บทที่ 98 ชดใช้ด้วยเลือด (3)

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]

บทที่ 98 ชดใช้ด้วยเลือด (3)
บทที่ 98 ชดใช้ด้วยเลือด (3)

หมัดถล่มทลาย!

หมัดถล่มทลายในตอนนี้ประสานพลังปราณแท้ของเฉินซีที่มาจากขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นห้าดารา เต๋าแห่งสายลมที่สมบูรณ์แบบ และปราณแท้ที่ได้รับการขัดเกลาด้วยเคล็ดวิชาการบ่มเพาะที่หายากและล้ำค่า ซึ่งก็คือเคล็ดวิชากระเรียนเหมันต์ อาจกล่าวได้ว่าหมัดที่ดูธรรมดาเช่นนี้กลับทรงพลังมากกว่าเดิมถึงร้อยเท่า!

แม้ว่าหลี่หมิงจะบ่มเพาะอย่างพากเพียรเพื่อบรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิล และถือได้ว่าเป็นระดับต้น ๆ ในหมู่คนรุ่นเดียวกัน ทว่าการบ่มเพาะของเฉินซีในตอนนี้ที่ยังไม่อาจเทียบกับราชันวานรทมิฬแห่งถ้ำวารีกระซิบ จะไปนับประสาอะไรกับราชันวานรทมิฬที่เข้าใจเต๋าแห่งสายน้ำ

“เป็นไปไม่ได้! เศษสวะอย่างเจ้าจะทรงพลังขนาดนี้ได้อย่างไร? ข้าไม่เชื่อ!” บนอากาศ ท่าทางของหลี่หมิงป่าเถื่อนดุร้าย เปลวไฟสีหยกอันแฝงไปด้วยกลิ่นอายมืดมนพวยพุ่งออกมาจากร่างของเขา มันพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อรวมตัวเป็นเมฆสีเขียวหยก มังกรสีเขียวที่อยู่เหนือเมฆมีท่าทางที่มองข้ามสิ่งมีชีวิตทั้งมวล ในขณะที่มันอ้าปากคำรามลั่น บรรยากาศโดยรอบก็แปรเปลี่ยนไปทันที ทำให้ปราณวิญญาณของสวรรค์และโลกในบริเวณนั้นเกิดความโกลาหล

ถุย!

หลี่หมิงถ่มเลือดออกมาเต็มปาก สีหน้าซีดเซียวของเขาเปลี่ยนเป็นสยดสยอง เห็นได้ชัดว่าการใช้กระบวนท่านี้ ด้วยการบ่มเพาะของเขาทำให้ร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส

“เฉินซี เจ้าควรตายโดยปราศจากความเสียใจที่บังคับให้ข้าต้องใช้กระบวนท่า ‘พลังมังกรหยกเปลวอัคคีสรวงสวรรค์’ นี้!” หลี่หมิงคำรามขึ้นไปบนท้องฟ้าขณะชี้นิ้วไปที่เฉินซีอย่างดุเดือด

กรรรรรรรรร!

เสียงคำรามเกรี้ยวกราดที่ดูเหมือนเสียงร้องของมังกรดังขึ้นพร้อมกับการชี้นิ้วของหลี่หมิง ทำให้เปลวเพลิงหยกแปรเปลี่ยนเป็นศัสตราต่าง ๆ มากมาย มีทั้งกระบี่บิน หอก ง้าว และตรีศูล เปลวเพลิงหยกนั้นแวววาวและเต็มไปด้วยปราณชั่วร้าย ขณะที่ส่งเสียดหวีดหวิว

“เคล็ดวิชาร่างแปลงมังกรหยกเปลวอัคคี เป็นเคล็ดวิชาของบรรพบุรุษตระกูลหลี่ และพลังมังกรหยกเปลวอัคคีสรวงสวรรค์ก็เป็นกระบวนท่าที่ทรงพลังที่สุด ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ข้าได้ดูดซับแก่นของกระดูกหยกเปลวอัคคีภายในศาลาบรรพชน และพลังในกายแทบหมดสิ้นเพียงเพราะใช้กระบวนท่านี้ ดังนั้นผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลคนใดก็ตามที่สัมผัสพลังแก่นของกระดูกหยกเปลวอัคคี จะทำให้วิญญาณสึกกร่อนจนถูกแผดเผาในทันที เพราะฉะนั้นข้าไม่เชื่อว่ามันจะไม่สามารถฆ่าเศษสวะบัดซบเยี่ยงเจ้าได้!” หลี่หมิงที่ลอยอยู่กลางอากาศ ปากก็กล่าวเย้ยหยันด้วยท่าทางดุร้ายขณะจ้องมองไปยังเฉินซี

แต่ครู่ต่อมา ใบหน้าเย้ยหยันนั้นกลับแข็งค้าง และรูม่านตาเบิกโพลงราวกับเห็นภูตผี

จู่ ๆ พายุหมุนก็เกิดขึ้นท่ามกลางท้องฟ้าปลอดโปร่ง ราวกับพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่ก่อตัวขึ้นจากคมมีดจำนวนมหาศาลพุ่งทะยานขึ้นมา ไม่ว่ามันผ่านไปที่ใด แผ่นหินปูนบนพื้นจะถูกพลิกขึ้นและแตกสลายกลายเป็นเศษผง อาคารที่แข็งแกร่งราวกับเหล็กกล้าพังทลายจนถล่มลงมา เศษซากวัตถุก็ปลิวว่อนไปทั่ว

ศัสตราจำนวนมหาศาลที่ก่อตัวขึ้นจากเปลวเพลิงหยกพุ่งลงมาจากกลางอากาศ และถูกบดขยี้สลายไปในชั่วพริบตา

วายุทลายสุญญะ!

กระบวนท่าที่ทรงพลังที่สุดของเคล็ดวิชากระบี่หยั่งรู้วาตะลอยละล่องหลอมรวมกับเต๋าแห่งสายลมขั้นสมบูรณ์แบบ เป็นสิ่งที่แม้แต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำยังต้องหลีกเลี่ยง ดังนั้นคนอย่างหลี่หมิงจะรับมือได้อย่างไร?

“ไม่จริง!” เมื่อเขาเห็นความเร็วของพายุไม่มีทีท่าจะลดลงและโหมกระหน่ำไปทางเขาอย่างรุนแรง ใบหน้าของหลี่หมิงก็เผยความหวาดกลัวขณะกรีดร้องบ้าคลั่ง ยามนี้เองที่เขาตระหนักได้ว่ามีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างตัวเขากับเฉินซี นี่คือความห่างชั้นของการบ่มเพาะ ความแข็งแกร่ง และการฝึกฝนในเต๋าแห่งการต่อสู้… มันเป็นความห่างชั้นในทุก ๆ ด้าน ด้วยความแตกต่างมากมายนี้จึงทำให้เขาไม่อาจเอาชนะได้

เขาหวนนึกถึงขอบเขตเต๋าแห่งการรู้แจ้งที่ท่านผู้อาวุโสใหญ่ได้กล่าวไว้ ในเวลานั้นไม่อาจเข้าใจได้ แต่ในขณะนี้เมื่อจ้องมองไปยังพายุคำราม ในที่สุดเขาก็เข้าใจถึงพลังที่แท้จริงของขอบเขตเต๋าแห่งการรู้แจ้ง!

เขารู้สึกว่าตัวเองช่างโง่เขลาราวกับมดตัวจ้อยที่ปรารถนาจะโค่นล้มต้นไม้ เขาประเมินความสามารถของตัวเองสูงเกินไป!

ความคิดของหลี่หมิงยุ่งเหยิงไปหมด ขณะที่ความคิดต่าง ๆ ปะติดปะต่อเข้าด้วยกัน จนกระทั่งลืมที่จะหลีกหนีจากภัยที่กำลังย่างกรายเข้ามา เห็นได้ชัดว่าเขาตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้า!

“หยุดมือซะ!!” ในตอนนี้เอง มีเสียงตะโกนดังขึ้นจากระยะไกลพร้อมกับเงาสีดำที่ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า เงาสีดำนี้เป็นชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีดำหรูหรา ท่าทางดูสง่าผ่าเผย ดวงตาลึกล้ำ อีกทั้งยังควบคุมกระบี่ให้บินอย่างรวดเร็ว

มันทะยานไปได้ไกลหลายสิบลี้เพียงชั่วพริบตา จากนั้นเขาก็สะบัดมือขวาออกไปในอากาศจนก่อเกิดประกายไฟอย่างดุเดือด เพื่อปะทะกับพายุของเฉินซี พลังทั้งสองปะทะกันในทันทีและสลายหายไปในความว่างเปล่า

ฟิ้ว!

หลังจากใช้กระบวนท่าวายุทลายสุญญะ เฉินซีเหมือนจะสังเกตเห็นบางสิ่งมาสักพัก ทันใดนั้น ชายวัยกลางคนในชุดคลุมหรูหราก็ปรากฏตัวขึ้น กระบี่ท่องปรภพในมือพุ่งทะยานออกไปโดยมีไอเย็นขดอยู่รอบตัว มันดูเหมือนมังกรน้ำแข็งที่ส่องประกายระยิบระยับ

“เจ้ากำลังรนหาที่ตาย!” ชายวัยกลางคนผู้นี้คือ หลี่อี้เจิ้น ซึ่งเป็นผู้นำตระกูลคนปัจจุบันแห่งตระกูลหลี่ เขาระเบิดโทสะและแค่นเสียงเย็นเยียบ เมื่อเห็นเฉินซีใช้กระบวนท่าสังหารซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนจะทำลายล้างทุกสิ่งอย่าง เขาก็กดมือขวาลงไป ทำให้ประกายไฟพวยพุ่งออกมาอีกครั้ง

ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!

ปราณกระบี่ปะทะกับประกายไฟที่ลุกโชน น้ำกับไฟไม่อาจผสานรวมกันได้จึงเกิดเสียงก้องกังวานไปทั่ว เพียงชั่วครู่ทั่วทั้งสวรรค์จรดพิภพเต็มไปด้วยเสียงอึกทึก

สิ่งที่ทำให้หลี่อี้เจิ้นประหลาดใจคือฝ่ามือเปลวเพลิงทลายอากาศของเขาสูญเสียพลังอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ปราณกระบี่ที่ดูเหมือนมังกรน้ำแข็งนั้นไม่ได้รับอันตรายใด ๆ ซ้ำยังแข็งแกร่งขึ้นทุกขณะ ไม่เพียงเท่านั้นยังรุนแรงและบริสุทธิ์จนเหมือนว่าจะมีตัวตนขึ้นมาจริง ๆ!

“เจ้าสวะนั่นบ่มเพาะปราณกระบี่ตั้งแต่เมื่อใด?”

หัวใจของหลี่อี้เจิ้นพลันกระตุก ด้วยสายตาที่เฉียบแหลมของเขา เพียงชั่วพริบตาก็ตระหนักได้ว่าเต๋าแห่งกระบี่ของเฉินซีได้บรรลุขอบเขตเต๋าแห่งการรู้แจ้งแล้ว จิตสังหารที่เข้มข้นก่อตัวขึ้นภายในใจ ถ้าเจ้าเด็กคนนี้ไม่โดนกำจัดในวันนี้ซะ เขาจะกลายเป็นหายนะครั้งใหญ่ในอนาคตอย่างแน่นอน!

ฟิ้ว!

ในขณะนี้ ปราณกระบี่ได้ทำลายประกายไฟที่ลุกโชนไปหมดสิ้น และฟันไปทางขวา

แต่การตอบสนองของหลี่อี้เจิ้นก็ไม่ได้เชื่องช้า เขาฉวยโอกาสตอนที่พลังทั้งสองปะทะกันเพื่อยื่นมือออกไปคว้าตัวหลี่หมิง จากนั้นร่างของเขาก็ระเบิดจนต้องถอยห่างออกไปร้อยจั้ง

ฟิ้ววว!

เฉินซีใช้กระบวนท่าเคล็ดวาตะเหินทะยานพุ่งทะยานขึ้นไปกลางอากาศ เพื่อเผชิญหน้ากับหลี่อี้เจิ้นจากระยะไกล

“หลี่อี้เจิ้นในที่สุดเจ้าก็ปรากฏตัว” น้ำเสียงของเฉินซีนั้นสงบนิ่ง แต่เมื่อสดับฟังกลับแฝงด้วยความเกลียดชัง

นี่เป็นคำแรกที่เฉินซีพูดตั้งแต่ที่ลงมือเข่นฆ่าตระกูลหลี่ ในขณะนี้ จวนของตระกูลหลี่ที่ครอบครองพื้นที่สามร้อยหกสิบลี้ตกอยู่ในความเงียบสงัด ดูเหมือนจะตกตะลึงกับจิตสังหารที่แฝงอยู่ในคำเหล่านี้

“เศษสวะเหลือเดนจากตระกูลเฉินเช่นเจ้าสามารถบรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิล และหยั่งรู้เจตจำนงกระบี่ได้ภายในเวลาหนึ่งปี นั่นเกินความคาดหมายของข้าไปมาก” ใบหน้าของหลี่อี้เจิ้นมืดมนขณะที่กล่าวช้า ๆ ต่อว่า “กระนั้นเจ้าคิดว่าจะทำลายล้างตระกูลหลี่ได้ด้วยตัวคนเดียวหรือ? ช่างโง่เขลาเสียจริง! หากหลบซ่อนอยู่ในเงามืดแล้วเฝ้าบ่มเพาะสักสองสามร้อยปี เจ้ายังมีโอกาสประสบความสำเร็จ แต่… ต้องตายภายในวันนี้ และตระกูลเฉินของเจ้าจะไม่มีวันได้ฟื้นฟูอีกตลอดไป!”

หลี่หมิงจ้องมองที่เฉินซีอย่างเคียดแค้น เขากัดฟันขณะกล่าวว่า “ท่านพ่อ ฆ่ามันซะ มือของคนผู้นี้อาบเลือดของผู้คนในตระกูลเราไปมากมาย วันนี้ท่านพ่อต้องสับมันเป็นพัน ๆ ชิ้น จากนั้นเผากระดูกของมันและโปรยขี้เถ้าทิ้งซะ!”

“ผู้คนในตระกูล…” เฉินซีบ่นพึมพำ มุมปากยกขึ้น ดูเหมือนจะเศร้าโศกแต่กลับมีความสุข และเหตุการณ์นองเลือดมากมายต่างหลั่งไหลเข้ามาในจิตใจ ซากปรักหักพังที่ห่างจากบ้านของเขาไปราวสองร้อยลี้ ซากกระดูกที่น่าสยดสยอง เลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว ร้านค้าของตระกูลจางและร้านอาหารนทีกระจ่างที่ถูกทำลายล้างจนไม่เหลือซาก และการตายของท่านปู่!

“วันนี้ ข้าจะเอาเลือดของตระกูลหลี่ไปเซ่นสรวงแก่ดวงวิญญาณของผู้ล่วงลับ!” หลังจากที่ เฉินซีกล่าวจบ กลิ่นอายดุดันที่รายล้อมรอบร่างกายพลันปะทุขึ้นจนก่อเกิดเสียงดังสนั่น พลังอันน่าสะพรึงกลัวที่แฝงด้วยความเกลียดชังมหาศาลรวมอยู่ภายใน ประหนึ่งกระบี่อันแหลมคมที่ต้องการเจาะทะลุนภา

ในเวลานี้ เขาไม่ได้ปกปิดการบ่มเพาะอีกต่อไป เขาต้องการระบายความอัปยศ ความขุ่นเคือง และความเกลียดชังทั้งหมดที่ต้องเผชิญมาตลอดสิบปีที่ผ่านมานี้

‘ถ้าไม่ใช่เพราะตระกูลหลี่ ข้าจะไม่ถูกผู้คนครหาว่าเป็นตัวอัปมังคล และถูกดูถูกเหยียดหยามหรอกหรือ?’

‘ถ้าไม่ใช่เพราะตระกูลหลี่ ท่านปู่คงไม่ต้องเสียชีวิตอย่างน่าอนาถ อีกทั้งเฉินฮ่าวคงไม่ต้องเสียมือขวาไป’

‘ถ้าไม่ใช่เพราะตระกูลหลี่ คนบริสุทธิ์เหล่านั้นจะต้องมาตกตายอย่างน่าสังเวชอยู่ตามท้องถนนหรอกหรือ?’

‘ทั้งหมดนี้เป็นเพราะตระกูลหลี่ และวันนี้แม้ว่าชีวิตจะต้องจบลง แต่ข้าต้องฆ่าล้างบางตระกูลหลี่ทั้งหมด!’

ช่างเป็นกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก!

หลี่อี้เจิ้นรู้สึกหายใจติดขัด เมื่อแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวกดทับลงมาอย่างรุนแรง ความรู้สึกที่ไร้พลังจนไม่อาจต้านทานได้ปรากฏขึ้นในหัวใจของเขา ‘สิ่งนี้เป็นไปได้อย่างไร? ผ่านไปเพียงปีเดียว การบ่มเพาะของเจ้าสวะนี่จะก้าวหน้าไปถึงขนาดนี้เชียวหรือ?’

‘ดูเหมือนว่ากลิ่นอายของท่านผู้นำตระกูลยังไม่น่าสะพรึงกลัวเท่าเขา! ไม่! ไม่! ไม่! เป็นไปไม่ได้! ไอ้สวะนี่จะเทียบกับท่านผู้นำตระกูลได้อย่างไร? ท่านผู้นำตระกูลมีการบ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นสมบูรณ์แบบแล้วนะ…’

ฟิ้ว!

ในทันทีที่จิตใจของหลี่อี้เจิ้นสั่นไหว กระบี่บินเย็นยะเยืยกที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้ ก็พุ่งเข้ามาหาเขา!

หลี่อี้เจิ้นหวาดกลัวจนวิญญาณแทบจะหลุดออกมาจากร่าง ภายใต้สถานการณ์ความเป็นความตาย เขากระตุ้นปราณแท้ในร่างกายทั้งหมด ทำให้เกิดประกายไฟลุกโชนพุ่งออกมาจากฝ่ามือ ก่อนที่จะฟาดมันออกไปข้างหน้าอย่างดุเดือด

ในเวลาเดียวกัน ระฆังทองเหลืองขนาดใหญ่สีเหลืองพลันทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า มันหมุนวนไปรอบ ๆ ขณะที่ค่อย ๆ สูงเท่ากับคน ทันใดนั้นก็กักขังเขาไว้ภายในนั้น

หลี่อี้เจิ้นลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการทั้งหมด ระฆังทองเหลืองขนาดใหญ่นี้ถูกเรียกว่าระฆังเทพอัคคี และเป็นสมบัติวิเศษด้านป้องกันระดับมนุษย์ขั้นสูงที่มีคุณสมบัติพิเศษ แม้ว่าจะเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นสมบูรณ์แบบ ทว่าหากผู้บ่มเพาะไม่มีสมบัติวิเศษที่มีคุณสมบัติในการโจมตีที่ทรงอานุภาพพอ การทำลายการป้องกันของระฆังนี่ก็เป็นไปได้ยาก

ปัง!

เสียงกระทบราวกับอสนีฟาดดังก้องออกมา เขย่าระฆังเทพอัคคีจนส่งเสียงหึ่ง ๆ พลังชีวิตและเลือดของหลี่อี้เจิ้นที่อยู่ภายในนั้นกำลังพลุ่งพล่าน เขากู่ร้องขณะที่ปราณแท้ทั้งหมดในร่างกำลังหลั่งไหลลงสู่ระฆังเทพอัคคี

เขามองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ภายนอก แต่ตระหนักว่าจะต้องตายแน่ หากสูญเสียการปกป้องจากระฆังเทพอัคคี เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ความประหลาดใจและความขมขื่นสุดพรรณนาก็หลั่งไหลออกมา

‘ผ่านไปเพียงปีเดียว เศษเดนของตระกูลเฉินเติบโตถึงขนาดนี้ได้อย่างไร? ถ้ารู้ว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น ข้าคงกำจัดเขาไปตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้ว…’

“ท่านพ่อ…” ในขณะนั้นเอง เสียงโรยแรงและน่าสังเวชของหลี่หมิงดังขึ้น

“หมิงเอ๋อร์… นี่ข้ามัวห่วงแต่ตัวเองจนลืมไปว่าเขายังอยู่ข้างนอก…” หลี่อี้เจิ้นได้สติขึ้นมา และกำลังจะปลดระฆังเทพอัคคีออกเพื่อช่วยชีวิตหลี่หมิง แต่มันก็สายไป เมื่อได้ยินเสียง ‘กร๊อบ’ ที่ดูเหมือนกับเสียงลำคอถูกบิด ขณะนั้นเสียงร้องโหยหวนของหลี่หมิงก็หยุดลงอย่างฉับพลัน

“หมิงเอ๋อร์ตายแล้ว?” หัวใจของหลี่อี้เจิ้นเจ็บปวดรวดร้าว เขาไม่สนใจสิ่งอื่นใดและรีบพุ่งทะยานออกมาจากระฆังเทพอัคคี เมื่อเห็นศพของหลี่หมิงที่อยู่ในกำมือเฉินซี ใบหน้าของเขาก็เผยความดุร้ายออกมาสุดขีด

ฟิ้ว!

ฟิ้ว!

ฟิ้ว!

ทันทีที่หลี่อี้เจิ้นพุ่งออกมา เฉินซีก็สั่งกระบี่ท่องปรภพให้ก่อตัวเป็นตาข่ายขนาดใหญ่จากปราณกระบี่นับไม่ถ้วน เพื่อปกคลุมศพของหลี่หมิงไว้ ทันใดนั้นมันก็สับศพของเขาจนเป็นเศษเนื้อ ทำให้กองเลือดร่วงหล่นลงมามากมายจากกลางอากาศและสาดกระจายไปทั่ว

ราวกับสายฝนโลหิตกระหน่ำเทลงมา ทำให้เกิดฉากที่น่าสะพรึงกลัว หัวใจของหลี่อี้เจิ้นรู้สึกเหมือนถูกฟันแทงด้วยกระบี่ ก่อนที่เขาจะกู่ร้องคำรามลั่น “เจ้าสังหารลูกข้า… เจ้าสังหารลูกข้า!”

“อ้อ ลืมบอกไป อันที่จริง หลี่ไฮว่ก็ถูกข้าสังหารเช่นกัน” ใบหน้ากับน้ำเสียงของชายหนุ่มนั้นนิ่งสงบราวกับว่ากำลังกล่าวถึงเรื่องธรรมดาทั่วไป

“ไฮว่เอ๋อร์ก็ถูกเจ้าฆ่าด้วยหรือ?” เหมือนถูกสายฟ้าฟาดลงกลางอก จิตใจของหลี่อี้เจิ้นสั่นไหวรุนแรง ทัศนวิสัยพลันมืดดับลง ความรู้สึกที่ผันผวนอย่างรุนแรงทำให้จำต้องกระอักเลือดออกมา

ลูกชายทั้งสองเสียชีวิตอย่างน่าอนาถด้วยน้ำมือของเฉินซี นี่เกือบทำให้ปราณแท้ของหลี่อี้เจิ้นปั่นป่วนจนแทบปะทุออกมา และมันเกือบทำให้เขาเสียชีวิต!

“อี้เจิ้น!” ในเวลานี้เองที่จู่ ๆ ก็มีเสียงตะโกนดังมาจากระยะไกล จากนั้นเสียงบางอย่างแยกออกจากกันก็ดังขึ้น มันดังขึ้นเรื่อย ๆ ขณะนั้นเฉินซีสามารถเห็นประกายแสงแห่งความมืดได้อย่างกระจ่างชัด

ทันทีที่ร่างทั้งหกปรากฏขึ้น หนึ่งในผู้นำคือชายชราร่างผอมซูบและมีผิวสีเข้ม แต่ดวงหน้ากลับเนียนเรียบราวกับทารก ดวงตาคู่นั้นราวกับมีสายฟ้าอันเย็นเยียบพุ่งออกมา ปราณแท้ที่อยู่รอบตัวเขากำลังพลุ่งพล่าน และท่าทางที่สง่าผ่าเผยนั้นชวนประหลาดใจยิ่งนัก

คนทั้งห้าที่อยู่ใกล้ชายชราคนนั้นก็มีกลิ่นอายที่คล้ายคลึงกัน อีกทั้งท่าทางที่สง่าผ่าเผยยังน่าเกรงขามและแสดงให้เห็นถึงการบ่มเพาะที่น่าสะพรึงกลัว

ทันทีที่คนทั้งหกปรากฏตัวขึ้น คลื่นพลังบนร่างได้แพร่สะพัดไปทั่ว ทำให้พื้นที่ในรัศมีสองร้อยห้าสิบลี้เหมือนถูกควบคุม และเงียบสงัดมาก

“ผู้อาวุโส หมิงเอ๋อร์ตายแล้ว… หมิงเอ๋อร์ตายแล้ว!” หลี่อี้เจิ้นสังเกตเห็นคนทั้งหก สีหน้าของเขาก็เศร้าโศกขณะที่รำพันแผ่วเบา

คนเหล่านี้คือผู้อาวุโสขอบเขตตำหนักอินทนิลทั้งหกคนแห่งตระกูลหลี่ ที่ปลีกวิเวกจากโลกภายนอกมาโดยตลอด และการบ่มเพาะยังอยู่ที่ขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นเจ็ดดาราหรือเหนือไปกว่านั้น ผู้อาวุโสใหญ่หลี่เฟิงถูที่เป็นผู้นำได้บรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นสมบูรณ์แบบ และคาดว่าจะบรรลุไปสู่ขอบเขตเคหาทองคำได้ภายในสามปี ที่สำคัญความแข็งแกร่งของเขานั้นก็ไม่อาจหยั่งรู้ได้

เป็นเพราะผู้อาวุโสทั้งหกคนเหล่านี้เอง ที่ทำให้ตระกูลหลี่สามารถเป็นตระกูลอันดับหนึ่งในเมืองหมอกสน พวกเขาเป็นเสาหลักสำคัญที่สุดของการดำรงอยู่ของตระกูลหลี่!

“จงไปพักเถอะ” ผู้อาวุโสใหญ่หลี่เฟิงถูทอดถอนใจ จากนั้นก็ทุบหลี่อี้เจิ้นด้วยฝ่ามือก่อนจะส่งเขาไปให้กับผู้อาวุโสที่อยู่ใกล้เคียง และจ้องเขม็งไปที่เฉินซีด้วยจิตสังหารอันเข้มข้นในแววตา!