชียว? ตอนเช้าก็ขายหมดแล้ว กลับมาก็ยังแบกฟืนช่วงบ่ายทัน” ภรรยาของเหล่าหวังสามกล่าว หล่อนรู้สึกว่าเจ้าหกจ้าวคนนั้นแอบอู้งานไม่ยอมทำการทำงาน!

“เขาตื่นตั้งแต่เช้า ระยะทางก็ไกล คงเหนื่อยมาก กลับมาก็หลับไปแล้ว ฉันไปก่อนนะคะ” เย่ฉูฉู่ไม่ได้พูดอะไรให้มากมาย เธอแบกคราดเดินออกไป

ภรรยาของเหล่าหวังสามมองเงาแผ่นหลังเล็ก ๆ ของเย่ฉูฉู่แล้วก็เดาะลิ้น “ภรรยาตัวน้อยคนนี้รักสามีของตัวเอง แต่ไม่ดูเลยว่าสามีของตัวเองมีความประพฤติเป็นยังไงบ้าง กินเก่งแต่เกียจคร้าน คุยโวโอ้อวดใช้เงินฟุ่มเฟือย รักไปก็เปล่าประโยชน์ แต่งเข้ามาอยู่ในบ้านนานขนาดนี้ยังไม่มีข่าวคราวเรื่องท้องเลย ถ้ายังเหนื่อยมากไปกว่านี้ หลังจากนี้คงได้ถึงเวลาที่เธอจะมานั่งเสียใจแน่”

ลมเหนือพัดโชยผ่านมาเบา ๆ หล่อนหดคอก่อนจะรีบเดินเข้าไปในบ้าน ภายในใจก็แอบเห็นใจเย่ฉูฉู่จริง ๆ อากาศหนาวขนาดนี้ยังต้องขึ้นเขาไปแบกฟืน ช่างเป็นความทุกข์ทรมานจริง ๆ

ผู้หญิงคนนี้คล้ายกับเมล็ดหญ้ากลางสายลม ปลิวไปตามแรงลมไปถึงที่ไหนก็งอกเงยที่นั่น หากได้เจอกับที่ดินอุดมสมบูรณ์ก็ดีไป แต่ถ้าเจอกับความแห้งแล้ง ก็จบเห่ตลอดชีวิต

ไม่ต้องพูดหรอก พูดไปครึ่งค่อนวันก็เปล่าประโยชน์ เงาผอมบางและน่าสงสารของเย่ฉูฉู่เป็นที่รู้จักของคนทั้งหมู่บ้าน ถูกภรรยาเหล่าหวังสามพูดอธิบายอย่างชัดเจนแบบเข้าเนื้อไม้ลึกสามเฟิน [1] เชียวล่ะ

“ชายกลัวเลือกอาชีพผิด หญิงกลัวเลือกสามีผิด ประโยคนี้พูดไม่ผิดแม้แต่น้อย ลูกสาวตระกูลเย่คนนั้นอ่อนโยน นิสัยก็ดีไม่รู้ตั้งเท่าไร ทำไมถึงมาแต่งงานกับคนแบบนี้ได้นะ?”

“นั่นน่ะสิ ลูกสาวคนนี้ของตระกูลเย่ถือว่าถูกทำลายด้วยน้ำมือของเจ้าหกจ้าวเลยแหละ เธอว่าไหม แม่ยายตระกูลเย่ก็ฉลาดนะ ทำไมถึงได้ยกลูกสาวให้กับหัวหน้าครอบครัวแบบนี้ได้ล่ะ?”

“มองพลาดมั้ง”

“มองพลาดอะไรกัน เรียกว่าดูจนตาลายต่างหากล่ะ ถึงเจ้าหกจ้าวจะไม่ได้เรื่องสักอย่าง แต่ถ้าไปยืนตรงนู้นก็ราศีจับเชียวล่ะ คนที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางคงคิดว่าเป็นของล้ำค่าหายาก”

“งานการไม่ทำสักอย่างแต่กินดีอยู่ดี ถ้าเป็นฉัน ฉันเองก็ราศีจับเหมือนกันนั่นแหละ!”

“ฮ่า ๆ พอเหอะ ถ้าเป็นนาย ต่อให้กินเนื้อมังกร นายก็ยังดูน่ารังเกียจแบบนั้นอยู่ดี!”

ภายในหมู่บ้าน ผู้หญิงและผู้ชายเกียจคร้านส่วนหนึ่งกำลังหัวเราะร่ากันอยู่

เย่ฉูฉู่กลับไม่ได้คิดมากมายขนาดนั้น เธอเพียงแค่อยากจะแบกฟืนให้มากสักหน่อย

ส่วนงานนี้จะเป็นงานของผู้หญิงหรือไม่ เธอไม่ได้ใส่ใจ สามีของเธอไม่ได้เกียจคร้านอย่างที่คนอื่นเขาพูดกันจริง ๆ สักหน่อย อีกอย่างเขาก็ขยันหาเงินเลี้ยงครอบครัวด้วย ออกไปทำงานอย่างยากลำบากข้างนอก เธอที่อยู่ในบ้านถ้าหากทำงานได้มากขึ้นก็ทำสักหน่อยแล้วกัน

จ้าวเหวินเทาไม่รู้ว่าภรรยาของเขาขึ้นไปแบกฟืนบนภูเขา ตอนนี้เขายุ่งมาก หลังขายถั่วงอกและเนื้อเสร็จ ก็เริ่มสอบถามเรื่องผักใบเขียว

สองสามวันมานี้ เขาไปถามมาพอสมควรแล้ว เขาจอดจักรยานไว้ที่บ้านพี่สาวใหญ่ จากนั้นก็ติดรถแทรกเตอร์ไปด้วยเพื่อไปศึกษานอกสถานที่ภายในหมู่บ้านไท่ผิง

รถแทรกเตอร์เป็นของสถานีส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตร ซึ่งหมู่บ้านไท่ผิงจ้างมาพลิกหน้าดิน

จ้าวเหวินเทานั่งอยู่ตำแหน่งข้างคนขับภายในรถ เขาพูดคุยกับคนขับ “พี่ใหญ่หลิว พลิกหน้าดินเขาทำในช่วงฤดูใบไม้ผลิไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงมาพลิกหน้าดินในช่วงฤดูใบไม้ร่วงล่ะครับ?”

คนขับหลิวที่กำลังขับรถมีอายุสามสิบกว่า ๆ รูปร่างบึกบึน ไว้เครา ผิวพรรณดำคล้ำ ดู ๆ ไปแล้วแก่กว่าอายุจริงมากนัก

แต่จากร่างกายของเขาก็พอจะมองออกว่าฐานะทางบ้านคงไม่เลวเลย ไม่เช่นนั้นร่างกายคงไม่แข็งแรง

“น้องชาย นายคงไม่รู้สินะ ทางนั้นหลังจากช่วงเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงแล้วก็จะพลิกหน้าดินทันที ก่อนที่อากาศจะหนาวจนแข็ง พลิกหน้าดินได้มากเท่าไรก็ดีเท่านั้น ถ้ารอให้ถึงฤดูใบไม้ผลิ ตอนนั้นก็คงยุ่งแล้ว ไม่มีเวลาจัดการหรอก” คนขับหลิวเองก็เป็นคนช่างเจรจา

จ้าวเหวินเทาสงสัยใคร่รู้ “พวกเขายุ่งอะไรกันเหรอครับ?”

“ยุ่งอะไร? ก็เยอะแยะ ที่สำคัญ ๆ ในช่วงฤดูใบไม้ผลินั่นแหละ ต้อนแกะ ต้อนวัว แถมยังมีปลูกข้าวสาลีอีก จริงสิ ยังมีผักใบเขียวด้วยนะ นายเองก็อยากไปดูเรือนกระจกไม่ใช่เหรอ ฉันจะบอกอะไรให้นะ ปลูกผักยุ่งยากกว่าพืชเกษตรในเรือกสวนไร่นาอีก วันสองวันก็ต้องมากำจัดวัชพืชหนึ่งครั้ง ยิ่งปลูกในเรือนกระจกยิ่งทำให้ลำบากเข้าไปใหญ่” คนขับหลิวบอกเล่าอย่างรู้ถึงสถานการณ์ทางฝั่งนี้เป็นอย่างดี

จ้าวเหวินเทาได้ยินก็รู้สึกว่าตนเองคิดถูกแล้วที่มาในครั้งนี้ สถานที่ภายในหมู่บ้านที่มีขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือนั้นย่อมมีขีดจำกัด อยากมีความรู้งอกเงยก็ต้องออกมาข้างนอก

“พี่ใหญ่หลิว การประกอบการของทางนี้เป็นยังไงเหรอ? สถานที่ใหญ่โตขนาดนั้น คงขาดกำลังคนไม่น้อยเลยมั้ง?” จ้าวเหวินเทาครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยถามออกไป

คนขับหลิวกล่าว “ขาดคนอะไรกัน? พวกเขาทำกันเองมาตั้งนานแล้ว เรื่องของตัวเองใครจะไม่ทำงานหนักกัน?”

“หา?” จ้าวเหวินเทาถึงกับตกตะลึง “พวกเขาทำกันเองเหรอ?”

“ใช่ ทำแบบแบ่งที่นาน่ะ แต่ก็ไม่ได้บอกคนข้างนอกหรอกนะ สองปีมานี้นโยบายผ่อนปรนลงแล้ว ก็เลยไม่ได้ปิดบังอีกต่อไป ตอนที่กินข้าวหม้อใหญ่ [2] ในปีนั้น ๆ พวกเขาต่างก็เลี้ยงหมูปลูกผักกัน การใช้ชีวิตดีกว่าหมู่บ้านอื่น ๆ เยอะเลยล่ะ” คนขับหลิวกล่าว

จ้าวเหวินเทาค่อนข้างชื่นชมจริง ๆ เขากล่าว “ถ้ารู้แบบนี้ตั้งแต่แรก ผมคงมาดูที่หมู่บ้านไท่ผิงให้เร็วกว่านี้”

“มาเร็วกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์หรอก ละแวกใกล้เคียงของที่นี่ผู้คนก็ทำแบบนี้กันทั้งนั้นแหละ หัวหน้าของพวกเขาเก่งมาก กล้าหาญ มีกลยุทธ์ ถ้าให้พึ่งพาตัวเองก็คงทำกันไม่ได้หรอก” คนขับหลิวกล่าว

จ้าวเหวินเทาพยักหน้า “เรื่องนี้ก็ถูกนะครับ นี่ก็ใช้ชีวิตเหมือนกับประชาชนตัวเล็ก ๆ นั่นแหละ หัวหน้าครอบครัวไม่ได้เรื่องชีวิตของบ้านหลังนี้ก็ไม่ดี”

“เหตุผลนี้แหละ!” คนขับหลิวยิ้ม

จ้าวเหวินเทาเป็นคนช่างเจรจา ระหว่างทางก็หลอกล่อให้คนขับหลิวเล่าเรื่องของหมู่บ้านไท่ผิงไปไม่น้อย ทั้งสองคนยิ่งคุยก็ยิ่งถูกคอ มาถึงที่แล้ว ไม่ว่าจะพูดอย่างไรคนขับหลิวก็อยากจะลากจ้าวเหวินเทาไปรับประทานอาหารที่โรงอาหารของทีมใหญ่ด้วยกัน

“นี่ก็เที่ยงแล้ว อากาศก็หนาว จะให้กินอาหารแห้งได้ยังไงกัน ไป ไปหาอะไรร้อน ๆ กินกับฉันสักมื้อ แล้วค่อยไปทำธุระของนาย” คนขับหลิวกล่าว

จ้าวเหวินเทาเดิมทีก็อยากจะเหยียบเข้าไปในทีมใหญ่ของหมู่บ้านไท่ผิงเหมือนกัน แบบนี้ก็ดี เขาไม่ต้องพูดด้วยตัวเอง อีกอย่างคนขับหลิวก็เป็นคนซื่อสัตย์ เขาจึงตอบตกลงอย่างมีความสุข และตามอีกฝ่ายมายังทีมใหญ่ของหมู่บ้านไท่ผิง

ทีมใหญ่ของหมู่บ้านทั้งหมดก็เหมือน ๆ กัน รั้วกั้นทำด้วยดิน ลานใหญ่โตกว้างขวาง มีบ้านดินเรียงแถวอยู่หลายแถว มีหญ้าขึ้นบนหลังคา

ภายในบ้านมีเตียงเตาขนาดใหญ่วางอยู่ มีตู้และห้องครัวแบบง่าย ๆ นี่คือสถานที่ไว้รับรองแขก

คนขับหลิวถูกเชิญมาเพื่อพลิกหน้าดิน ทีมใหญ่จึงดูแลทั้งอาหารการกินและที่พักอาศัย อันที่จริงเขามาที่นี่หลายวันแล้ว ครั้งนี้รถมีปัญหานิดหน่อย จึงต้องกลับไปซ่อมในเมือง กลับมาก็ได้มาเจอกับจ้าวเหวินเทาพอดี

“ฉันอยู่ที่นี่จนถึงช่วงหน้าหนาวหิมะตกหนักถึงจะกลับไป ถ้านายมาอีกรอบก็มาหาฉันที่นี่ บอกว่าเป็นน้องชายของฉัน เรื่องการกินกับที่พักอาศัยไม่มีปัญหา” คนขับหลิวเรียกเขาให้ขึ้นมานั่งบนเตียงเตา

“ตกลง งั้นรบกวนพี่ใหญ่หลิวหน่อยนะครับ” จ้าวเหวินเทากล่าวขอบคุณ

“รบกวนอะไรกัน อยากกินอะไรก็กินให้เต็มที่เลย!” คนขับหลิวหัวเราะร่าอย่างใจกว้าง

เหล่าชวีโถวคนเฝ้าประตูควบคู่กับการเป็นพ่อครัวให้กับทีมใหญ่ ยกอาหารมาเสิร์ฟพลางกล่าว “พวกชอบกินฟรีมาแล้ว ฉันต้องไปบอกเลขาของพวกเราสักหน่อย”

……………………………………………………………………………………………………………………

[1] เข้าเนื้อไม้ลึกสามเฟิน (入木三分) เปรียบเปรยกับผู้ที่มีความคิดล้ำลึก หรือ วิเคราะห์ แยกแยะประเด็นปัญหาต่างๆ ได้อย่างชัดเจน แจ่มแจ้ง

[2] กินข้าวหม้อใหญ่ (吃大锅饭) เป็นระบบการจัดสรรอาหารให้กับประชาชนชาวคอมมูน ที่รัฐบาลจีนจัดขึ้น โดยมีสโลแกนว่า “กินข้าวฟรี ไม่เสียสตางค์” ไม่ใช่ทุกคนจะมีข้าวกินฟรีทั้งประเทศ แต่จะเป็นกลุ่มคนที่ทำงานเพาะปลูกในที่นาของรัฐบาลและคนในชนบทที่ได้รับสวัสดิการนี้ รัฐบาลจะทำอาหารในปริมาณมาก คล้ายกับอาหารที่โรงอาหาร เพื่อเลี้ยงคนทำงานและครอบครัวทุกมื้อ ใครทำมากทำน้อยก็ได้รับอาหารเหมือนกัน

สารจากผู้แปล

พูดไปเรื่อยนะเจ๊คนนี้ ระวังเหวินเทามั่งมีกลับมาแล้วจะพูดไม่ออก

นกน้อยออกจากรังสู่โลกกว้างแล้ว ขอให้เก็บเกี่ยวประสบการณ์มาเยอะ ๆ เลยนะเหวินเทา

ไหหม่า(海馬)