ตอนที่ 233 งานเลี้ยงฉลอง

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 233 งานเลี้ยงฉลอง

จ้าวหลานหยู่เดินเข้าจวนโหวมาอย่างดุดัน แต่ท้ายที่สุดเขาก็จากไปอย่างสิ้นหวัง

เขาทำอันใดอันหลิงเกอมิได้ อีกทั้งยังโดนฟู่หวงตำหนิยกใหญ่ มิแน่ว่าหากกลับไปแล้วเขายังต้องหาคำอธิบายไว้ให้ดีจึงจักสามารถรักษาภาพลักษณ์ที่ดีในพระทัยของฮ่องเต้ได้

อันหลิงเกอเดินกลับเรือนฉีอู๋อย่างอารมณ์ดี ส่วนอันหลิงจุนก็เดินตามหลังมาอย่างเงียบ ๆ เขาทำท่าทางสงสัยจึงเอ่ยออกมา “พี่หญิงขอรับ นี่ใช่ข่าวดีที่ท่านกล่าวถึงหรือไม่ ? ”

เขารอมาทั้งวันก็ยังมิเห็นมีเรื่องประหลาดอันใดเกิดขึ้น คิดไปคิดมาแล้วข่าวที่อันหลิงเกอเอ่ยถึงย่อมเป็นเรื่องนี้มิผิดแน่

แต่จ้าวหลานหยู่มาหาเรื่องถึงจวน ทั้งยังร้องว่าจักคิดบัญชีกับอันหลิงเกอ เช่นนั้นนี่เป็นข่าวดีหรือข่าวร้ายกันแน่

อันหลิงเกอเพียงยิ้มน้อย ๆ ให้เขา ดวงตาฉายแววผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง จากนั้นนางกล่าวเสียงต่ำแล้วเล่าเรื่องหลี่ซื่อกับจ้าวหลานหยู่รวมหัวกันหลอกนาง บังคับให้นางไปที่จวนขององค์ชายเจ็ด นางยังเอ่ยขึ้นทีหลังว่า “เมื่อพี่ทำให้องค์ชายเจ็ดหมดสติไปแล้วก็โยนบุรุษคนหนึ่งไปที่ห้องของเขา บุรุษผู้นั้นโดนวางยาปลุกกำหนัดไว้ด้วย”

ส่วนที่เหลือนางมิได้กล่าวต่อ อันหลิงจุนก็ตกตะลึงจนอ้าปากค้างไปแล้ว

พี่หญิง นี่คือการให้องค์ชายเจ็ดโดนบุรุษผู้หนึ่ง…

พี่หญิงร้ายกาจเกินไปแล้ว!

ทว่าคิดแล้วก็สะใจนัก ใครใช้ให้จ้าวหลานหยู่มีความคิดต่ำช้ากับพี่หญิงของตน ทั้งยังอยากใช้มือที่สกปรกเยี่ยงนั้นแตะต้องตัวนาง สมควรแล้วที่โดนบุรุษกระทำย่ำยี !

หลังจากหายตกตะลึง อันหลิงจุนก็ยกนิ้วโป้งให้อันหลิงเกอด้วยใบหน้าชื่นชม แม้ว่าสีหน้าของเขาดูแปลก ๆ เล็กน้อย แต่เขาก็มิสามารถปกปิดรอยยิ้มเอาไว้ได้ “กำจัดคนแบบนั้นก็ควรใช้วิธีเยี่ยงนี้ขอรับ ! ”

จ้าวหลานหยู่อยากทำลายความบริสุทธิ์อันหลิงเกอมิใช่หรือ ? เช่นนั้นอันหลิงเกอก็ให้เขารู้ซึ้งถึงความรู้สึกโดนขืนใจเสียบ้าง

จ้าวหลานหยู่เป็นบุรุษอีกทั้งยังเป็นองค์ชาย เมื่อเขาโดนบุรุษด้วยกันกระทำย่ำยี เรื่องเยี่ยงนี้แม้ตายก็มิอาจกล่าวมันออกมาเด็ดขาด ต่อให้มาทวงแค้นกับอันหลิงเกอก็ช่างเถิด เพราะเขาย่อมอ้างเหตุผลแท้จริงมิออกแน่นอน

นอกเสียจากว่าจ้าวหลานหยู่จักจนตรอก กระทั่งหน้าตาศักดิ์ศรีก็มิต้องการแล้ว เขาอาจนำเรื่องนี้ออกมากล่าว ถึงตอนนั้นการกระทำของเขาจักดูสมเหตุสมผลขึ้นมา แต่สิ่งนี้จักเป็นไปได้หรือ ? แม้จ้าวหลานหยู่เอาเรื่องนี้ออกมาพูดจริง ๆ ก็คงมีแค่มิกี่คนที่เชื่อเขาอยู่ดี

เนื่องจากอันหลิงเกอเป็นเพียงสตรีตัวเล็กในเรือน ส่วนจ้าวหลานหยู่เป็นถึงโอรสของฮ่องเต้ อันหลิงเกอมิสามารถใส่ร้ายจ้าวหลานหยู่ได้อย่างแน่นอน

เมื่อคิดได้เช่นนั้น มุมปากของอันหลิงเกอก็ประดับรอยยิ้ม การเสียเปรียบแต่พูดมิได้นี้จ้าวหลานหยู่จำเป็นต้องแบกรับมันไว้ !

สายตาของนางมองไปที่อันหลิงจุน ใบหน้าเริ่มอ่อนโยนขึ้น “หากมิใช่พวกเขาวางแผนเล่นงานก่อน พี่คงมิลงมือโหดเหี้ยมเยี่ยงนี้”

หลี่ซื่อและอันหลิงอีจักลงมือกับนางก็ช่างเถิด แต่ถ้าพวกนางคิดดึงอันหลิงจุนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย อันหลิงเกอย่อมมิทนอยู่แล้ว นางต้องจัดการให้หนักจนอีกฝ่ายมิกล้าลงมืออีก

อันหลิงจุนพลันรู้สึกผิดขึ้นมา “ข้าควรให้คนมาส่งข่าวแก่พี่หญิงก่อน หากมิใช่เพราะมีองครักษ์เงาที่เก่งกาจอยู่ข้างกายพี่หญิง มิแน่ว่าแผนขององค์ชายเจ็ดอาจสำเร็จก็ได้ ! ”

อันหลิงเกอส่ายหน้า “แม้เจ้าส่งข่าวมา แต่หลี่ซื่อก็จักส่งคนมาขวางไว้ได้อยู่ดี”

นางกวาดตามองโดยรอบทีหนึ่ง เมื่อเห็นว่ารอบด้านไร้ผู้คนแล้วจึงเอ่ยเสียงต่ำ “ตอนท่านแม่ยังอยู่ เจ้ายังเด็กนัก เรื่องมากมายอาจจำมิได้แล้ว แต่พี่รู้สึกว่าการตายของท่านแม่มีความผิดปกติอยู่ บางทีอาจเป็นหลี่ซื่อลงมือ เจ้าก็ควรระวังนางไว้ด้วย”

เรื่องนี้นางได้ส่งคนคอยตรวจสอบอยู่ตลอด แต่นอกจากแม่นมผู้นั้นแล้วนางยังหาเบาะแสอื่นมิพบ เหมือนมีมือคู่หนึ่งพยายามปิดบังเรื่องนี้อยู่

ใบหน้าของอันหลิงจุนเริ่มเย็นชา “ข้าทราบอยู่แล้ว พี่หญิงอย่าเป็นห่วงข้าเลยขอรับ”

“เช่นนั้นก็ดี” อันหลิงเกอพยักหน้า ครั้นนึกถึงเมื่อตอนที่อันหลิงจุนกระแทกกระบี่ของจ้าวหลานหยู่จนตกพื้น ใบหน้าของนางก็ดูภูมิใจขึ้นมา “พี่เห็นว่าวิชาต่อสู้ของเจ้าพัฒนาขึ้นมิน้อยเลย จักดีกว่านี้ถ้าเจ้ามีวิชาป้องกันตัว”

“พรุ่งนี้เป็นวันงานเลี้ยงฉลองแล้ว เจ้ารีบกลับไปเตรียมตัวให้ดีเถิด อย่าให้พวกหลี่ซื่อมีโอกาสทำร้ายเอาได้”

ในราชสำนักยังมีหลี่กุ้ยเฟยคอยจับจ้องอยู่ แม้เป็นงานเลี้ยงฉลองแต่ก็มิอาจวางใจได้เลย

อันหลิงจุนพยักหน้า จากนั้นก็กลับไปยังเรือนของตน

เรื่องที่ฉู่โจวสามารถควบคุมโรคระบาดไว้ได้ถือเป็นเรื่องมงคลมากเรื่องหนึ่ง

ดังนั้นฮ่องเต้จึงรับสั่งให้จัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองโดยเชิญเหล่าขุนนางทั้งหมดเข้าร่วม ทำให้พวกนางรู้สึกชื่นมื่นแจ่มใสยิ่งนัก

อันหลิงเกอนั่งอยู่บนตำแหน่งของตน ดวงตาของนางดูเหมือนมองไปโดยรอบโดยมิได้ตั้งใจ บังเอิญเห็นซินเจียวเจียวที่นั่งอยู่ข้างกายฮูหยินหมิงจูพอดี

ในฐานะบุตรีที่สูญหายและได้กลับมาอีกครั้งของฮูหยินหมิงจู เห็นได้ชัดว่านางได้รับความโปรดปรานเป็นอย่างมาก นางแต่งกายด้วยชุดหรูหราตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แม้กระทั่งตำแหน่งที่นั่งของนางก็ยังเป็นรองเพียงองค์ไทเฮา องค์ฮองเฮาและฮูหยินหมิงจูเท่านั้น ตำแหน่งของนางสูงกว่าที่นั่งขององค์หญิงหลายพระองค์เสียอีก

เมื่อเห็นว่าอันหลิงเกอมองมา ซินเจียวเจียวจึงรีบส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร

หากมิใช่อันหลิงเกอช่วยนางไว้ครั้งนั้น เกรงว่านางต้องตายไปนานแล้ว คงมิถูกฮูหยินหมิงจูตามหาจนเจอและกลายเป็นองค์หญิงที่สูงศักดิ์เช่นตอนนี้

อันหลิงอีที่นั่งอยู่ด้านหลังอันหลิงเกอ ยังมีแต่ความรู้สึกอิจฉาริษยา นางคาดมิถึงว่าหญิงชาวบ้านที่แต่งงานแล้วจักกลายเป็นบุตรีของฮูหยินหมิงจู หากรู้แต่แรกนางต้องให้คนช่วยซินเจียวเจียวเอาไว้เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อฮูหยินหมิงจู

แต่ยามนี้จักเสียใจก็ไร้ประโยชน์

ฮ่องเต้ประทับอยู่ตำแหน่งสูงสุดและกำลังแย้มพระโอษฐ์อย่างยินดี พระพักตร์บ่งบอกให้เห็นว่ามีความสุข

“โรคระบาดครั้งนี้ถูกควบคุมได้อย่างรวดเร็ว ต้องมอบความดีให้แก่ท่านโหวอันและคุณหนูใหญ่อัน อีกทั้งยังมีจวินฮานด้วย”

หลายร้อยปีที่ผ่านมานี้โรคระบาดเป็นสิ่งที่ผู้คนได้ยินแล้วต้องหน้าถอดสีไปตาม ๆ กัน ทว่าต้าโจวมีผู้สามารถควบคุมโรคระบาดไว้ได้ นี่คือเรื่องควรค่าแก่การโอ้อวดยิ่งนัก

เหล่าขุนนางชอบประจบสอพลอมากที่สุด แต่ละคนล้วนสรรหาคำที่น่าฟังออกมา “นี่ถือเป็นการช่วยเหลือทั้งต้าโจวเอาไว้พ่ะย่ะค่ะ”

“ฝ่าบาททรงพระปรีชาเลือกใช้คนฉลาด เป็นเรื่องน่ายินดีของต้าโจวพ่ะย่ะค่ะ” ส่วนเรื่องที่อันอิงเฉิงและอันหลิงเกอถูกฮ่องเต้สั่งขังคุกหลวง ทุกคนย่อมเลือกจักลืมมันไป

ฮ่องเต้เป็นถึงโอรสสวรรค์ พระองค์จักทำความผิดได้เยี่ยงไร ?

หลี่กุ้ยเฟยนั่งอยู่ทางด้านซ้ายของฮ่องเต้ ใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มอย่างละเอียดอ่อนเผยรอยยิ้มอบอุ่นออกมา เพียงแต่นัยน์ตากลับแฝงความมิชอบใจอยู่ “หม่อมฉันได้ยินว่าเรื่องโรคระบาดครั้งนี้เป็นท่านโหวกราบทูลให้ฝ่าบาททรงทราบก่อน ครั้งนั้นยังมิเกิดโรค มิทราบว่าท่านโหวทราบข่าวมาจากที่ใด หรือท่านมีความสามารถทำนายอนาคตได้ ? ”

ใบหน้าของนางแสดงถึงความอยากรู้อยากเห็น แต่ถ้อยคำแฝงความตำหนิเอาไว้

ตอนนั้นที่โรคระบาดยังมิปรากฏ อันอิงเฉิงกลับทราบข่าวแล้ว ต่อจากนั้นก็ยังเป็นเขา อันหลิงเกอและมู่จวินฮานที่ไปควบคุมโรค จึงพูดยากว่าการเกิดโรคในครั้งนี้มิเกี่ยวข้องกับพวกเขาเลย

บรรยากาศที่สนุกสนานถูกความนิ่งเงียบแทนที่ในทันที ผู้ใดก็คาดมิถึงว่าหลี่กุ้ยเฟยจักเอ่ยถามเยี่ยงนี้ออกมา นี่เป็นการขัดขวางความสุขของฮ่องเต้อย่างเห็นได้ชัดมิใช่หรือ ?