บทที่ 19 ดาร์ก เดม่อนพยายามนำความสุขมาให้ผู้คน

จอมมารแค่อยากเป็นคนดี [反派少爷只想过佛系生活]

บทที่ 19 ดาร์ก เดม่อนพยายามนำความสุขมาให้ผู้คน

สามทุ่มครึ่ง

ดาร์กออกจากห้องสมุดกลับไปนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นรวมสักพักได้ แล้วถึงกลับไปอาบน้ำที่ห้องในที่สุด

จากนั้นดื่มนมหนึ่งแก้วแล้วเข้านอน

กิจวัตรของนักเรียนชั้นยอดนั้นแสนเรียบง่ายและเข้มงวด

ก่อนหน้านี้ดาร์กไม่เคยคิดว่าเขาจะมีนิสัยที่ดีได้ขนาดนี้

เพื่อพัฒนาการทางร่างกายและสุขภาพ เด็กชายพยายามทำให้แน่ใจว่าตัวเองนอนครบแปดชั่วโมงต่อวัน

หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ‘นอนเร็วและตื่นเช้า’

ดาร์กมักจะไตร่ตรองอยู่บ่อยครั้งว่าหากตัวเองกำจัดเลือดของจอมมารได้สำเร็จจริง ๆ เขาจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมหรือเปล่า?

คำตอบนั้นไม่แน่นอน

แต่พอเดาได้ว่ามันคงจะไม่เปลี่ยนไปมาก

มีปัจจัยมากมายในการสร้างนิสัย แต่โดยทั่วไปหลังจากการสร้างสำเร็จ ก็เป็นเรื่องค่อนข้างง่ายที่จะรักษามันต่อไป

ดาร์กค่อย ๆ รู้สึกว่าชีวิตเช่นนี้ไม่ได้แย่เลย แต่เสียดายที่มันถูกพันธนาการไว้ด้วยโซ่ตรวน ซึ่งทำให้เขารู้สึกกดดันทางจิตใจเล็กน้อย

และสิ่งที่อยากจะทำในตอนนี้ คือขจัดความกดดันนี้ออกไป

หลังตื่นนอนตอนหกโมงเช้า ดาร์กมาที่ห้องนั่งเล่นและหยิบหนังสือพิมพ์ ‘เดลี่เสส’ ซึ่งจัดพิมพ์โดยทางอาณาจักรติดมือมาด้วย แต่ก่อนจะเพลิดเพลินกับอาหารเช้าที่รุกกี้เดวิมอนนำมาให้ก็พลันได้ยินเสียงฝีเท้ามาจากทางบันไดโดยไม่คาดคิด

เขาเคยอ่านหนังสือและหนังสือพิมพ์ในช่วงเวลานี้ แต่กลับไม่ค่อยได้เห็นคนอื่นสักเท่าไหร่

มันค่อย ๆ กลายเป็นความสุขที่ได้เพลิดเพลินไปกับห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่เพียงลำพัง

แต่เขาไม่คิดว่าวันนี้จะเปลี่ยนไป

ผู้ที่ลงมาจากบันไดเป็นนักเรียนชั้นปีที่หนึ่ง ทั้งสองคนยังดูง่วงนอนอยู่ พอเห็นว่าพวกเขาสวมชุดใหม่แล้ว ดาร์กก็รู้ในทันทีว่าพวกเขากำลังจะไปที่ถนนนักเดินทางแต่เช้า

เพราะนี่เป็นสุดสัปดาห์แรกของการเปิดถนนนักเดินทาง ดาร์กจึงเข้าใจความตื่นเต้นของพวกเขาได้

เด็กชายไม่ได้มองดูเพื่อนร่วมชั้นสองคนนั้นอีกและหันกลับมาอ่านหนังสือพิมพ์ มือก็ใช้ช้อนคนนมผสมน้ำตาลต่อไป

“อรุณสวัสดิ์ ดาร์ก”

“อรุณสวัสดิ์ ดาร์ก”

“อรุณสวัสดิ์ เรินต์เกน ซิกวาร์ด”

พวกเขาทักทายกันและแยกย้ายจากไป

หลังจากที่เรินต์เกนและซิกวาร์ดเดินออกมาจากหอคอย พวกเขาก็กระซิบกระซาบกัน

เรินต์เกนถอนหายใจ “เขาตื่นเช้ามากเลย”

ซิกวาร์ดกล่าว “ไม่น่าแปลกใจที่เขานำหน้าเราเสมอ พระเจ้าจะทรงตอบแทนผู้ที่ทำงานหนัก นี่คงเป็นเรื่องจริง”

เรินต์เกนถาม “บางทีเราควรจะขยันมากกว่านี้ไหม?”

ซิกวาร์ดตอบ “ใช่เลย”

เรินต์เกนออกความเห็น “ไม่นึกเลยว่าดาร์ก เดม่อนตัวจริงจะเป็นแบบนี้… ฉันรู้สึกว่าตัวเองสามารถเป็นเพื่อนกับเขาได้”

ซิกวาร์ดค้าน “นั่นน่าจะยากหน่อยนะ ถึงดาร์กจะใจดีมาก แต่ดูเหมือนเขาไม่ค่อยเข้าสังคมกับคนอื่นเท่าไหร่เลย”

เรินต์เกนยอมแพ้ “เฮ้อ! เอาล่ะ สองวันนี้มาสนุกกันเถอะ! จากนั้นเราค่อยเริ่มพยายามให้หนักตั้งแต่วันจันทร์หน้า!”

ซิกวาร์ดเห็นด้วย “ตามนั้น!”

ร่างของทั้งสองค่อย ๆ จางหายไป

รุกกี้เดวิมอนบินกลับมาเล่าบทสนทนาระหว่างเรินต์เกนและซิกวาร์ดให้ดาร์กฟัง

เด็กชายยิ้มอย่างขมขื่นและส่ายหัว นั่นมันคำพูด ‘จะพยายามหนักในวันพรุ่งนี้’ สุดคลาสสิคไม่ใช่รึไง

คนที่ผัดวันประกันพรุ่งมักไม่สามารถทำอะไรได้สำเร็จ

หนึ่งวันนี้มีค่า สองวันพรุ่งนี้ก็มีค่า

แต่แล้วดาร์กกลับคิดถึงมันอีกครั้ง

หากไร้การคุกคามจากเลือดของจอมมาร บางทีตนอาจจะเหมือนกับพวกเขา

“แน่นอน ทุกสิ่งมีทั้งด้านดีและด้านร้าย”

ดาร์กจิบนมแล้วครุ่นคิด

เคเซอร์ ศาสตราจารย์วิชาเวทมนตร์พื้นฐานเป็นผู้อาวุโสที่ใจดีมาก

ว่ากันว่าเขาเป็นหนึ่งในนักเล่นแร่แปรธาตุตั้งแต่สมัยของเมอร์ลินเพียงคนเดียวที่ยังเหลืออยู่ในขณะนี้

เนื่องจากความรู้และวาทศิลป์ที่กว้างขวางของเขา ชั้นเรียนของศาสตราจารย์เคเซอร์จึงมีความน่าสนใจอยู่เสมอ ไม่เหมือนกับของศาสตราจารย์ภูตตัวน้อยอีกสองท่าน

เนื่องจากบรรพบุรุษของเขาเป็นก็อบลิน ศาสตราจารย์เคเซอร์จึงสูงเพียงหนึ่งร้อยสี่สิบเซนติเมตรเท่านั้น ดูสูงกว่าก็อบลินเลือดบริสุทธิ์แต่เตี้ยกว่ามนุษย์ปกติ

อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครเลือกปฏิบัติกับเขาด้วยเหตุผลนี้

อันที่จริง ในบรรดาอาจารย์ผู้สอนทั้งหมด เขาเป็นศาสตราจารย์ที่โด่งดังที่สุด หากวิชาเวทมนตร์พื้นฐานง่ายกว่านี้ เขาก็จะน่าได้รับความนิยมมากกว่านี้

เมื่อดาร์กพบศาสตราจารย์เคเซอร์ ก็เห็นว่าเขากำลังทำงานในสิ่งที่เด็กชายดูแล้วไม่เข้าใจในห้องปฏิบัติการ

“เดม่อน ทำไมเธอถึงมาที่นี่ล่ะ” ศาสตราจารย์เคเซอร์สังเกตเห็นเขาก่อน

ดาร์กถามด้วยความสงสัย “ศาสตราจารย์กำลังทดลองอะไรอยู่เหรอครับ?”

ศาสตราจารย์เคเซอร์ยิ้มอย่างมีชัยและเขย่าแยมฟักทองถังใหญ่ข้างหน้าอย่างแรง “ฉันกำลังเตรียม [แจ็คพัมพ์คิน] น่ะสิ!

ดาร์กครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรู้ตัว จากนั้นเขาก็ประหลาดใจ “เอ่อ ศาสตราจารย์ มันยังอีกตั้งเดือนกว่าจะถึงวันฮาโลวีนนะครับ!”

“ทำมันล่วงหน้าก่อน นั่นคือคติประจำใจของฉัน” ศาสตราจารย์เคเซอร์หัวเราะ

ดาร์กได้กุญแจห้องทดลองถัดไปจากศาสตราจารย์เคเซอร์อย่างง่ายดาย

ทั้งหมดเป็นเพราะความประพฤติที่ดีของดาร์ก เขาเป็นนักเรียนตัวอย่างในความคิดของอาจารย์ทุกคนอยู่แล้ว และอาจารย์ทุกคนก็ชอบในตัวเขามากกว่าเอ็มม่าเสียอีก

เมื่อดาร์กบอกศาสตราจารย์เคเซอร์ถึงจุดประสงค์ของการยืมห้องทดลอง คือเพื่อ ‘ฝึกสร้างการ์ดอารมณ์’ ศาสตราจารย์เคเซอร์ก็ให้กุญแจแก่เขาโดยไม่สงสัย และยังบอกอีกว่าต้องการที่จะแนะนำเขาในระหว่างการฝึกด้วย!

แน่นอนว่าดาร์กไม่ต้องการให้ศาสตราจารย์แนะนำ ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธด้วยการบอกว่าเห็นศาสตราจารย์กำลังยุ่งอยู่

พอมาถึงห้องทดลองถัดไป ดาร์กกดล็อกประตูแล้วเปิดตู้ทดลอง

แน่นอนว่ามันเต็มไปด้วยสิ่งของต่าง ๆ

แม้ว่าจะเป็นไอเทมพื้นฐานทั้งหมด แต่การสร้างการ์ดอารมณ์ไม่จำเป็นต้องใช้ของระดับสูงอะไรทั้งนั้น

ดาร์กนับมันอย่างละเอียดและหาทุกสิ่งที่เขาต้องการ เขาหยิบแผ่นตะแกรงจากด้านข้าง เอาส่วนประกอบจากตู้ห้องทดลอง จากนั้นจึงใส่ลงในไปแผ่นตะแกรงทีละชิ้น

ต่อไปก็ลองทำ [การ์ดขัดเกลาอารมณ์] ตามตำราเรียน

ดาร์กพลิกตำราไปหน้าที่อธิบายถึงวิธีการสร้าง วางมันลงบนโต๊ะ แล้วกดไว้ด้วยวัตถุขนาดเล็ก

จากนั้นเขาก็เริ่มปรุงยาเวทมนตร์!

น้ำยา [เสียงแห่งความสุข] สามารถทำให้ผู้คนหัวเราะได้หลังจากดื่มมันเข้าไป

น้ำยานี้ไม่ได้ทำให้ผู้คนมีความสุขจริง ๆ แต่มันสามารถแทนที่ ‘อารมณ์ที่มีความสุข’ และใช้เป็น ‘หมึก’ ได้

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องใช้หยดสมองวิเศษเพื่อส่งอารมณ์ลงไปในการ์ดเปล่าแล้ว ดาร์กสามารถใช้น้ำยานี้หยดลงบนการ์ดเวทมนตร์เปล่ากึ่งสำเร็จรูป แล้วปรับแต่งเพื่อสร้างการ์ดอารมณ์ใบใหม่ได้

เดิมที วิธีที่ง่ายที่สุดในการทำการ์ดอารมณ์คือการใช้น้ำยา ‘เสียงแห่งความสุข’

ดาร์กทิ้งน้ำยาและแทนที่ด้วย [อัตตา] โดยตรง

แต่เนื่องจากเป็นการทดลองจริงของ [การ์ดขัดเกลาอารมณ์] จึงจำเป็นต้องเริ่มด้วยการปรุงยา

โชคดีที่เขาได้เรียนรู้วิธีปรุงยาในชั้นเรียนปรุงยาแล้ว

เด็กชายใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในการทำน้ำยาสีเขียวอ่อนให้เหมือนกับที่ตำราเรียนกล่าวไว้ จากนั้นจึงเทลงไปใน ‘ขวดหมึก’

เสร็จแล้วจึงใช้ปากกาพลังเวทเพื่อดูดซับ ‘หมึก’ และทาผิวของการ์ดเมจิกเปล่าด้วยสีเขียวอ่อน

หลังจากนั้นก็นำส่วนประกอบต่าง ๆ มาต้มให้เป็นแป้ง และทาลงบนพื้นผิวของการ์ดเมจิก เมื่อผ่านการอบแห้งตามธรรมชาติก็ได้เป็นฟิล์มใสขึ้นมา

ต่อมาก็ทำตามขั้นตอน ดาร์กวาดวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลข 7 ขึ้นมาบนแผ่นฟิล์มใสก่อน แล้วจึงทำการปรับแต่งเบื้องต้นเพื่อให้น้ำยา ‘เสียงแห่งความสุข’ และการ์ดเมจิกหลอมรวมเข้าด้วยกันในตอนเริ่มต้น

จากนั้นเขาก็วาดวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลข 18 ที่ด้านหลังเพื่อสร้างกรอบล็อกพลังงานในการ์ดเมจิก

เมื่อเสร็จขั้นตอนนี้แล้ว ดาร์กก็วาดวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลข 21 หมายเลข 33 และหมายเลข 34 ลงไปพร้อม ๆ กันเพื่อสร้างวงจรพลังงาน เพื่อให้การ์ดเมจิกสามารถฟื้นตัวได้เองโดยอัตโนมัติหลังจากที่พลังเวทมนตร์หายไป

ในที่สุด เขาก็ใช้วงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลข 13 เพื่อปรับแต่งการ์ดเพิ่มเติม และวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์หมายเลข 9 เพื่อเพิ่มผลเอฟเฟกต์!

กระบวนการทั้งหมดค่อนข้างซับซ้อน และวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์แต่ละวงจะต้องทับซ้อนกันบางส่วน

ดาร์กไม่เพียงแต่จะต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์แต่ละวงทำงานได้อย่างถูกต้องเมื่อเปิดใช้งานการ์ด แต่ยังต้องตรวจสอบให้แน่ใจด้วยว่าวงแหวนขัดเกลาเวทมนตร์แต่ละวงจะไม่รบกวนผลของกันและกัน

แม้ว่าดาร์กจะฝึกฝนหลายครั้งในห้องสมุดเมื่อคืนนี้ แต่เขาก็ยังล้มเหลวในทันที

ทว่าเขาไม่ได้ท้อแท้และพยายามต่อไป จนในที่สุดเขาก็ประสบความสำเร็จ

“โอ้ พระเจ้า ฉันคิดว่าเธอกำลังทำการ์ดอารมณ์ง่าย ๆ เสียอีก!”

แม้ว่าดาร์กจะมั่นใจว่าล็อกประตูไว้แล้ว แต่ศาสตราจารย์เคเซอร์ก็ยังคงผลักประตูเข้ามาด้วยความประหลาดใจ ราวกับว่าไม่มีตัวล็อกเลย แถมยังมีฟักทองวางอยู่บนหน้าของเขาด้วย