บทที่ 254 สวี่ชีอัน ‘ข้าสร้างความดีความชอบอีกแล้ว’
“เจ้ากำลังล้อข้าเล่นหรือ”
ความ ‘เย็นเยือก’ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเฉินกุ้ยเฟยทีละน้อย สีหน้า อารมณ์ แววตา และน้ำเสียงของนางล้วนเย็นชา
ดูสิ…สวี่ชีอันยักไหล่ พร้อมเยาะเย้ยภายในใจ บุคคลหนึ่งไม่ว่าจะกล่าววาจาน่าฟังเพียงใด ตราบใดที่ถูกเรียกร้องข้อแลกเปลี่ยนเกินจริง ล้วนเกิดอาการเดือดดาลขึ้นมาทันที
ยังดีที่ท่านไม่ได้รับปาก มิเช่นนั้นต่อให้ข้าทำให้หลินอันเสียใจ ก็ต้องทำลายความน่าเชื่อถือของท่าน
เฉินกุ้ยเฟยประคองถ้วยชาขึ้นจิบ ยามที่วางถ้วยชาลง สีหน้าก็กลับคืนเป็นปกติ “ช่องโหว่ที่ใหญ่ที่สุดของข้าก็คือหลางเอ๋อร์ ขอเพียงนางไร้ลมหายใจ คนตายก็มิอาจขึ้นให้การได้ อีกทั้งตึกสูงเช่นตำหนักเฟิ่งฉีนี้ใกล้จะทลายลงในชั่วพริบตาแล้ว อันเรียกว่านกที่ดีย่อมเลือกไม้ทำรัง ใต้เท้าสวี่เป็นคนปราดเปรื่อง ต้องเลือกอย่างไรในใจเจ้าย่อมรู้ดี”
สวี่ชีอันพยักหน้าเห็นด้วย “องค์รัชทายาทยังคงเป็นองค์รัชทายาท ฮองเฮากำลังจะเปลี่ยนตำแหน่ง กุ้ยเฟยก็รับปากว่าจะให้หลินอันแต่งงานกับข้า…ดังนั้น ข้าขอเลือกเว่ยกง”
เฉินกุ้ยเฟยสีหน้าชะงัก มือที่จับถ้วยชาออกแรงน้อยๆ ใช้เวลาอยู่นานจึงจะสามารถข่มอารมณ์ร้อนระอุด้วยต้องการจะสาดน้ำชาอันร้อนผ่าวใส่หน้าเด็กเหลือขอผู้นี้ หรือไม่ก็ปาใส่หน้าเขาทั้งถ้วย
“กล่าวเช่นนี้ ใต้เท้าสวี่เตรียมการพาหลางเอ๋อร์ออกจากตำหนักจิ่งซิ่ว และต้องการกำจัดข้าทิ้งแล้วอย่างนั้นหรือ”
คู่นัยน์ตาสวยของเฉินกุ้ยเฟยจ้องสวี่ชีอันตาเขม็ง บรรยากาศภายในห้องลดลงถึงจุดเยือกแข็ง จิตสังหารเข้าปกคลุมสวี่ชีอันโดยปริยาย
สวี่ชีอันผู้บรรลุระดับหลอมวิญญาณไม่ได้จับภาพไปยังศัตรูที่เตรียมจะลงมือ ทว่าสัญชาตญาณของนักรบขั้นเจ็ดกำลังส่งสัญญาณหนึ่งบ่งบอกเขาว่า ‘อันตราย!’
หากยืนกรานที่จะพาหลางเอ๋อร์ไป เช่นนั้นก็ต้องเผาก้อนกรวดและหยกงามลงไปพร้อมกันกับเฉินกุ้ยเฟย เมื่อเป็นเช่นนี้นางจะกลายเป็นสุนัขจนตรอก ไม่เกรงกลัวว่าที่นี่คือวังหลังอีกต่อไป ชีวิตของข้ามิอาจได้รับหลักประกัน แม้จะมีใต้ซือเสินซูอยู่ ทว่าเสินซูก็เป็นไพ่ตายใบสุดท้ายของข้า…สวี่ชีอันเย้ยหยัน ยืดหลังตรง ใบหน้าแสดงความเหยียดหยาม
“ข้าสวี่ชีอัน เผชิญหน้ากับกองทัพกบฏนับหมื่นในวันนั้น ต่อสู้ห้าวหาญด้วยตัวคนเดียว โค่นศัตรูนับพันคน ตายก็แต่ไม่ล้ม กุ้ยเฟยคิดว่าการข่มขู่เพียงเท่านี้จะทำให้ข้ากลัวหรือ ข้าไม่กลัวตาย ข่มขู่ด้วยความตายแล้วจะได้อะไร”
ข้าไม่กลัวตาย ข่มขู่ด้วยความตายแล้วจะได้อะไร…นัยน์ตาของเฉินกุ้ยเฟยดูประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด แล้วพยักหน้าช้าๆ “พูดได้ดี ใต้เท้าสวี่ช่างเป็นวีรบุรุษจริงๆ เอาข้าเสียอยู่หมัด…”
กุ้ยเฟยบีบถ้วยชาในมือแน่นราวกับจะบีบแก้วให้แตก
ทันใดนั้นสวี่ชีอันก็เอ่ยขึ้นเสียงดัง “แต่ข้าซื่อสัตย์ต่อหลินอัน ไม่ยอมเห็นนางเสียใจ เรื่องในวันนี้ข้าจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ได้”
ต่อให้ต้องเปิดโปงกุ้ยเฟย ข้าก็ต้องออกจากตำหนักจิ่งซิ่วให้ได้…สวี่ชีอันคิดอย่างจนใจ
เฉินกุ้ยเฟยจ้องมองเขาอยู่สักพัก ก่อนจะวางถ้วยชาลงและพยักหน้าอย่างพอใจ “เจ้าไม่ได้โกหก ดูท่าว่าเจ้าจะจริงใจกับหลินอันจริงๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดใต้เท้าสวี่จึงไม่ยอมพึ่งใบบุญล่ะ”
เจ้าคิดว่าข้าโง่งั้นหรือ พึ่งใบบุญเจ้าข้าต้องตายแน่ๆ ในเมืองหลวงคนที่ข้าพึ่งพาได้มีเพียงเว่ยเยวียนเท่านั้น ฮว๋ายชิ่งก็ช่วยได้เพียงครึ่งเดียว ส่วนหลินอัน องค์หญิงที่ไม่มีสิทธิ์และอำนาจเช่นนางมิอาจปกป้องข้าได้อยู่แล้ว
“กุ้ยเฟย อุปถัมภ์คนใช่ว่าสักแต่จะพูด ทว่าต้องลงมือทำจริง ข้าน้อยสวามิภักดิ์ต่อเว่ยกง เพราะเว่ยกงปฏิบัติต่อข้าอย่างจริงใจ ข้าไว้ใจเขา” เมื่อพูดจบสวี่ชีอันก็หันหลังชำเลืองมองขันทีน้อยที่นอกลานแล้วเอ่ย “ข้าน้อยจนปัญญากับกุ้ยเฟยแล้ว ทว่าข้าก็คิดว่ากุ้ยเฟยไม่สามารถทำอะไรข้าได้”
หากไม่มีความคิดที่จะเผาก้อนกรวดกับหยกไปพร้อมกัน เช่นนั้นเฉินกุ้ยเฟยก็ไม่น่าจะทำให้เขาลำบากใจอีก
แม้ขันทีน้อยจะเป็นเพียงลูกน้องชั้นปลายแถว แต่ตอนนี้เขารับหน้าที่เป็นหูเป็นตาของจักรพรรดิหยวนจิ่ง ถือว่าเป็นผู้เฝ้าสังเกตก็ได้ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่เขาล้วนทูลรายงานให้จักรพรรดิหยวนจิ่งทราบโดยไม่ตกหล่นสักคำ
เว้นเสียแต่เฉินกุ้ยเฟยจะลอบสังหารเขาโดยตรง มิเช่นนั้นแผนร้ายและหลอกลวง หรือยัดเยียดของใส่ความก็ล้วนไม่มีประโยชน์ ขันทีน้อยเป็นพยานให้ข้าได้
นี่ก็เป็นเหตุผลที่สวี่ชีอันยืนกรานจะให้ขันทีน้อยอยู่
เฉินกุ้ยเฟยมองเขาอย่างลุ่มลึก นัยน์ตาคู่สวยหรี่ลงเล็กน้อย “ข้าเพลียแล้ว เจ้าออกไปเถอะ…ประตูของตำหนักจิ่งซิ่วจะเปิดให้เจ้าตลอด”
“ข้าน้อยขอตัว”
สวี่ชีอันประสานมือคารวะและออกจากห้องไป
เมื่อขันทีน้อยที่อยู่ในลานเห็นเขาออกมาก็พุ่งตัวเข้ามาทันทีพร้อมเอ่ยถาม “ใต้เท้าสวี่ กุ้ยเฟยกล่าวอะไรกับท่านบ้าง”
“อย่าถามเลย หากถามก็ไม่รับประกันหัว” สวี่ชีอันกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์
ขันทีน้อยสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย
เมื่อเดินไปถึงลานนอก หลินอันกำลังนั่งอยู่ในศาลา มือหนึ่งเท้าคางมือหนึ่งเล่นถ้วยชา เบื่อจวนใจจะขาด
ข้างกายมีสองสาวใช้คอยยืนรับใช้
เมื่อเห็นสวี่ชีอัน ใบหน้าอันอวบอิ่มคลี่ยิ้มกว้าง ยิ้มจนตาโค้งหยี นัยน์ตาดอกท้อกะพริบปริบ กวักมือเรียกพร้อมเอ่ยเสียงหวาน
“เจ้าสุนัขรับใช้ มานี่เร็ว”
คำว่าสุนัขรับใช้ที่ตะโกนออกมาไม่ทรงพลังเลยแม้แต่น้อย ฟังแล้วคล้ายกับกระเง้ากระงอด สะบัดสะบิ้ง
สวี่ชีอันทอดถอนใจ ข่มอารมณ์ที่โหมซัดสาดไว้ แล้วยิ้มราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “องค์หญิง ข้าน้อยมาแล้ว”
หลินอันเอ่ยถามทันที “เสด็จแม่พูดอะไรกับเจ้า”
“กุ้ยเฟยบอกว่าองค์หญิงใกล้จะถึงวัยออกเรือนแล้ว จึงถามกระหม่อมว่าได้เลือกคนที่เหมาะสมไว้แล้วหรือยัง แนะนำชายหนุ่มผู้มากพรสวรรค์ให้กับนางหน่อย อาจช่วยองค์หญิงเสาะหาพระสวามีในอนาคตได้”
หลินอันชะงักงัน แสงอัสดงค่อยๆ ไต่ขึ้นบนใบหน้า แล้วเอ่ยอย่างระแวง “เสด็จแม่น่ะหรือจะกล่าวเรื่องเช่นนี้กับเจ้า? ”
เอ๊ะ เหตุใดเจ้าถึงไม่ติดกับล่ะ เจ้าฉลาดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร ข้ายังคิดจะเสนอตัวเองต่อจากนี้อยู่เลย สวี่ชีอันได้แต่คิดในใจอย่างจนปัญญา
“กระหม่อมล้อเล่นพ่ะย่ะค่ะ”
ยายตัวร้ายขมวดคิ้วเรียว “สุนัขรับใช้ เจ้ากล้าแทะโลมข้าหรือ”
เอ่ยพลางเท้าเอวจ้องเขา
“กระหม่อมยังเยาว์วัย ไม่อาจเข้าใจคำว่าแทะโลม”
ยายตัวร้ายเปล่งเสียงจึกจักในลำคอ คิดว่าคำพูดของสวี่ชีอันน่าสนใจมาก แล้วหัวเราะคิกคัก ราวกับแม่ไก่น้อย
รอยยิ้มของนางทั้งบริสุทธิ์และงามหยาดเยิ้ม ประหนึ่งทัศนียภาพอันงดงาม
สวี่ชีอันหัวเราะตาม ในใจก็ทอดถอนใจ
ก่อนหน้านี้เขาคิดจะแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง แล้วออกจากตำหนักจิ่งซิ่วไปก่อน จากนั้นก็บอกสิ่งที่ตนค้นพบกับเว่ยเยวียน ให้เว่ยเยวียนเร่งรีบจับกุมหลางเอ๋อร์ เพื่อที่เฉินกุ้ยเฟยจะได้รับมือไม่ทัน
ทว่าเพราะความสัมพันธ์ของหลินอัน เขาลังเลสักพักอย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้หลังจากใจเย็นลงก็ยังมั่นหมายว่าจะเปิดโปงเฉินกุ้ยเฟยอย่างไม่ลังเล
ระดับของเฉินกุ้ยเฟยไม่ได้ต่ำต้อย คาดเดาได้เลยว่าขณะที่ขาข้างหนึ่งของเขาเพิ่งจะก้าวออกไป หลางเอ๋อร์เองก็อาจลาลับจากโลกนี้ไปด้วยอาการเจ็บป่วยอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นแน่ เมื่อเป็นเช่นนี้ เฉินกุ้ยเฟยก็จะไม่มีช่องโหว่อีกต่อไป
เฉินกุ้ยเฟยนับว่าเป็นพระสนมที่ฉลาดเฉลียวยิ่งนัก…หญิงสาวผู้โง่เขลาเช่นหลินอันเติบโตขึ้นมาภายในรั้วพระราชวังไม่รู้ว่าเป็นพรหรือคำสาป
เมื่อย้อนนึกถึงการกระทำเมื่อครู่ของเฉินกุ้ยเฟยแล้ว นางช่างรอบคอบเสียจริง ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นก็เลือกเรียกเขาให้เข้าไปลองเชิงก่อน ผลสุดท้ายก็ถูกนางพบเบาะแสเข้าจริงๆ
คำกล่าวที่เปิดเผยตรงไปตรงมาเหล่านั้นดูเหมือนเป็นอะไรที่ชวนบีบคั้นหัวใจ แต่ในความเป็นจริงแล้วนางไม่หวาดกลัวอะไรทั้งสิ้นเนื่องจากมีคนคอยหนุนหลัง เพราะนางรู้ว่าตราบใดที่กำจัดหลางเอ๋อร์ได้ ตัวนางก็จะปราศจากช่องโหว่ ส่วนสวี่ชีอันก็ไม่สามารถพาตัวหลางเอ๋อร์ไปได้อยู่แล้ว เว้นเสียแต่ไม่อยากมีชีวิตอยู่
ในเมื่อถูกพบแล้วก็ไม่อ้อมค้อม เปิดใจบอกกล่าวกันตามตรง หวังจะได้รับความไว้วางใจจากข้า…จากนั้นก็โยนพระธิดาคนงามออกไปเป็นเหยื่อ หากข้าเป็นพวกมักมากในกามละก็ น่าจะติดกับไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว…
ข้ามีใต้ซือเสินซูโอบหุ้มอยู่ อาจจะไม่สิ้นลมตรงนั้น แต่ก็คงเปิดเผยร่างที่แท้จริง จักรพรรดิหยวนจิ่งคนสารเลวนั่นจะต้องผนึกข้าไว้ที่ซังผออย่างแน่นอน ผลลัพธ์สุดท้ายยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ต้องเผาก้อนกรวดและหยกงามไปพร้อมกัน
เมื่อออกจากตำหนักจิ่งซิ่ว สวี่ชีอันบอกว่ายังมีภารกิจสำคัญต้องจัดการ จึงปฏิเสธคำเชิญเล่นหมากเรียงห้าตัวของยายตัวร้าย
“ขันทีน้อย เรื่องในวังข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว อีกหน่อยยามที่เจ้าทูลรายงานฝ่าบาท อะไรที่พูดได้หรือพูดไม่ได้ ข้าขอบอกเจ้าเสียตรงนี้เลย” สวี่ชีอันเอ่ยเสียงขรึม
เมื่อขันทีน้อยได้ยินก็มีท่าทางเอาจริงเอาจัง “ใต้เท้าสวี่เชิญกล่าว”
“เรื่องในตำหนักจิ่งซิ่ว เจ้าต้องบอกฝ่าบาทอย่างละเอียดถี่ถ้วน เจ้าต้องพูดแบบนี้ หลังจากสอบถามหลางเอ๋อร์สาวใช้ในตำหนักจิ่งซิ่ว สีหน้าของใต้เท้าสวี่ก็ดูย่ำแย่ยิ่งนัก ราวกับไม่อยากอยู่อีกต่อไป แม้แต่ชาก็ไม่ดื่ม ใต้เท้าสวี่ยังไม่ได้ออกจากตำหนักจิ่งซิ่ว จู่ๆ กุ้ยเฟยก็ขอให้อยู่ต่อและเชิญไปที่ลานหลังตำหนัก…กุ้ยเฟยสั่งให้ทุกคนออกไป แล้วพูดคุยกับใต้เท้าสวี่อยู่ในห้องสักพัก บ่าวถูกทิ้งไว้ที่กลางลาน ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป แม้จะมองเห็นคนทั้งสองในห้อง แต่กลับไม่ได้ยินว่าพวกเขาพูดคุยอะไรกัน เมื่อบทสนทนาจบลง ใต้เท้าสวี่ก็ออกจากตำหนักด้วยความในใจที่ถมทับแล้ว”
สวี่ชีอันพูดจบก็หยิบตั๋วเงินห้าตำลึงออกจากในอก รวมถึงเงินห้าตำลึงที่โกงมาจากขันทีเฝ้าประตูตำหนักจิ่งซิ่ว ทั้งหมดคิดเป็นสิบตำลึง แล้วยื่นใส่มือขันทีน้อยอย่างนิ่งเฉย
ขันทีน้อยแหวกอกกว้างพลางโบกมือปัด “ใต้เท้าสวี่ ไม่สมควรๆ”
เมื่อเก็บเงินแล้วเขาก็ขบคิดคำพูดของสวี่ชีอันอย่างถี่ถ้วน คิดว่าไม่ใช่ปัญหาใหญ่เกินไปจึงพยักหน้า “ขอรับ ข้าน้อยจะทำตามแน่นอน”
สวี่ชีอันออกจากพระราชวังทันที เหวี่ยงแซ่ควบม้าพันธุ์ดีที่ฮว๋ายชิ่งให้เขายืมมาจากหน่วยองครักษ์ราชวัลลภ รีบกลับไปยังที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล
หลังจากส่งหนังสือแจ้งผ่านทหารยาม เขาก็เข้าสู่หอเฮ่าชี่ ขึ้นมาที่ห้องน้ำชาสำหรับต้อนรับแขกชั้นเจ็ด
เว่ยเยวียนไม่ได้อยู่ในห้องน้ำชา แต่อยู่ที่หอสังเกตการณ์ซึ่งเชื่อมต่อกับห้องน้ำชา เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่พร้อมกับสยายผม เจ้าพนักงานชุดดำคนหนึ่งกำลังถือหวีเพื่อสางผมให้เขาอยู่
เว่ยเยวียนกวักมือ “มานี่ มาหวีผมให้ข้า”
เจ้าพนักงานชุดดำยื่นหวีให้สวี่ชีอันอย่างรู้หน้าที่ แล้วหันหลังกลับเดินออกจากห้องน้ำชา
“เว่ยกง เหตุใดจึงหวีผมเวลานี้เล่าขอรับ”
สวี่ชีอันถือหวีและสางตั้งแต่โคนลงมาอย่างไม่มีสะดุด เมื่อหวีจรดปลายก็คิดในใจว่าช่างพลิ้วเป็นสง่ายิ่งนัก
“ผมในพุทธศาสนา แฝงความหมายว่าเป็นปัญหายุ่งเหยิง” เว่ยเยวียนอาบชโลมกลางแสงแดด หรี่ตาพร้อมเอ่ยเสียงนุ่มนวล “ยามหวีเกศา ความหลังในวันวานก็ลบเลือนจนสิ้น”
หมายความว่าอย่างไร
เว่ยเยวียนวันนี้ดูแปลกเล็กน้อย อะไรคือความหลังในวันวานก็ลบเลือนจนสิ้น
“หวีผมจะไปได้อะไร ข้าน้อยกดจุดศีรษะให้ดีกว่า” สวี่ชีอันกล่าว
เว่ยเยวียนหัวเราะ “เอาสิ! ”
สวี่ชีอันสอดหวีเข้าไปในอก กางนิ้วทั้งห้าออก กดศีรษะของเว่ยเยวียนไว้ บีบกดจุดฝังเข็มอย่างนุ่มนวล
เสียงลมหายใจของเว่ยเยวียนค่อยๆ ช้าลง แสงอาทิตย์อันอบอุ่นส่องร่างของคนทั้งสอง ทอดมองขึ้นสูงจากตรงนี้ ทัศนียภาพอันงดงาม สวี่ชีอันหรี่ตาทอดมองไปไกล รู้สึกว่าตนได้กลับไปยังโลกมนุษย์ ได้ออกห่างจากเรื่องราวการปัดแข้งปัดขาในพระราชอุทยาน
“ไม่เลวเลย” เว่ยเยวียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
แน่นอนสิ นี่เป็นเคล็ดสุดลับของร้านตัดผม กลับไปข้าจะทำเตียงสระผมให้ท่าน…สวี่ชีอันกระแอมครั้งหนึ่งก่อนเอ่ย “ข้าน้อยมีเรื่องจะรายงาน”
“ว่ามา”
“ข้าน้อยสืบพบแล้วว่าผู้บงการอยู่เบื้องหลังคือใคร”
เว่ยเยวียนลืมตาขึ้น ไม่เอื้อนเอ่ยอยู่นาน
“เป็นเฉินกุ้ยเฟย!” สวี่ชีอันเอ่ยเสียงเบา “วันนี้สืบคดีที่ตำหนักจิ่งซิ่ว พบว่าหลางเอ๋อร์สาวใช้ข้างกายนาง ก็คือผู้ที่ฉีกทำลายสมุดของห้องโอสถหลวง…”
ทันทีที่เขาบอกกล่าวสิ่งที่ตนค้นพบและการหยั่งเชิงของเฉินกุ้ยเฟยแก่เว่ยเยวียนอย่างละเอียดถี่ถ้วน เว่ยเยวียนกลับตบมือเป็นสัญญาณให้เขาหยุด ลุกขึ้นเดินไปที่ขอบแท่นหอสังเกตการณ์ สองมือจับราวเหล็กพลางทอดสายตามองไปไกล “เจ้าคิดว่าอิทธิพลเบื้องหลังของเฉินกุ้ยเฟยคือใคร”
ข้าจะรู้ได้อย่างไร…สวี่ชีอันส่ายหน้า “อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับสำนักโหราจารย์”
นี่เป็นสิ่งที่อนุมานออกมาจากวิชามองปราณของเขา
“ไม่ใช่สำนักโหราจารย์” เว่ยเยวียนส่ายหน้า น้ำเสียงสุขุมเยือกเย็น
ไม่ใช่สำนักโหราจารย์…สวี่ชีอันนิ่งไปชั่วขณะก่อนจะตอบสนองกลับ แล้วเอ่ยอย่างฉงน “เว่ยกง ท่านรู้ว่าเฉินกุ้ยเฟยกำลังคิดร้ายกับฮองเฮาและท่านงั้นหรือ”
“นึกไม่ถึงมาก่อนเลยว่านางจะใจดำอำมหิต ลากองค์รัชทายาทลงน้ำได้…หลังจากส่งคดีนี้ให้เจ้า ข้าก็ไม่ได้สนใจอีก กระทั่งเช้าวันนี้ทราบมาว่าฮองเฮายอมรับโทษ ได้ฟังเจ้าเล่าคดีตั้งแต่ต้นจนจบ ข้าก็เดาออกว่าเป็นเฉินกุ้ยเฟยแล้ว”
สวี่ชีอันจ้องมองแผ่นหลังของเขาอยู่นาน เมื่อก่อนเขาคิดว่าเว่ยเยวียนก็เป็นเหมือนกับนักบวชเต๋าจินเหลียน ล้วนเป็นเหรียญเงินเก่าแก่ ตอนนี้พบว่านักบวชเต๋าจินเหลียนจิตใจบริสุทธิ์ยิ่งนัก ไม่ได้ลึกล้ำเช่นเว่ยเยวียน
ไม่ใช่สำนักโหราจารย์ เช่นนั้นเฉินกุ้ยเฟยใช้วิชามองปราณได้อย่างไร นอกจากสำนักโหราจารย์แล้วยังมีใครสามารถใช้วิชามองปราณได้อีก
สวี่ชีอันใจกระตุก “เว่ยกง ข้านึกขึ้นได้เรื่องหนึ่ง”
“โหรขั้นสามที่ปรากฏตัวในคดีอวิ๋นโจว?” เว่ยเยวียนถามกลับ
“เว่ยกงสติปัญญาเลิศล้ำเกินคน…” สวี่ชีอันเลื่อมใส
“ข้าก็เคยสืบหาคนผู้นี้มาก่อน ทว่าสืบไม่พบ เจ้ารู้หรือไม่ว่าโหรขั้นสามของสำนักโหราจารย์มีนามว่าอะไร” เว่ยเยวียนเอ่ยถาม
“ปรมาจารย์ลับแห่งสวรรค์” สวี่ชีอันเคยได้ยินหยางเชียนฮ่วนกล่าวไว้
“ปรมาจารย์ลับแห่งสวรรค์ปิดกั้นความลับของสวรรค์ได้ ลบร่องรอยของการมีอยู่และเหลือทิ้งไว้ของตนออกไปทั้งสิ้น พ่อแม่ก็จะลืมเลือนเขา ลูกและภรรยาจะลืมเลือนเขา บันทึกอันเป็นลายลักษณ์อักษรทั้งหมดที่เขาหลงเหลือก็จะเลือนหายไปเช่นกัน นี่ก็คือปรมาจารย์ลับแห่งสวรรค์ นอกจากนี้ ปรมาจารย์ลับแห่งสวรรค์ยังปลอมแปลงความประทับใจของคนอื่นที่มีต่อเขาได้ ความทรงจำอันเลือนรางที่หลงเหลืออยู่ในใจ ไม่ว่าอย่างไรก็มิอาจรำลึกขึ้นได้ทั้งสิ้น”
เว่ยเยวียนทอดสายตามองไปข้างหน้า “ตอนคดีซังผอ เจ้าเคยตรวจสอบข้อมูลของท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่ง ทว่าไม่มีบันทึกข้อมูลทางประวัติศาสตร์ใดเลยแม้แต่น้อย เพียงถ้อยคำสักน้อยล้วนไม่มี ต้องรู้ไว้ว่าจักรพรรดิอู่จงเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ได้ ทว่าอุดปากคนรุ่นหลังไม่ได้ ก็ยิ่งอุดประวัติศาสตร์ไว้ไม่อยู่ ที่ท่านโหราจารย์ลบข้อมูลทั้งหมดของท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งผู้นั้นไป เขาก็เหมือนกับไม่เคยมีตัวตนมาก่อน แม้จะเป็นข้าก็เข้าใจผิดอยู่บ่อยๆ ว่าท่านโหราจารย์ก็คือผู้ก่อตั้งสำนักโหราจารย์ เป็นผู้เริ่มก่อตั้งระบบโหร ต่อมาเพราะความแตกแยกอันเกิดจากตำแหน่งที่ว่างของประวัติศาสตร์ จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่ายังมีท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่ง”
“เป็นเช่นนี้แล้วจะตรวจสอบได้อย่างไร” สวี่ชีอันตกตะลึง
เขาสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของผู้แข็งแกร่งชั้นสุดยอดของโลกนี้อีกครั้ง
“หากต้องการตรวจสอบก็ต้องพึ่งพาท่านโหราจารย์” เว่ยเยวียนกล่าว
มีเหตุผล มีเพียงเวทมนตร์เท่านั้นจึงจะเอาชนะเวทมนตร์ได้ ความคิดของท่านพ่อเว่ยไม่เคยผิด…สวี่ชีอันพยักหน้าอย่างเงียบๆ
“ทว่าท่านโหราจารย์ปฏิเสธไปแล้ว” เว่ยเยวียนทอดถอนใจ
นี่เป็นคำตอบอย่างที่คาดไว้จริงๆ สำนักโหราจารย์มีความลับอยู่มากมาย ท่านโหราจารย์ก็เหมือนกับคนเฒ่าคนแก่ผู้รักษาความลับ…สวี่ชีอันเม้มปาก เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงใคร่รู้
“เว่ยกงรู้หรือไม่ว่าโหรขั้นหนึ่งและขั้นสองเรียกว่าอะไร”
เว่ยเยวียนส่ายหน้า “ข้าไม่ถูกกับท่านโหราจารย์มาโดยตลอด ต้าฟ่งก็เหมือนกับกระดานหมากรุก เขาเป็นคนวางหมาก ข้าก็เป็นคนวางหมากเช่นกัน พวกเรามักจะขัดแย้งกันเพราะความคิดที่แตกต่าง”
นี่เป็นครั้งแรกที่เว่ยเยวียนกล่าวถึงเนื้อหา ‘ระดับสูง’ เช่นนี้กับสวี่ชีอัน
บางทีในใจของเว่ยเยวียน ท่านโหราจารย์จะเป็นศัตรูทางการเมืองที่ใหญ่ที่สุดของเขา สวี่ชีอันพูดหยั่งเชิง “เว่ยกงเตรียมการช่วยเหลือฮองเฮาอย่างไรบ้าง”
“ผลักให้น้องชายฮองเฮาไปรับโทษ สำเร็จหรือไม่นั้นต้องรอพิจารณา ฝ่าบาทชอบสร้างสมดุล คิดว่าหากปลดฮองเฮาแล้วองค์รัชทายาทก็จะไร้คู่ต่อสู้ ทว่าฝ่าบาทนึกถึงเรื่องที่ไม่น่ายินดี จิตใจอาจจะไม่สงบนัก เว้นเสียแต่ทำให้เขาสงสัยเฉินกุ้ยเฟย…ฮองเฮาก็ใจอ่อนเสียเหลือเกิน ยามที่เลือกเดินก้าวนี้ก็มิได้ปรึกษาข้าล่วงหน้า” เสียงของเว่ยเยวียนปรากฏความเอือมระอา
เว่ยกง ความหมายแฝงของท่านก็คือ ‘ฮองเฮา เจ้ามันช่างไม่เอาไหนเลย’ งั้นหรือ
สวี่ชีอันตาเป็นประกาย รู้ว่าเรื่องราวที่ตนปูเอาไว้ก่อนออกจากวังไม่เสียเปล่า หรืออาจจะเป็นการสร้างความดีความชอบด้วยซ้ำ
“เว่ยกง ข้าน้อยมีความผิด เมื่อครู่นี้ข้าตัดสินใจด้วยตนเอง”
เว่ยเยวียนหันหน้ากลับพร้อมขมวดคิ้ว “เรื่องอะไร”
…………………………………………………