บทที่ 289 พลังที่แตกต่าง

ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸]

บทที่ 289 พลังที่แตกต่าง
บทที่ 289 พลังที่แตกต่าง

อู่เส้าฮัวทึ้งผมตัวเองราวกับเสียสติ เขาจ้องมองไปที่อวี้ฮ่าวหรานด้วยความไม่อยากจะเชื่อสายตา

วันนี้เขาเพิ่งตระหนักได้ว่า คนที่เขาต้องการจัดการมาตลอดนั้นน่ากลัวขนาดไหน!

ในเวลาเดียวกัน อวี้ฮ่าวหรานค่อย ๆ เดินหน้าเข้ามาเรื่อย ๆ พลางจ้องมองอู๋เส้าฮัวที่หลบอยู่ด้านหลังของกลุ่มคนนับสิบ ความต้องการฆ่าของชายหนุ่มตอนนี้จึงสูงเสียดฟ้า!

“อันที่จริงวิธีการของแกมันก็ไม่เลวเลย แต่น่าเสียดายที่แกเลือกเป้าหมายผิดไปหน่อย ฉะนั้นวันนี้คือวันสุดท้ายของแกบนโลกนี้!”

หลังจากพูดจบ ร่างของอวี้ฮ่าวหรานก็หายวับไปราวกับเล่นมายากล และวินาทีถัดมา อู๋เส้าฮัวก็พบว่าอวี้ฮ่าวหรานที่หายตัวไปเมื่อเสี้ยววินาทีเมื่อกี้ได้มายืนตรงหน้าเขาแล้ว!

“ม…ม…ไม่นะ!!!”

อู๋เส้าฮัวหวาดกลัวสุดขีดเมื่อเห็นว่าจู่ ๆ อวี้ฮ่าวหรานมาโผล่ตรงหน้า แต่ก่อนที่ตัวเองจะทันได้หันหลังหนี คอของเขาก็ถูกชายที่น่ากลัวคนนี้กุมเอาไว้แน่นเรียบร้อยแล้ว!

ในขณะเดียวกัน พวกนักฆ่าก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าเป้าหมายของพวกเขาได้โผล่มาที่กลางวงเรียบร้อยแล้ว มันจึงทำให้พวกเขายิ่งหวาดกลัวมากกว่าเดิม และแน่นอนว่าทั้งหมดไม่มีใจคิดที่จะสู้อีกต่อไป พวกเขาต่างรีบหันหลังและพากันวิ่งหนี…

แต่น่าเสียดายที่อวี้ฮ่าวหรานรับรู้การเคลื่อนไหวของคนทั้งหมดในโกดังไว้ทั้งหมดแล้ว

วันนี้อวี้ฮ่าวหรานตั้งใจอยู่แล้วว่าจะไม่ปล่อยให้ใครหน้าไหนรอดไปได้ทั้งนั้น ดังนั้นจึงไม่มีทางปล่อยให้ใครหนีไปได้แน่นอน!

เมื่อคิดได้เช่นนี้ อวี้ฮ่าวหรานก็โคจรพลังอย่างรวดเร็วจนถึงขีดสุดและระเบิดคลื่นพลังออกไปทุกทิศทางครอบคลุมพื้นที่ในโกดังทั้งหมดในช่วงเวลาแค่เพียงพริบตา!

อวี้ฮ่าวหรานสามารถบังคับความรุนแรงของคลื่นพลังนี้ได้ดั่งใจนึก เขาบังคับให้มันไม่สร้างความเสียหายให้กับโครงสร้างของโกดัง เพราะว่าหลี่หรงก็อยู่ที่นี่ด้วย และไม่ให้มันเป็นอันตรายต่อหลี่หรง รวมไปถึงอู๋เส้าฮัวที่เขาต้องการเก็บมันไว้ฆ่าท้ายสุด แต่สำหรับพวกนักฆ่าแล้วมันคือโทษประหาร!

บรรดานักฆ่าและบอดี้การ์ดของอู๋เส้าฮัวที่โดนคลื่นพลังนี้เข้าไปต่างกระเด็นกระดอนปลิวไปคนละทางราวกับโดนรถสิบล้อชน อย่างไรก็ตามคลื่นพลังนี้ อวี้ฮ่าวหรานควบคุมอำนาจของมันให้ทำลายแต่อวัยวะภายในทุกส่วนของพวกนักฆ่าเพียงอย่างเดียว เพื่อที่ศพของคนพวกนี้มันจะได้ไม่เละจนทำให้หลี่หรงจำติดตา

แค่เพียงชั่วพริบตา ความเงียบสงบก็กลับมาอีกครั้ง

“ด…ได้โปรด ปล่อยฉันไปเถอะ…”

แน่นอนว่า อู๋เส้าฮัวได้เห็นภาพที่พวกนักฆ่าทั้งหมดตายพร้อม ๆ กัน มันจึงยิ่งทำให้เขาหวาดกลัวอวี้ฮ่าวหรานมากกว่าเดิมอีกสิบเท่า เขาพยายามขอร้องอ้อนวอนทันที

“ไม่ต้องห่วง หลังจากแกตายไปแล้ว หากฉันว่างเมื่อไหร่ฉันจะส่งพวกคนตระกูลอู๋ตายตามแกไปด้วยแน่นอน”

หลังจากพูดจบ อวี้ฮ่าวหรานก็หักคออีกฝ่ายและเขวี้ยงร่างทิ้งทันทีด้วยสีหน้าเยาะเย้ย

ในวินาทีก่อนที่จะตาย มีความคิดมากมายผุดขึ้นมาในหัวของอู๋เส้าฮัว จนเขาตายตาไม่หลับ

ความที่เด่นชัดที่สุดคือเขารู้สึกเสียใจกับความโง่ของตัวเองมาก

เขาไปยุ่งกับปีศาจตัวนี้ทำไม?

หากรู้แบบนี้แต่แรกก็คงไม่ทำอะไรโง่ ๆ แบบนี้ เขาจะไม่มีวันกล้าเหยียบเงาของอวี้ฮ่าวหรานด้วยซ้ำ!

แต่น่าเสียดาย กว่าที่เขาจะคิดได้มันก็สายไปซะแล้ว

หลังจากจัดการกับศัตรูหมดเรียบร้อย อวี้ฮ่าวหรานจึงรีบเดินไปหาหลี่หรงซึ่งกำลังตกตะลึงอยู่ และแก้มัดเชือกในทันที

ด้วยความตกตะลึง ถึงแม้ว่าจะถูกแก้เชือกให้แล้ว หลี่หรงก็ยังคงมองหน้าอวี้ฮ่าวหรานแบบไม่วางตา

มีความคิดมากมายผุดขึ้นมาในหัวของเธอ

นี่พี่เขยของเธอยังเป็นมนุษย์อยู่จริง ๆ ใช่ไหม? แต่มนุษย์ไม่ควรทำอะไรได้ขนาดนี้ไม่ใช่เหรอ?

“เอาล่ะ ตอนนี้เธอปลอดภัยแล้ว”

เมื่อเห็นว่า หลี่หรงยังคงไม่ขยับเขยื้อนร่างกาย อวี้ฮ่าวหรานจึงเอ่ยขึ้นปลอบพร้อมกับลูบหัวอีกฝ่ายเบา ๆ

เมื่อได้รับความอบอุ่นจากฝ่ามือของอวี้ฮ่าวหราน หลี่หรงก็เริ่มได้สติจากอาการตกตะลึง แต่หลังจากนั้นความตื่นตระหนกและอาการเสียขวัญก็เริ่มโจมตีจิตใจ จนเธอพุ่งเข้าไปกอดชายหนุ่มตรงหน้า

“พี่…พี่เขย! ฉ…ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าบริษัทของฉันถูกแทรกซึมถึงขนาดนี้! ฉันไม่รู้ตัวเลย!”

นี่คือความเสียใจอย่างถึงที่สุดของเธอจนโพล่งออกมาอย่างควบคุมไม่ได้

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร พี่จัดการให้หมดเรียบร้อยแล้ว”

หลังจากปลอบกันอยู่อีกพักใหญ่ ทั้งคู่ก็พากันเดินออกจากโกดัง แต่เมื่อ หลี่หรงเจอกับแสงแดดที่ด้านนอกอีกครั้ง เธอก็รู้สึกราวกับว่าเธอได้เกิดใหม่

เมื่อครู่ในระหว่างที่เธอเผชิญกับอู๋เส้าฮัว เธอทำใจเอาไว้แล้วว่าวันนี้เธอตายแน่นอน ไม่ว่าจะตายด้วยน้ำมือของอู่เส้าฮัวหรือด้วยน้ำมือตัวของเธอเอง

ความรู้สึกเหมือนเกิดใหม่นี้มันทำให้อารมณ์ของเธอขาดผึ่งทันที เธอร้องไห้โฮออกมาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้

หลังจากผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง อวี้ฮ่าวหรานก็พาหลี่หรงกลับมาถึงคอนโด

ขณะนี้เป็นเวลาราว 11 โมง ซึ่งข้างห้องทำอาหารพอดี ดังนั้นกลิ่นอาหารที่หอมหวนจึงลอยเข้ามาในห้องของพวกเขาเช่นกัน

“จ๊อกก…”

หลังจากปรับอารมณ์ได้พอสมควรแล้ว ท้องของหลี่หรงก็เริ่มร้องเพราะความหิว

“ฉ…ฉันขอไปทำอาหารก่อนนะ”

ด้วยความอายเธอจึงรีบลุกขึ้น ตั้งใจว่าจะเข้าไปในครัวเพื่อทำอะไรกิน

แต่ก่อนที่เธอจะทันได้ก้าวเดินไปนั้น อวี้ฮ่าวหรานมาหยุดเอาไว้และผลักเบา ๆ ให้น้องภรรยาของเขากลับไปนั่งลงเหมือนเดิมก่อนจะพูดว่า

“เธอนั่งพักไปนั่นแหละ เดี๋ยวพี่ไปทำอะไรให้กินเอง”

หลังจากพูดจบ อวี้ฮ่าวหรานก็เดินเข้าไปในครัวทันที

ภาพนี้ทำให้หลี่หรงรู้สึกใจเต้นระรัว ชายที่แข็งแกร่งคนนี้เป็นห่วงเธอจริง ๆ

อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านไปสิบนาที เธอก็ได้กลิ่นไหม้โชยออกมาจากห้องครัว

เมื่อได้กลิ่นนี้ หลี่หรงนึกขึ้นได้ทันทีว่า พี่เขยของเธอทำอาหารไม่เป็น!

เธอรีบวิ่งเข้าไปในครัวอย่างรวดเร็ว

“แค่ก ๆ คือพี่ว่า พี่คงเร่งไฟแรงมากเกินไปหน่อย…”

อวี้ฮ่าวหรานหันกลับมามองหลี่หรงด้วยสีหน้าอับอาย ก่อนที่จะมองไปที่บะหมี่สำเร็จรูปในหม้อต้มที่ไหม้ไปครึ่งหนึ่ง

“เอ่อ…พี่เขย ฉันว่าลงออกไปหาอะไรกินข้างนอกกันเถอะ…”

หลี่หรงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน ที่เธอชวนแบบนี้ไม่ใช่แค่เพราะ อวี้ฮ่าวหรานต้มบะหมี่จนไหม้ แต่เธอยังเห็นขวดเกลือที่วางอยู่ข้าง ๆ มันมีเกลือเหลืออยู่ข้างในแค่ครึ่งขวด!

เมื่อวานเธอเพิ่งเติมเกลือเข้าไปจนเต็ม ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าเกลือครึ่งที่หายไปมันต้องลงไปอยู่ในบะหมี่แล้วแน่ ๆ!

ไม่มีทางที่มนุษย์คนไหนจะกินบะหมี่ในหม้อนั่นได้!