บทที่ 326 วัดตราทมิฬ (2)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 326 วัดตราทมิฬ (2)

“อ้อ? ทางการไม่รับผิดชอบด้านความปลอดภัยหรือ” ลู่เซิ่งถามอย่างสงสัย

“แน่นอนว่ามีทัพอาทิตย์เจิดจ้ากับทัพยันต์อักขระมืด ยังมีกรมหยินหยาง แน่นอนว่าไม่ถึงรอบพวกเราหรอก แต่ตอนเจอปัญหาใหญ่ พวกเขามีสิทธิ์ขอให้พวกเราร่วมมือป้องกัน” ผู้อาวุโสจางซื่อหลงอธิบาย เขามีท่าทีเป็นมิตรต่อลู่เซิ่งถึงขีดสุด อย่างไรก็เป็นอัจฉริยะระดับสุดยอดที่มาจากเขตของตน หากแนะนำอัจฉริยะระดับนี้ขึ้นไปได้ นับว่าสายรองสำนักก็มีหน้ามีตาแล้ว

หนำซ้ำไม่ว่าอย่างไร ต่อจากนี้ลู่เซิ่งจะสำเร็จหรือไม่ ตอนนี้เขาก็เดินออกไปจากเขตจันทราสารท ล้วนเป็นคนบ้านเดียวกัน นี่ย่อมเกิดความรู้สึกเป็นพวกเดียวกันโดยธรรมชาติ

“ทัพอาทิตย์เจิดจ้า…” ลู่เซิ่งพึมพำ ทั้งสองเพิ่งจะพูดถึงเรื่องนี้ สี่แยกด้านหน้าก็มีทหารสวมเกราะอ่อนที่นั่งบนม้าสูงใหญ่กลุ่มหนึ่งค่อยๆ เดินมา

ผู้นำคือชายฉกรรจ์ร่างล่ำสันคนหนึ่ง เขาสวมเกราะอ่อนสีดำสนิท หมวกเกราะสองข้างมีเครื่องประดับเหมือนเขาติดอยู่ สะพายดาบโค้งขนาดยักษ์สองเล่มไว้ด้านหลัง ลักษณะของดาบโค้งนั้นมีความแปลกประหลาดอยู่บ้างเหมือนกับกิ่งหลิว มันสะท้อนแสงสีเงินใต้แสงอาทิตย์

“หยุด” ชายฉกรรจ์คนนั้นยกมือ พลางมองดูขบวนรถจากสำนักพันอาทิตย์เบื้องหน้า ให้ลูกน้องของตัวเองหยุดลง ก่อนจะมองดูขบวนรถผ่านไปจากด้านข้างตนเองเงียบๆ

ผู้อาวุโสจางซื่อหลงที่อยู่ข้างลู่เซิ่ง มุดหัวออกจากตัวรถแล้วพูดกับชายฉกรรจ์คนนั้นด้วยรอยยิ้มว่า “หัวหน้าหลี่ลำบากแล้ว อากาศร้อนๆ แบบนี้ยังต้องนำกลุ่มลาดตระเวนอีก”

“เป็นหน้าที่” ชายฉกรรจ์กล่าวอย่างราบเรียบ

จางซื่อหลงพยักหน้า

ขบวนรถผ่านกลุ่มลาดตระเวนไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังด้านในเมืองต่อ

ลู่เซิ่งพิจารณาชายฉกรรจ์คนนั้นอย่างละเอียด เอะใจถึงอะไรบางอย่าง

ชายฉกรรจ์คนนี้หายใจหนักหน่วง หัวใจเต้นเนิบช้า ร่างกายปลดปล่อยความร้อนที่รุนแรงออกมาตลอดเวลา

แม้อยู่ห่างออกมาสิบกว่าหมี่ เขาก็ยังได้ยินเสียงเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในร่างชายฉกรรจ์ผู้นั้น

“กายเนื้อแข็งแกร่งมาก!” เขาอึ้งไปเล็กน้อย แม้เทียบกับตนไม่ได้ แต่สามารถไปถึงระดับพันธนาการเหมือนกันได้โดยอาศัยแค่กายเนื้อ ต้าอินนี่เป็นสถานที่มังกรหมอบพยัคฆ์ซ่อนจริงๆ

“เจ้ามองออกหรือ” จางซื่อหลงยิ้ม ยืนอยู่ด้านข้างลู่เซิ่ง “คนผู้นี้คือหลี่จิงหลงหัวหน้าหลี่ที่รับผิดชอบความปลอดภัยในเขตจันทราสารทคนปัจจุบัน ขณะเดียวกันยังเป็นดวงดาวแห่งตะวัน ผู้โดดเด่นรุ่นหลังอย่างแท้จริงในกองทัพอาทิตย์เจิดจ้าของเขตจันทราสารทในวันนี้ด้วย”

คนผู้นี้มีพลังยุทธ์โดดเด่น นอกจากใต้เท้าโส่วเจียงซือถูในทัพอาทิตย์เจิดจ้าแล้ว เขาก็ถือว่าแข็งแกร่งที่สุด ไม่แน่ภายหลังเจ้ายังมีโอกาสได้ติดต่อกับเขาหลายครั้ง เพราะคนผู้นี้ชอบทำทุกอย่างด้วยตัวเอง แถมยังจงเกลียดจงชังเผ่ามารอีก แม้ตัวเขาเองจะมีสายเลือดครึ่งปีศาจก็ตามทีเถอะ

ลู่เซิ่งไม่รู้เหตุผล ได้แต่พยักหน้า

จางซื่อหลงยิ้มพลางกล่าวต่อ “อย่างน้อยเจ้าต้องอยู่ในเขตจันทราสารทอีกหลายปี ติดต่อไว้ก่อนก็มีข้อดีเหมือนกัน”

ลู่เซิ่งไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธ เขาไม่ได้วางแผนจะอยู่ที่นี่นาน เพียงแต่พอเห็นรอยยิ้มลึกลับบนใบหน้าของจางซื่อหลง เขาก็พอจะเดาออกว่าอีกฝ่ายอาจจะมีแผนการและวิธีการที่เขาไม่รู้อยู่

ขบวนรถมุ่งหน้าต่อไป ไม่นานก็มาถึงด้านหน้าวัดที่มีเสาควันสีเทาลอยขึ้นสองฟากข้าง

องครักษ์ที่คุ้มกันอย่างเข้มงวดยืนแยกกันเป็นสองแถวจนกลายเป็นทางผ่านร่างมนุษย์ที่ประตูวัด

ลู่เซิ่งลงจากรถเป็นคนแรกโดยมีผู้อาวุโสจางซื่อหลงเดินนำหน้าไปด้านใน

พอเข้าไปในวัด พระที่อยู่ด้านในก็พากันเดินออกมาโค้งตัวคำนับลู่เซิ่งและจางซื่อหลง จางซื่อหลงไม่ได้สนใจ เร่งฝีเท้าลากลู่เซิ่งเดินผ่านเส้นทางนี้เข้าไปด้านในตัววัด

ด้านหลังพวกเขาคือคนที่จะเข้าไปในเขตลับด้วยกัน

ครั้นเข้าไปในวิหารใหญ่ของวัด ผู้ทดสอบทั้งหมดห้าคนซึ่งแบ่งเป็นชายสามหญิงสองก็เข้าแถวอยู่กลางวิหารวัดแล้ว

วัดแห่งนี้ไม่ได้บูชาพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ หากเป็นดอกบัวสีดำที่มีดวงตาหนึ่งข้าง

ดอกบัวดำขนาดยักษ์เหมือนกับชามใบใหญ่ ตรงกลางแยกออกเป็นดวงตาแนวตั้ง ม่านตาสีขาวตัดดำด้านในมีสายตาประหลาดที่มองทุกสิ่งด้านหน้า

“อู เชียง เกอ ฮา เกอ ลา…” ประตูวิหารค่อยๆ ปิดลง ไม่ทราบว่ามีเสียงตะโกนแปลกประหลาดดังมาจากที่ไหน เหมือนกับมีพระหลายรูปกำลังตะโกนอยู่

หลังจากจางซื่อหลงกำชับขั้นตอนดำเนินการต่อจากนี้กับลู่เซิ่งเสร็จ ก็อาศัยจังหวะที่ประตูสำริดยังไม่ปิดพาคนออกไปก่อน ในวิหารเหลือแค่อัจฉริยะห้าคนที่จะเข้าสู่เขตลับ

ครืนๆ…

ประตูวิหารปิดงับลงอย่างเชื่องช้า

ตึง

สุดท้ายร่องประตูก็ปิดลงโดยสมบูรณ์ ทุกอย่างเงียบสงัด วิหารตกสู่ความมืดมิด

ลู่เซิ่งยืนเงียบๆ อยู่กับที่ หันหน้าหาดอกบัวดำที่อยู่ตรงหน้า

ผ่านไปสิบกว่าอึดใจ

ครืนๆ…

ประตูวิหารค่อยๆ เปิดออกอีกครั้ง แสงจากด้านนอกสาดส่องเข้ามา ถึงกับกลายเป็นสีเหลืองมัวซัวโดยสมบูรณ์

ท้องฟ้าที่เมื่อครู่ยังอยู่ในช่วงเช้าตรู่ แค่ประตูสำริดของตัววิหารปิดและเปิด ก็กลายเป็นแสงในยามสนธยาไปแล้ว

ลู่เซิ่งมองดูสี่คนที่เหลืออยู่ด้านข้างตัวเอง พวกเขาต่างก็ตาเป็นประกาย ก่อนจะพากันไปพิจารณาประตูสำริดที่เปิดออกด้านหลัง

ด้านในประตูเป็นตัวลานเก่าแก่ที่ทรุดโทรมผุพัง ยังคงเป็นลานกว้างของวัด ทว่าไม่ได้สะอาดเอี่ยมอ่องเหมือนเมื่อก่อนหน้า ตัวลานในตอนนี้เกลื่อนไปด้วยใบไม้แห้งสีดำ หยากไย่ อิฐที่แตกร้าว ท่อนซุงแห้ง และสีน้ำมันสีแดงที่กลายเป็นสีเหลืองจนแทบหลุดร่วงลงมา

ฟิ้ว…

ลมที่เย็นจนเสียดกระดูกพัดเข้ามา ทั้งหนาวเหน็บทั้งเงียบเชียบ

ลู่เซิ่งหันไปมองรูปสลักบัวสีดำตาเดียวที่สูงใหญ่ ดวงตาข้างเดียวตรงกลางดอกบัวเหมือนกับเปล่งแสงสีแดงอ่อนๆ

“ที่นี่คือเขตลับ พวกเราจำเป็นต้องผ่านการทดสอบและการประเมินครั้งที่สอง ทุกท่านมีคำแนะนำอะไรดีๆ หรือไม่” สตรีที่ถักเปียคนหนึ่งถามด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร สำเนียงของนางไม่เหมือนคนท้องถิ่นในเขตจันทราสารท การออกเสียงภาษาทางการในต้าอินของนางเป็นมาตรฐานเกินไป ไม่ติดสำเนียงท้องถิ่นแม้แต่น้อย คนพูดได้ฟังชัดแบบนี้ส่วนใหญ่มักจะมาจากที่อื่น

“ขอข้าแนะนำตัวก่อน ข้าชื่อหมาซางจิว ได้รับการประเมินระดับหยกสีขาว” นางไม่นับว่างามนัก แต่บุคลิกที่แค่มองก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นกลับได้รับความเชื่อใจจากคนทั่วไปได้อย่างง่ายดาย

“สถานที่แห่งนี้น่าจะเป็นมุมใดมุมหนึ่งของโลกด้านนอก ถ้าไม่ใช่พิภพมาร ก็เป็นที่อื่น ความสามารถของสาขาสำนักช่างเลิศล้ำโดยแท้! แค่การทดสอบในนครเขตก็ลงทุนถึงขนาดนี้แล้ว” บุรุษหนุ่มผมยาวสีเหลืองอีกคนหนึ่งถอนใจชมเชย “พวกท่านเรียกข้าว่าซ่งตูก็ได้ ได้รับการประเมินระดับหยกสีขาว พวกเราดูท่าทางจะถูกส่งมายังโลกใบอื่นชั่วคราว เกณฑ์เพียงหนึ่งเดียวในการผ่านการทดสอบดูเหมือนจะเป็นการข้ามอุปสรรคต่างๆ และหาวิธีออกจากวัด”

“คุณชายซ่งตูเข้าใจเรื่องต่างๆ ดีทีเดียว” สตรีบุคลิกเย็นชาอีกคนกล่าวอย่างราบเรียบ

“พอใช้ได้ ครั้งก่อนพี่ชายข้าก็ผ่านการทดสอบแบบนี้เช่นกัน ก่อนจะมาเขาได้กำชับเหตุการณ์ต่างๆ ที่อาจโผล่มากับข้าไว้แล้ว ถ้าหากเขตลับนี้มีคนรู้เรื่องนำทาง ย่อมสำเร็จได้โดยง่าย ทั้งยังพบเจออันตรายน้อยลง” ซ่งตูกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“แต่ว่า พวกเราแค่ทดสอบครั้งเดียวก็ถูกส่งมาโลกด้านนอกเลยหรือ ออกจะลงทุนไปหรือไม่” บุรุษคนสุดท้ายดูเหมือนชายฉกรรจ์ร่างกำยำที่ท่าทางซื่อๆ เขาถามเรื่องที่ตนเองสงสัยด้วยเสียงกังวาน

นี่ความจริงเป็นเรื่องที่ลู่เซิ่งสงสัยเช่นกัน

“อันตรายหรือ” ซ่งตูหัวเราะพรวด “ท่านคิดว่าอัจฉริยะคืออะไร อัจฉริยะของต้าอินไม่ใช่อัจฉริยะโดยคุณสมบัติเท่านั้น แต่เป็นอัจฉริยะในทุกๆ ด้านทั้งทางคุณสมบัติ ศักยภาพ พลัง และนิสัย! อัจฉริยะที่แท้จริงต่อให้เผชิญสภาพจนตรอก ก็สามารถสร้างปาฏิหาริย์ พลิกสถานการณ์ได้ เป็นผู้ที่ทำในสิ่งที่คนทั่วไปทำไม่ได้ นี่จึงเป็นอัจฉริยะ! ถ้าหากเป็นอัจฉริยะที่ถูกฆ่าง่ายๆ อย่างนั้นก็ไม่เรียกว่าอัจฉริยะ แต่เรียกว่าสวะ”

ไม่มีอัจฉริยะถูกฆ่าง่ายๆ อย่าลืมว่าพวกเรากำลังต่อสู้กับพิภพมาร ถ้ารับมืออันตรายแค่นี้ไม่ได้ อย่างนั้นก็กลับไปทำลูกที่บ้านเถอะ อย่ามาทำตัวให้ขายหน้าเลย” ซ่งตูพูดจนชายฉกรรจ์คนนั้นหน้าแดงหูแดง แต่กลับเถียงไม่ออก

“ถึงคุณชายซ่งจะกล่าววาจาหยาบคายไปบ้าง แต่ก็สมเหตุสมผล สหายหวังอย่าได้โกรธเคือง” สตรีเย็นชาแก้ตัวให้ซ่งตูเบาๆ

“ไม่เป็นไร…ข้าเพียงแค่งงเท่านั้น ไม่ได้กลัว” ชายฉกรรจ์คนนั้นอธิบาย

“อย่างนั้นตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไร” หม่าซางจิ่วถามซ่งตูเบาๆ

“นี่คือวัดตราทมิฬ ไม่รู้ว่าใช่ของจริงหรือไม่ วัดที่พวกเราเข้ามาเป็นแค่ภาพฉายเงาที่เลียนแบบขึ้นเท่านั้น แต่ข้าจำได้ว่าวัดตราทมิฬมีจุดพิเศษที่โดดเด่นที่สุดตรงที่ทุกๆ หนึ่งชั่วยามจะมีคนตีระฆังกลางคืนเพื่อกำจัดสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในวัดทั้งหมด หลังจากครั้งแรก ความเร็วของคนตีระฆังจะยังธรรมดา พวกเราแค่ระวังตัวเล็กน้อย ไม่ไปเจอหน้ากับมันก็พอ ครั้งที่สองต้องระวังตัวให้มากไว้ ความเร็วของคนตีระฆังจะเพิ่มขึ้นอย่างใหญ่หลวง สัตว์ประหลาดชนิดนี้เป็นอมตะ ไม่ว่าจะฆ่ากี่ครั้งก็ไร้ประโยชน์” ซ่งตูอธิบายอย่างละเอียด “เป้าหมายสุดท้ายของเราคือมุ่งหน้าไปตีระฆังนรกกลางวัดก่อน จากนั้นค่อยเปิดประตูวัดออกไปจากที่นี่ ดังนั้นพวกเราต้องล่อสัตว์ประหลาดตนนั้นไว้”

“หมายความว่าทางที่ดีที่สุดพวกเราควรเคลื่อนไหวด้วยกันหรือ” หม่าซางจิวถามเสียงนุ่มนวล

“เป็นเช่นนั้น” ซ่งตูพยักหน้า

“ขอแค่ออกจากวัดนี้ก็พออย่างนั้นหรือ” ในที่สุดลู่เซิ่งก็เปิดปากแล้ว “ข้าลู่เซิ่ง ได้รับการประเมินระดับหยกสีชาด”

“หยกสีชาด…” พอกล่าวออกไป คนสี่คนที่เหลืออดเพ่งสายตาบนร่างลู่เซิ่งไม่ได้

พวกเขาที่อยู่ในระดับหยกสีขาวล้วนรู้จักความเหี้ยมหาญของการประเมินระดับหยกสีชาดดี กล่าวได้ว่าในการทดสอบที่แล้วมาของเขต นอกจากระดับหยกสีดำอันเป็นระดับสูงสุด หยกสีชาดถือว่าแข็งแกร่งที่สุด วันหน้าขอแค่อัจฉริยะแบบนี้ไม่ตาย จะต้องกลายเป็นสาขาย่อยของเขตที่มีระดับสูงกว่าหรือของแคว้นเป็นแน่ แทบจะถือได้ว่าเป็นผู้เข้มแข็งระดับปฐมปฐพีในอนาคตอย่างแน่นอน

“…ในเมื่อ…ในเมื่อเป็นศิษย์พี่ที่ได้การประเมินระดับหยกสีชาด…อย่างนั้นสิทธิ์บัญชาการในครั้งนี้…” เสียงของซ่งตูแห้งฝืดอยู่บ้าง

“ทุกคนตามสบาย” ลู่เซิ่งพูดอย่างเรียบเฉย ยกกระดาษในมือขึ้น “ตีระฆังนรกก่อน จากนั้นก็หนีจากการคุกคามและไปจากวัดตราทมิฬอย่างราบรื่น บนนี้บอกไว้หมดแล้ว เวลาจำกัดคือหกชั่วยาม”

ทั้งสี่คนค่อยพบว่ามีกระดาษแผ่นหนึ่งโผล่มาในฝ่ามือตนตอนไหนก็ไม่ทราบ ด้านบนเขียนเป้าหมายของภารกิจในครั้งนี้ไว้อย่างชัดเจน

หนำซ้ำประโยคสุดท้ายยังบอกว่า ต้องดำเนินการคนเดียว รวมกลุ่มไม่ได้

ในวิหารเงียบงันอยู่ชั่วขณะ

หลังจากเงียบอยู่สักพัก ลู่เซิ่งก็เดินออกจากวิหารมาเป็นคนแรก คร้านจะสนใจคนอื่นๆ

ต่อจากนั้นจึงเป็นซ่งตู หม่าซางจิ่ว รวมถึงอีกสองคนที่เหลือ

ทั้งห้าคนตั้งใจแยกกัน ในเมื่อเป็นการปฏิบัติการคนเดียว อย่างนั้นก็ต้องทำตามกฎ ไม่อย่างนั้นก็ไม่อาจผ่านการทดสอบ แม้จะแสดงผลงานได้ดีเพียงใดก็ไม่มีประโยชน์

ท้องฟ้าด้านนอกวิหารเป็นสีเหลืองมัวซัว เต็มไปด้วยชั้นเมฆก้อนหนาสีเหลืองเข้ม เมฆที่พลิกตัวเหมือนกับเอื้อมมือไปก็คว้าถึง พร้อมจะกดตัวลงมาทุกเวลา

บนกำแพงด้านในตัวลานเต็มไปด้วยรอยเลือดสีดำเข้ม กระดูกที่แตกร้าวส่วนหนึ่งกองสุมอยู่ตรงมุมกำแพง แยกแยะไม่ออกว่าเป็นกระดูกมนุษย์หรือไม่ ต้นไม้ที่ดำเกรียมหลายต้นตั้งเอียงอยู่ตรงลาน เศษผ้าลักษณะเหมือนชุดที่คนสวมใส่ส่วนหนึ่งตกกระจายอยู่ตรงโคนต้น

ลู่เซิ่งยืนอยู่ตรงกลางลานพลางกวาดตาไปรอบๆ

“ที่นี่คือเขาวงกต ไปจากตรงนี้!” ซ่งตูพุ่งผ่านหลังเขาไปด้วยความเร็วสูงโดย กระโดดปราดออกไปจากซุ้มประตูทางขวามือ “เร็วเข้า! เป็นไปได้มากว่าที่นี่จะมีอันตราย ห้ามสู้กับคนอื่นๆ หลีกเลี่ยงการต่อสู้ให้มากที่สุดเพื่อประหยัดพลังกายเอาไว้!”

คนอื่นๆ พากันพุ่งออกจากประตูตามไป ไม่นานก็หายลับไปจากสายตา

ลู่เซิ่งยืนอยู่ตรงกลางลานคนเดียวพร้อมกับสอดส่ายสายตาไปทั่ว จากนั้นก็ค่อยๆ ชักดาบออกมาจากด้านหลัง

ตูม!

ประกายดาบสาดขึ้น เกิดเสียงเหมือนกับพายุ กระแสดาบสีขาวอมเทาที่เหมือนกับพายุพัดออกมา

กำแพงด้านหน้าของตัวลานถล่มลงในฉับพลัน เกิดเป็นช่องว่างขนาดใหญ่ช่องหนึ่ง

ลู่เซิ่งถือดาบเดินเนิบนาบออกจากช่องไป มุ่งหน้าไปยังทิศทางที่ระบุไว้บนกระดาษอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหายไปท่ามกลางฝุ่นละอองที่ตลบขึ้น

หลังจากพวกเขาจากไปได้ไม่นาน พระสวมจีวรสีดำที่ตาบอดและมีเลือดไหลลงมาจากหางตาหลายคนก็ก้มหน้าพนมมือพลางเร่งฝีเท้าเดินออกมาจากในวิหาร

พระสงฆ์แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม จากนั้นก็ไล่ตามไปยังทิศทางของช่องว่างบนกำแพงและซุ้มประตู

……………………………………….