บทที่ 209.2 กระบี่ไม้เหมือนกัน

กระบี่จงมา! Sword of Coming

บทที่ 209.2 กระบี่ไม้เหมือนกัน โดย ProjectZyphon

เฉินผิงอันนั่งอยู่ข้างโต๊ะ หยิบผลไม้สดใหม่สีเขียวปลั่งที่ราวกับจะเค้นน้ำออกมาได้ขึ้นมาจากถาดกระเบื้องสีดำ ผลไม้นี้ลักษณะคล้ายคลึงกับส้มเขียวหวานที่ยังไม่สุก แต่พอปอกเปลือกแล้วลองกินกลับมีรสหวานฉ่ำ จากนั้นเขาก็ยื่นส่งให้กับพวกนางคนละลูก ชุนสุ่ยคิดจะปฏิเสธ ไม่ยอมรับเอาไป เมื่อนางทำเช่นนี้ ชิวสือจึงได้แต่ปฏิเสธตามอย่างไม่ใคร่จะเต็มใจนัก แต่เฉินผิงอันกลับบังคับวางไว้บนโต๊ะตรงหน้าพวกนาง พวกนางจึงไม่ยืนกรานอีก ถึงอย่างไรพอกินส้มฉางชุนที่มีเฉพาะในอุตรกุรุทวีปผลนี้ลงท้องไปแล้วก็เทียบได้กับปราณวิญญาณที่พวกนางตั้งใจฝึกตนอย่างยากลำบากสิบวันเลยทีเดียว

ที่บอกว่าการฝึกตนไม่มีทางลัดนั้น คือการพูดให้พวกผู้ฝึกลมปราณที่มีพรสวรรค์ฟัง เพื่อตักเตือนไม่ให้พวกเขาโอหังและอวดดีมากเกินไป ต้องการให้พวกเขาก้าวเดินไปบนพื้นอย่างมั่นคง ขยับเข้าใกล้สวรรค์ไปทีละก้าว

แต่ก็เห็นได้ชัดว่าการฝึกตนมีทางลัดให้เดินอยู่เสมอ นี่เป็นความรู้ความเข้าใจที่มีร่วมกันของผู้ฝึกตนอิสระและลูกหลานนอกตระกูลเซียนที่มีพรสวรรค์ธรรมดา ขอแค่มีเงิน แค่กินข้าวก็ถือเป็นการฝึกตน มีตระกูลมีพรสวรรค์ อยู่อาศัยในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่ปราณวิญญาณเปี่ยมล้นซึ่ง ‘มาเยือนเองโดยไม่ได้รับเชิญ’ แม้แต่นอนหลับก็ยังเป็นการฝึกตนได้

ยกตัวอย่างเช่นชุนสุ่ยและชิวสือ หากพวกนางไม่เอาเงินเดือนซึ่งทำงานอย่างยากลำบากในแต่ละเดือนมาแลกเป็นผลไม้วิเศษลักษณะคล้ายส้มเขียวหวานลูกนี้หรือไม่ก็ยาระดับต่ำ จากนั้นกินเข้าไปด้วยความเสียดายในทุกๆ คำ ก็ต้องมองกาลไกลมากกว่าเดิมอีกหน่อย นอกจากจะต้องตั้งใจฝึกรวบรวมลมปราณอย่างมานะอดทนแล้ว ยังต้องครุ่นคิดหาวิธีการเอาทรัพย์สินในตระกูลมากัดฟันขาย ตัดสินใจซื้ออาวุธเหมาะมือให้ตัวเองหนึ่งชิ้น อีกทั้งยังไม่ใช่สมบัติอาคมที่ช่วยในการเข่นฆ่าสังหารด้วย หนึ่งเพราะไม่มีทางซื้อได้ไหว สองเพราะไม่มีความหมายใดๆ ต้องเป็นอาวุธวิเศษที่สามารถชำระล้างลมปราณขุ่นมัวไปทีละนิด ผู้ฝึกลมปราณที่มีพรสวรรค์บินทะยานขึ้นสู่ยอดเขาได้ในรวดเดียว ห่างแค่สามวันห้าวันก็ฝ่าทะลุขอบเขต ทำให้คนอิจฉาอย่างยิ่ง แต่พวกนางกลับต้องค่อยๆ ปีนขึ้นไปทีละก้าว ถือเป็นบุคคลที่ได้แต่อิจฉาผู้อื่น ถอนหายใจแค่ไม่กี่ครั้งก็ต้องก้มหน้าก้มตาฝึกตนอย่างยากลำบากต่อไป

แต่เมื่อได้เห็นทัศนียภาพที่ยิ่งใหญ่ด้านบนอย่างแท้จริงแล้ว ใครเล่าจะเต็มใจลงไปเป็นเศรษฐีหรือประมุขหญิงที่จัดการดูแลบ้านเรือนได้อย่างมีระเบียบด้านล่างภูเขาอีก?

แน่นอนว่าผู้ฝึกลมปราณบางส่วนที่หมดอาลัยตายอยากอย่างแท้จริงก็อาจจะลงไปอยู่ข้างล่างภูเขาจริงๆ และบางคนก็ใช้ชีวิตได้ค่อนข้างมีรสมีชาติ เจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน นี่ก็เหมือนกับการนำพวกจวี่เหรินหรือจิ้นซื่อที่สอบเป็นขุนนางในราชสำนักโลกมนุษย์มาเปรียบเทียบกับผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาที่สูงไปก็เอื้อมไม่ถึง ต่ำไปก็รับไม่ได้ ซึ่งฝ่ายแรกมีแต่จะมีผ่อนคลายไร้แรงกดดัน มีชีวิตที่สบายมากกว่า ยกตัวอย่างเช่นหากลงมาจากภูเขา ถูกราชสำนักเรียกตัวเข้าทำหน้าที่ หาสถานที่ที่มีภูเขาเขียวแม่น้ำใสสักแห่ง ยึดครองภูเขาตั้งตนเป็นราชา หรือไม่ก็ช่วยพิทักษ์ปกป้องตระกูลให้กับคนในเมืองใหญ่ ทำหน้าที่เป็นเค่อชิงก็ไม่เลวเลยทีเดียว

ทว่าผู้ฝึกลมปราณที่มองดูเหมือนมีอำนาจบารมี จะอย่างไรแล้วก็ยังเป็นพวกที่ผิดหวังในชีวิต เมื่อเทียบกับบัณฑิตที่สอบเคอจวี่ไม่ติดจึงไปซ่อนตัวอยู่ในป่าเขาแล้วก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่

ชุนสุ่ยเคี้ยวส้มฉางชุนเบาๆ ด้วยอาการเหม่อลอยเล็กน้อย ลักษณะท่าทางของนางไม่เป็นรองคุณหนูตระกูลใหญ่ผู้ได้รับการอบรมปลูกฝังมาอย่างดี ไม่เหมือนชิวสือน้องสาวของนางที่อารมณ์ดีอยู่เป็นนิจ รู้สึกเพียงว่าหากไม่กินก็เสียของเปล่า มีผลประโยชน์มาวางตรงหน้าไม่คว้าไว้ก็คือคนโง่

เฉินผิงอันกินหมดก่อนเป็นคนแรก เขาค้นพบว่าชิวสือจ้องมองเปลือกส้มบนโต๊ะเขม็งจึงถามว่า “เปลือกส้มก็มีประโยชน์ด้วยหรือ?”

ชิวสือตอบอย่างตรงไปตรงมา “คุณชายเฉิน เวลาทำอาหาร ใส่เปลือกส้มเข้าไปสองสามชิ้น ช่วยเพิ่มรสชาติให้อร่อยนักล่ะ!”

ดวงตาเฉินผิงอันเป็นประกาย คิดในใจว่าแบบนี้ข้าชอบ ฝีมือทำอาหารของข้าไม่เลวจริงๆ ตอนนั้นที่เดินทางไปต้าสุยก็แค่เพราะไม่มีวัตถุดิบที่มากพอ หาไม่แล้วมีหรือที่พวกหลี่เป่าผิงจะเอาแต่คิดคำนึงถึงมื้ออาหารที่บ้านของซื่อหลางเฒ่า ถึงขนาดที่ว่าแม้เขาจะทำน้ำแกงปลาให้กินก็ยังไร้ชีวิตชีวา

เฉินผิงอันยิ้มแล้วหยิบส้มอีกสองลูกส่งให้กับชุนสุ่ยกับชิวสืออีกครั้ง “พวกเจ้ากินส้มแล้วอย่าลืมเก็บเปลือกไว้ให้ข้าด้วย”

ชุนสุ่ยกับชิวสือหันมามองหน้ากัน ไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ หรือว่าเด็กหนุ่มที่ได้ครอบครองป้ายหยกตัวอักษรเทียนของเรือคุนลำนี้ไม่มีการงานจริงจังให้ทำจนถึงขั้นชอบเข้าครัวด้วยตัวเอง? ไม่คิดจะสนใจคำสอนของเหล่าอริยะแห่งลัทธิขงจื๊อที่บอกว่าสุภาพชนต้องอยู่ห่างจากห้องครัวบ้างเลยหรือ? เฉินผิงอันไม่สนใจสายตาของคนอื่น เขาเก็บเปลือกส้มสามลูกเข้าไว้ในชายแขนเสื้อ ไม่กล้าเก็บไว้ในวัตถุฟางชุ่นอย่างสืออู่ จากนั้นก็เร่งให้สองพี่น้องรีบกิน

ในเมื่อแขกสูงศักดิ์ ‘ไม่พิถีพิถัน’ ถึงขนาดนี้แล้ว ขนาดชุนสุ่ยยังกินส้มฉางชุนได้อย่างสบายใจ นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ชิวสือน้องสาวที่ไม่เคยยี่หระสิ่งใดเลย

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ

ชุนสุ่ยพลันรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ

ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง

ที่แท้ก็เป็นเด็กหนุ่มที่อ่อนโยนต่อใจคนดุจสายลมฤดูใบไม้ผลินี่เอง

……

สุดท้ายเฉินผิงอันก็ไปนอนโดยที่ชายแขนเสื้อเต็มไปด้วยเปลือกส้ม ส่วนสาวใช้สองคนพักผ่อนอยู่ที่ห้องด้านข้าง ขอแค่เฉินผิงอันสั่นกระดิ่งเงินตรงหัวเตียง พวกนางก็จะมาหาทันที อีกทั้งกระดิ่งพวงนั้นยังไม่ใช่วัตถุธรรมดา หากมีสิ่งสกปรกชั่วร้ายเล็ดรอดเข้ามาในห้อง กระดิ่งก็จะดังขึ้นเอง

เฉินผิงอันเพิ่งจะปลดฝักกระบี่ที่ข้างในมีกระบี่กำจัดปีศาจปราบมารวางลงบนเตียงติดกับผนังด้านใน เอนตัวลงนอนบนเตียงที่สบายจนเขาไม่คุ้นเคย แต่มือข้างหนึ่งกลับยังวางไว้บนฝักกระบี่ จากนั้นก็เริ่มทอดลมหายใจให้เชื่องช้า ใช้วิธีการหายใจที่หยางเหล่าโถวถ่ายทอดให้ตามจิตใต้สำนึก

อันที่จริงกระบี่บินสองเล่มในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่อย่างชูอีและสืออู่ต่างก็มีสติปัญญาแล้ว ต่อให้เฉินผิงอันจะหลับลึกแค่ไหน แต่หากพบเจออันตราย พวกมันที่ไม่จำเป็นต้องนอนหลับก็สามารถต่อต้านศัตรูได้ด้วยตัวเอง แต่เฉินผิงอันก็ยังไม่กล้าหลับลึกเกินไปนัก เขาจึงหลับแบบผิวเผินไปจนถึงฟ้าสาง เมื่อชุนสุ่ยขยับตัวลุกขึ้นสวมเสื้อผ้าบนเตียงและเปิดประตูห้องของนางออกมาเบาๆ เฉินผิงอันก็ลืมตาทันที

ที่รู้ได้ว่าเป็นชุนสุ่ย เพราะเฉินผิงอันค้นพบมาตั้งแต่แรกแล้วว่าฝีเท้าของชุนสุ่ยกับชิวสือมีความแตกต่างกันเล็กน้อย

ออกมานอกบ้าน จะอย่างไรก็ควรระวังตัวไว้เป็นการดี

สาวใช้ชุนสุ่ยไม่ได้เคาะประตูปลุกเฉินผิงอัน แต่ทำความสะอาดห้องอยู่ข้างนอกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

จนกระทั่งชิวสือตื่น เสียงฝีเท้าดังขึ้น เฉินผิงอันถึงได้หยุดฝึกยืนนิ่งเจี้ยนหลู สวมรองเท้าสาน เพิ่งจะเดินออกจากเตียงไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถอยกลับมาที่ริมขอบเตียงเงียบๆ อีกครั้ง ก่อนจะเพิ่มน้ำหนักฝีเท้าเดินไปทางประตูห้อง พอเปิดประตูแล้วก็เห็นว่าชุนสุ่ยที่วันนี้เปลี่ยนชุดใหม่เบี่ยงตัวมายอบกายคารวะ และอาภรณ์ชุดนี้ก็ยิ่งแนบสนิทไปกับเรือนกายที่อวบอิ่มของนาง ทำเอาเฉินผิงอันที่มองอยู่อึ้งตะลึง หน้าแดงก่ำในทันที ยังดีที่ผิวของเขาดำเกรียมจึงเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก ไม่ใช่ว่าเขามีความคิดอกุศลอะไร เพียงแค่รู้สึกว่าชุดนี้ของแม่นางชุนสุ่ยสวยงามน่ามองก็จริง เหมือนว่าจะทำมาจากผ้าแพรทอกระมัง แต่ออกจะรัดรูปเกินไปหน่อย…

เฉินผิงอันแอบตัดสินใจกับตัวเองแล้วว่า วันหน้าหากข้ามีภรรยา เวลาออกนอกบ้านจะให้สวมเสื้อผ้าแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด เสียเปรียบเกินไปแล้ว

ชุนสุ่ยให้ชิวสือไปยกกล่องอาหารที่ห้องครัวมา ได้เวลาอาหารเช้าแล้ว นางสอบถามเฉินผิงอันว่าวันนี้จะออกไปที่ไหนหรือไม่ และนางก็ถือโอกาสแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวบางแห่งบนเรือให้เขาฟัง นางพูดถึงสถานเริงรมย์ที่เรือข้ามทวีปทุกลำต้องมีเหมือนตั้งใจแต่ก็คล้ายไม่เจตนา นอกจากนี้ยังมีร้านค้าอีกสารพัดรูปแบบ มีหอสุรา มีบ่อนการพนัน มีร้านขายอาวุธ มีจุดพักม้าที่มีกระบี่บินให้ส่งจดหมาย มากมายหลายหลาก แม้จะไม่ยิ่งใหญ่อลังการ แต่นกกระจอกก็มีอวัยวะครบถ้วน เฉินผิงอันที่ฟังอยู่ถึงกับเดาะลิ้น บนสันหลังปลาคุนตัวนี้ไม่ได้แย่ไปกว่าเมืองเล็กบ้านเกิดของเขาเลย

คนทั้งสามกินอาหารเช้าที่อุดมสมบูรณ์พร้อมกัน เฉินผิงอันไม่คิดจะออกไปเดินเล่น รู้สึกว่านอกจากฝึกวิชาหมัดแล้วยังสามารถอ่านหนังสือในห้องหนังสือได้

สำหรับเรื่องนี้แน่นอนว่าชุนสุ่ยและชิวสือไม่มีความเห็นต่าง แต่ชิวสือก็ยังรู้สึกเสียดายเล็กน้อย อันที่จริงหากแขกในเรือนพักซื้อของบนเรือคุน พวกนางจะได้เงินเป็นรางวัล ในประวัติศาสตร์การทำการค้าของภูเขาต่าเจี้ยวเคยมีวีรกรรมน่าตะลึงครั้งหนึ่งที่ทำให้คนอ้าปากค้าง มีสาวใช้คนหนึ่งเคยร่ำรวยเพียงชั่วข้ามคืนเพราะเหตุนี้ ตอนนั้นแขกที่นางให้การดูแลเป็นแค่แขกที่มาพักห้องระดับล่างเท่านั้น แต่นางก็ยังคงให้การดูแลอย่างรอบคอบละเอียดถี่ถ้วน ไม่เพิกเฉยละเลยแม้แต่น้อย สุดท้ายคาดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มหน้าตาไม่สะดุดตาคนนั้นจะเป็นถึงต้นกล้าที่โดดเด่นของตระกูลเซียนลำดับต้น หนึ่งวันก่อนจะลงจากเรือ เขาพาสาวใช้เดินถามไปตามร้านต่างๆ โดยที่ไม่เข้าไปในร้าน แต่กลับซื้อของทุกชิ้นในทุกร้านลำดับต้นๆ ของเรือคุนมารวดเดียวโดยไม่กะพริบตา ลำพังแค่กำไรไม่รวมต้นทุนของสินค้าก็เป็นจำนวนมหาศาลแล้ว

นี่น่าจะเป็นดั่งคำที่ว่าชีวิตคนนั้นไม่เที่ยง ทุกที่ล้วนมีภูเขาเขียวให้ฝังศพ

เฉินผิงอันใช้ชีวิตที่น่าเบื่อหน่ายเช่นนี้ ชุนสุ่ยยังคงวางตัวได้เหมือนเดิม แต่ชิวสือกลับรู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย คุณชายคนนี้น่าเบื่อจริงๆ ทุกวันหากไม่ฝึกท่าหมัดประหลาดบนหอชมทัศนียภาพ เดินไปเดินมา ล่องลอยเชื่องช้า ไม่มีพลังเลยแม้แต่นิดเดียว ทำเอานางที่มองดูอยู่ง่วงไปด้วย หรือไม่ก็ต้องยืนหันหน้าไปทางทะเลเมฆ มองพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตกดินอยู่นิ่งๆ สามารถยืนอยู่อย่างนั้นโดยไม่ขยับเป็นชั่วยาม

อย่างมากสุดก็แค่ไปอ่านหนังสือ คัดตัวอักษรอยู่ในห้องหนังสือ ตอนแรกชิวสือยังช่วยฝนหมึก เพียงแต่ว่ามองตัวอักษรที่เป็นระบบระเบียบของเฉินผิงอันก็กระตุ้นความสนใจของนางไม่ไหวจริงๆ กลับเป็นชุนสุ่ยพี่สาวที่ยืนอยู่ข้างกายเด็กหนุ่มตลอดเวลา บางครั้งที่ยืนจนปวดขาก็จะไปนั่งห่างจากโต๊ะหนังสือไม่ไกล ชิวสือยังเอาเรื่องนี้มาล้อกับพี่สาวเป็นการส่วนตัวว่า นี่เรียกว่าสาวงามเคียงข้างยามอ่านตำรา หากเป็นในนิยายของนักกวีที่มีชื่อเสียง ไปๆ มาๆ สองฝ่ายก็น่าจะตกหลุมรักกันแล้วพากันไปพลิกผ้าห่มแล้ว ทำเอาชุนสุ่ยพี่สาวของนางโมโหจนกลายเป็นขำ บิดเนื้อนางแรงๆ หนึ่งที

ทุกวันเวลาที่เฉินผิงอันกินข้าวจะต้องถามว่าวันนี้เรือคุนอยู่เหนือน่านฟ้าของพื้นที่ราชวงศ์ใดแล้ว อีกทั้งยังขอให้ชุนสุ่ยกับชิวสือช่วยแนะนำประเพณีของราชวงศ์ต่างๆ หลังได้ฟังพวกนางอธิบายอย่างละเอียดถึงได้รู้ว่าที่แท้แจกันสมบัติทวีปก็เป็นทวีปที่เล็กที่สุดของเก้าทวีปในใต้หล้าไพศาล แต่กระนั้นก็ยังทำให้เฉินผิงอันรู้สึกว่ามีแคว้นและรัฐเล็กๆ อยู่อีกมากมาย ลำพังเพียงแค่แซ่สกุลของฮ่องเต้ก็เหมาเอาแซ่สกุลในตำราร้อยแซ่ไปหมดแล้ว

ส่วนแคว้นหนันเจี้ยนนั้นตั้งอยู่ใจกลางของแจกันสมบัติทวีป ห่างจากสำนักศึกษากวานหูซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อไม่ไกลเท่าไหร่

พูดถึงสถานศึกษาและสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อ เฉินผิงอันก็ถามอย่างใคร่รู้ว่าทำไมเมื่อรวมสำนักศึกษาซานหยาเข้าไปแล้ว แจกันสมบัติทวีปถึงมีสำนักศึกษาอยู่แค่สองแห่งเท่านั้น

ชิวสือเอามือหนึ่งกุมท้องหัวเราะก๊ากอย่างขำขัน อีกมือหนึ่งชี้ไปยังเด็กหนุ่มที่มีท่าทางมึนงง แล้วเปิดเผยความลับด้วยประโยคเดียว “ก็เพราะแจกันสมบัติทวีปของพวกเจ้าเล็กเกินไปไงล่ะ อุตรกุรุทวีปของพวกเรามีมากถึงหกแห่ง นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแผ่นดินกลางที่กว้างใหญ่ไพศาลเลย”

ชุนสุ่ยถลึงตาใส่น้องสาวของตัวเองเงียบๆ ชิวสือยังกลั้นหัวเราะไม่อยู่ “ก็คำถามนี้ของคุณชายเฉินน่าขำจริงๆ นี่นา”

เฉินผิงอันที่นั่งอยู่หลังโต๊ะยกมือเกาหัว

ที่แท้ใต้หล้าไพศาลก็ใหญ่ถึงเพียงนี้

วันนี้หลังจากเฉินผิงอันเดินนิ่งบนหอชมทัศนียภาพเสร็จ เขาก็ทอดสายตามองไปยังกลุ่มเมฆที่คลี่ตัวทอดขยายไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แล้วจู่ๆ ก็มองเห็นนักพรตหนุ่มที่ด้านหลังสะพายกระบี่ไม้คนนั้นอีกครั้ง

ชุนสุ่ยมายืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน มองตามสายตาของเขาไปแล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “ดูจากชุดคลุมเต๋าที่เขาสวมน่าจะเป็นนักพรตตระกูลจางจากภูเขามังกรพยัคฆ์ที่ปฐมสำนักตั้งอยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง แต่นักพรตที่อยู่ตรงรั้วคนนั้นต้องเป็นลูกศิษย์ฝ่ายนอกของสำนักแน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่แต่งกายเช่นนี้”

เดิมทีชุนสุ่ยอยากพูดว่า ‘ไม่อย่างนั้นคงไม่ยากจนข้นแค้นเช่นนี้’ เพียงแต่ว่าพอคำพูดมาจ่อรอตรงปากเข้าจริงๆ นางกลับไม่ได้พูดมันออกมา

ตลอดเวลาสิบวันที่ได้อยู่ร่วมกันมา ชุนสุ่ยแน่ใจว่าคุณชายเฉินแขกสูงศักดิ์ของห้องตัวอักษรเทียนผู้นี้ แท้จริงแล้วก็มีชีวิตยากลำบากเหมือนกัน เด็กหนุ่มมีชาติกำเนิดยากจนอย่างจริงแท้แน่นอน ไม่ใช่ลูกหลานตระกูลคนรวยที่ ‘ปลอมตัวออกจากบ้านมาเดินทางท่องเที่ยว’ เพราะรัศมีความร่ำรวยนี้จำเป็นต้องได้รับการกล่อมเกลามาตั้งแต่เล็กแต่น้อย แล้วนับประสาอะไรกับที่เด็กหนุ่มไม่เคยเสแสร้งว่าตัวเองเป็นคนรวย สำหรับเรื่องนี้ถึงแม้สาวใช้ที่ความคิดเป็นผู้ใหญ่เกินวัยจะไม่แสดงออกมา แต่ส่วนลึกในใจกลับรู้สึกผิดหวังอย่างที่นางก็ไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้

นางพูดยิ้มๆ ต่อไปว่า “มีสุภาษิตประโยคหนึ่งที่ผู้คนนิยมกล่าวขานกัน เป็นประโยคที่ใช้กันทั่วใต้หล้าไพศาล ไม่ว่าจะบนภูเขาหรือล่างภูเขาก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น นั่นคือ ‘ที่ใดที่มีภูตผีปีศาจก่อความวุ่นวาย ต้องมีเทพาจารย์จางไม้ท้อ’”

เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที

ประหนึ่งผีดลใจ นักพรตยากจนที่ด้านหลังสะพายกระบี่ไม้ท้อคนนั้นถึงหันหน้ากลับมา

มองไปยังทัศนียภาพบนจุดสูง นักพรตหนุ่มที่ตบะเบาบางพอจะมองเห็นเด็กหนุ่มกระบี่ไม้ รวมไปถึงสาวใช้หน้าตางดงามข้างกายเขาได้อย่างเลือนราง เขารู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย

ทั้งยากจน ทั้งหิวโหย

—–