ตอนที่ 21 ระลอกคลื่นที่ถาโถม

เกิดใหม่เป็นสาวน้อยชนบท [特工狂妃:农妇山权有点田

บทที่ 21 ระลอกคลื่นที่ถาโถม

พ่อเฒ่าซูหมุนตัวเดินไปยังห้องของฮวงชุ่นเจิน ชายชราค้นตู้ทุกใบและพบกับข้าวโพดจำนวนมากที่ยังไม่ได้ปอกเปลือกซ่อนอยู่ในกล่องแต่งหน้าของนาง ใต้เตียงก็ยังมีกองกระสอบข้าวจำนวนมากซ่อนอยู่อีกด้วย!

สิ่งที่พ่อเฒ่าซูค้นเจอทำให้เขาโมโหยิ่ง เป็นไปได้อย่างไรกันที่ธัญพืชและข้าวเหล่านี้จะเหมือนกันกับเสบียงภายในบ้านเขาถึงขนาดนี้ ขณะที่ชายชรากำลังจะผละตัวไปดูยังยุ้งฉาง แม่เฒ่าเจี๋ยก็วิ่งเข้ามาและพูดด้วยสีหน้าที่แตกตื่น “ตาเฒ่า! พืชพันธุ์อาหารในยุ้งฉางของเราหายไปหมดเลย ไม่รู้ว่าใครขโมยมันไป!”

พ่อเฒ่าซูตกใจเพราะไม่รู้ว่าแม่เฒ่าเจี๋ยจะลุกขึ้นมาในตอนนี้ เขาไม่ได้สนใจจะถามไถ่อาการของภรรยา ทว่ากลับลากนางไปที่ยุ้งฉางเพื่อดูให้เห็นกับตาว่าสิ่งที่พูดเป็นความจริงหรือไม่

ฮวงชุ่นเจินที่ยืนเงียบ ๆ ถึงกับหน้าซีดตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว

ละแวกนี้ก็มีธัญพืชมากมาย ทว่าบังเอิญเสียเหลือเกินที่ข้าวทั้งหมดหายไป ทว่าเดี๋ยวก่อนนะ!! อย่าบอกนะว่า…ไม่ใช่ว่าข้าวของที่ซ่อนอยู่ในห้องของนางจะบังเอิญเป็นของที่หายไปจากยุ้งฉางของพ่อเฒ่าซูหรอกนะ…

แค่คิดฮวงชุ่นเจินก็กลัวจนตัวสั่นระริก

หากอธิบายออกไปผู้เฒ่าทั้งสองต้องไม่ยอมฟังแน่ และถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป นางต้องตายกลายเป็นศพแน่ ๆ!!

ฮวงชุ่นเจินตกอยู่ในอาการผวารีบวิ่งไปเก็บข้าวของเพื่อหนีออกจากที่นี่ ทว่าเมื่อเปิดหีบเสื้อผ้ากลับพบว่าเสื้อผ้าจำนวนหนึ่งของนางหายไป! นางรีบหยิบเสื้อผ้าออกมาจากหีบและพบว่าด้านในนั้นเต็มไปด้วยขี้หนูเต็มไปหมด นางสะบัดขี้หนูออกแล้วยัดเสื้อผ้าลงถุงผ้า เมื่อเก็บของเสร็จนางก็ไม่ลืมที่จะหยิบเงินจำนวนหนึ่งที่แอบซ่อนเอาไว้ติดด้วย

ฮวงชุ่นเจินวิ่งไปถึงหน้าประตูพลันได้ยินเสียงพ่อเฒ่าซูตะโกนใส่นางราวกับรู้ว่านางกำลังจะทำอะไร “ฮวงชุ่นเจินหยุดเดี๋ยวนี้นะ!”

เมื่อหันกลับไปมองก็พบเฒ่าซูวิ่งตามตนมา ในมือของชายชราถือไม้ไผ่ด้ามยาวเอาไว้หวังสั่งสอนลูกสะใภ้ไม่รักดี

นะ..นั่นมันฆ่ากันได้เลยนะ เขากะจะเอาถึงถึงตายเลยหรือไง?

คิดว่าแค่นี้จะหยุดนางได้หรือ! ไม่มีทาง!

ฮวงชุ่นเจินไม่สนใจคำของพ่อสามี นางรีบวิ่งไปที่ทางเข้าหมู่บ้านโดยใช้ทางเดินเล็ก ๆ ลัดเลาะผ่านภูเขาเพราะมีที่หลบซ่อน เพื่อให้ยากแก่การตามหา พ่อเฒ่าซูที่แก่มากแล้วจึงไม่มีแรงพอจะวิ่งตามฮวงชุ่นเจิน เขายืนหอบหายใจ ปากก็ยังสถบด่าลููกสะใภ้ไม่หยุด

“ให้ตายเถอะ!! นังตัวดี! เหอะ…วิ่งหนีเข้าไปเถอะ หนีให้รอดแล้วกัน ข้าเจอตัวเจ้าเมื่อใดเจ้าตายแน่!” พูดจบพ่อเฒ่าซูก็เขวี้ยงไม้ลงกับพื้นด้วยความโมโห

“….”

ซูหวานหว่านที่ออกมาขุดผักในป่าให้ครอบครัว ก็ได้ยินจากพวกหนูว่าที่บ้านตระกูลซูเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น นางนึกขำอยู่ในใจ พวกเขาคงจะไม่มาที่บ้านของนางอีกนาน ครั้งหน้าหากเข้าเมืองไปคงจะต้องซื้อพวกเมล็ดแตงโมแห้งมาเก็บไว้เยอะ ๆ เสียแล้ว เพื่อเป็นรางวัลแก่พวกหนูน่ารักที่ทำผลงานได้อย่างน่าพอใจ

ซูหวานหว่านที่ขุดผักป่ามากพอแล้วจึงมุ่งหน้ากลับไปที่บ้าน ระหว่างทางนางสังเกตเห็นต้นหลิวต้นใหญ่ ด้านข้างมีบ้านหลังหนึ่งและแปลงผักที่ปลูกอยู่ไกล ๆ

บ้านหลังเล็กข้างต้นหลิว…

ชายผู้นั้น!

ซูหวานหว่านเดินตรงไปยังกระท่อมหลังนั้นอย่างไม่ลังเล

ซูหวานหว่านสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปเคาะประตูเบา ๆ ทว่าประตูบานนั้นกลับเปิดออกคงเป็นเพราะประตูบานนั้นไม่ได้ลงกลอนเอาไว้

ซูหวานหว่านสอดส่องสายตาเข้าไปสำรวจด้านใน ภายในนั้นมีเพียงโต๊ะน้ำชากับเก้าอี้ไม้สองสามตัว มีเตียงไม้หลังเล็ก ๆ หนึ่งหลัง ข้าง ๆ กันมีชายหนุ่มรูปงามกำลังนั่งเขียนบางอย่างอยู่ที่มุมห้อง ท่าทีของเขาดูนิ่งสงบและจดจ่อกับงานตรงหน้าจนไม่ได้สังเกตเห็นผู้มาเยือน

ซูหวานหว่านตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปและเดินไปหยุดลงข้าง ๆ ชายหนุ่ม นางสังเกตว่าไม่มีหมึกในแท่นฝนหมึกแล้ว เด็กสาวจึงคิดอยากจะช่วยเขาฝนมัน ทว่าอีกใจก็ไม่อยากจะส่งเสียงรบกวนเขาจึงเลือกที่จะยืนอยู่เงียบ ๆ แทน

ซูหวานหว่านยืนมองฉีเฉิงเฟิงจรดปลายพู่กันลงบนกระดาษ เขาค่อย ๆ ลากปลายพู่กันเพื่อร่างโครงร่างของทิวทัศน์ทีละน้อย จนรูปวาดที่ชายหนุ่มวาดเริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น

ทุกการกระทำของฉีเฉิงเฟิงถูกจับจ้องด้วยดวงตาคู่สวยของซูหวานหว่าน นางลอบมองชายหนุ่มเงียบ ๆ ด้วยความชื่นชมและเผลอไผล

ซูหวานหว่านเฝ้ามองดูเขาอยู่สักพัก จู่ ๆ น้ำเสียงอ่อนหวานของเด็กสาวคนหนึ่งก็ดังขึ้นจากหน้าประตู “ท่านพี่เฉิงเฟิง เกรงว่าข้าต้องรบกวนท่านอีกแล้ว ได้โปรดช่วยข้าเขียนจดหมายถึงท่านลุงของข้าที ข้าไม่รู้ว่าจะไปพึ่งใครที่ใดแล้ว”

น้ำเสียงดัดจริตแบบนี้นี่มันคุ้น ๆ คล้ายเสียงของฮวงอี๋ฮวน

ซูหวานหว่านหันไปทางต้นเสียงที่ได้ยินและก็พบกับเจ้าของเสียง ซึ่งก็เป็นคนเดียวกับที่นางคิดไว้จริง ๆ!

ซูหวานหว่านมองฮวงอี๋ฮวนที่มีผ้าคลุมปิดหน้าอยู่ด้วยรอยยิ้ม “ข้ามิยักรู้ว่าเจ้ามีลุงกับเขาด้วย…”

ความจริงพ่อของฮวงอี๋ฮวนมีแค่น้องชายและน้องสาวอย่างละคนเท่านั้น แล้วลุงที่นางพูดถึงมาจากไหนกัน… แต่ไม่ว่าครอบครัวของนางจะมีใครบ้าง ทุกคนในตระกูลฮวงก็ล้วนแต่นิสัยเสียเหมือนกันทั้งนั้น

“เหตุใดข้าถึงจะไม่มีท่านลุงล่ะ เขาเป็นญาติห่าง ๆ ของข้า ถึงแม้ว่าจะเป็นลุงที่เป็นญาติห่าง ๆ เขาก็ยังคงเป็นท่านลุงของข้าอยู่ดี!” ฮวงอี๋ฮวนตอบอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาและพบว่าคนที่นางกำลังคุยด้วยนั้นคือซูหวานหว่าน

ทันทีที่เห็นซูหวานหว่าน เด็กสาวก็เกิดอารมณ์เสียขึ้นมาทันที “ซูหวานหว่านเจ้ามาทำอะไรที่นี่! นังผู้หญิงน่าเกลียด อย่ามายุ่งย่ามทำให้ท่านพี่เฉิงเฟิงของข้ารำคาญนะ!”

ซูหวานหว่านมองใบหน้าที่ถูกคลุมผ้าไว้ของฮวงอี๋ฮวนอย่างไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางต้องปิดบังใบหน้าของตนเอาไว้ ถ้าจะให้เดา…คงเป็นเพราะว่าใบหน้าของฮวงอี๋ฮวนมีรอยฝ่ามือของนางและป้าหวังประดับอยู่แน่ ๆ นางเลยต้องคลุมหน้าเสียมิดชิดขนาดนั้น

หากเป็นเช่นนั้นจริงก็เป็นเรื่องน่าขัน ฮวงอี๋ฮวนกล้าบอกว่านางน่าเกลียดโดยไม่ดูสารรูปด้วยเองเลยสักนิด ซูหวานหว่านคิดว่าคนที่น่าเกลียดจริง ๆ คือคนที่คลุมหน้าอยู่นั่นแหละ!

“หากบ้านเจ้ามีกระจกก็หัดส่องกระจกซะบ้างนะ จะได้รู้ว่าเวลานี้ใครกันแน่ที่น่าเกลียด!” ซูหวานหว่านพูดอย่างไม่พอใจ

“พวกเจ้าหยุดเถียงกันเสียทีเถอะ!” ฉีเฉิงเฟิงที่ถูกกวนเวลาโดยเด็กสาวทั้งสองจึงวางพู่กันลงอย่างหมดความอดทน และเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ “แม่นางฮวง…วันนี้ข้าไม่ว่าง เอาไว้วันหลังเถิด”

ฮวงอี๋ฮวนไม่พอใจกับคำตอบของชายหนุ่ม “ท่านพี่ ทำไมท่านไม่ว่างล่ะ ข้าอุตส่าห์มาหาท่านด้วยความยากลำบาก… ”

ฮวงอี๋ฮวนพูดแสร้งบีบน้ำตา

ซูหวานหว่านมองน้ำตาที่ไหลออกจากตาของฮวงอี๋ฮวนด้วยความทึ้ง นางเก่งมาก…แสดงเก่งมาก! เหมือนกับอาสาวของนางไม่มีผิด!!

“ต้องขออภัยด้วย แต่นี่ก็ดึกมากแล้วข้าเกรงว่ามันจะดูไม่งามหากชายหญิงอยู่ด้วยกันในเวลานี้” ฉีเฉิงเฟิงกล่าวโดยไม่ได้มองนางเลยแม้แต่น้อย

ซูหวานหว่านได้ยินที่ชายหนุ่มพูดก็นึกถึงเรื่องราวฉาวโฉ่ของตนที่ชาวบ้านลือกัน แต่ชั่วครู่นางก็ยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ก็แค่คำนินทาของคนอื่นทำไมต้องสนใจด้วยล่ะ

“เจ้าจะยืนบื้ออยู่ทำไม…ท่านพี่ก็เอ่ยออกมาแล้วว่ามันจะดูไม่งามหากชายหญิงอยู่ห้องร่วมกัน คนอย่างเจ้าจะทำให้ท่านพี่ฉีเสื่อมเสียเอาได้” ฮวงอี๋ฮวนพูดในขณะที่เดินไปที่ประตู ทว่าซูหวานหว่านเฉยเมยและไม่ใส่ใจกับคำพูดของนางเลยแม้แต่น้อย

“ถ้าหากเจ้าอยากจะไปก็ไป ไม่ต้องมายุ่งเรื่องของข้า ชื่อเสียงของข้าไม่ดีมาตั้งแต่แรกแล้ว อีกอย่างนี่ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเจ้า ข้าไม่สนใจเรื่องพวกนั้นหรอก ชื่อเสียงของข้าแย่อยู่แล้วหากมีเรื่องแย่อีกเรื่องก็เกรงว่าจะไม่เป็นไร” ซูหวานหว่านที่ไม่ได้ขยับร่างกายตอบกลับฮวงอี๋ฮวนอย่างยียวน

“เจ้า!” ตามปกติแล้วเวลาฮวงอี๋ฮวนโมโหจะตะคอกซูหวานหว่านกลับมาอย่างไม่ยอมความ ทว่านี่นางกลับนิ่งเฉยสงบเสงี่ยมผิดจากนิสัยเดิมของนาง “งั้นก็ตามใจเจ้าเถอะ ข้าเพียงแต่อยากจะเตือนเจ้าด้วยความหวังดี หากเจ้าจะคิดเช่นนั้นก็เอาเถอะ…ข้าคงห้ามอะไรไม่ได้ แต่ตัวของข้านั้นหวงศักดิ์ศรีของตนเองเหนือสิ่งอื่นใด”

“หึ!” ซูหวานหว่านหัวเราะออกมาอย่างไม่ปิดบัง ฮวงอี๋ฮวนผู้น่าสงสาร นี่เจ้าไม่เคยรู้เลยหรือว่าผู้คนเขาพูดถึงเจ้าว่าอย่างไรกันบ้าง ชาวบ้านที่รู้จักหน้าตาของฮวงอี๋ฮวนได้แต่ย้ำเตือนลูกชายของพวกเขาว่าอย่าได้ไปแต่งงานกับผู้หญิงแบบนี้ ถ้าเป็นลูกผู้หญิงพวกเขาก็จะสอนให้อ่อนโยนสำรวมและอย่าทำตัวเยี่ยงฮวงอี๋ฮวนเป็นอันขาด

“ในฐานะเป็นสตรีเช่นเดียวกับเจ้า ข้ารู้ดีว่าความนุ่มนวลและอ่อนโยนของหญิงสาวนั้นเป็นอย่างไร ไม่เหมือนกับคนอย่างเจ้า” ฮวงอี๋ฮวนพูดพร้อมลูบดอกไม้บนหัว ซูหวานหว่านที่มองการกระทำของฮวงอี๋ฮวนแล้วได้แต่หัวเราะด้วยความหมั่นไส้

“ถ้าหากเจ้าทราบเช่นนั้นแล้ว ได้โปรดกลับไปเสียเถิด” ฉีเฉิงเฟิงยืนขึ้นก่อนจะเดินไปปิดประตูใส่หน้าฮวงอี๋ฮวน จากนั้นเขาก็หันมาหาซูหวานหว่านเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่จู่ ๆ เขาก็ผลักซูหวานหว่านชิดกำแพง ทำให้ใบหน้าของชายหนุ่มอยู่ในระดับเดียวกับซูหวานหว่าน ลมหายใจอุ่น ๆ ของเขาพ่นรดแก้มของหญิงสาวอย่างแผ่วเบา การกระทำเช่นนี้ของชายหนุ่ม ทำให้หัวใจของเด็กสาวเต้นระรัว

“นะ..นี่เจ้ากำลังจะทำอะไรน่ะ!?” ซูหวานหว่านถามชายหนุ่มขณะที่ใบหน้าแดงระเรื่อ

ฉีเฉิงเฟิงที่ตั้งสติได้จึงรีบผละออกไปจากตัวซูหวานหว่าน “ข้าเหมือนจะเหยียบบางอย่างเข้าแล้วลื่น …ต้องขอโทษเจ้าด้วยสำหรับการกระทำที่ไม่งามเช่นนี้”

“เจ้าบ้า!! คิดว่าข้าจะเชื่อเจ้าหรือไง!” ซูหวานหว่านมองฉีเฉิงเฟิงด้วยความโกรธจัด ก่อนจะก้มมองไปที่เท้าของตนและพบว่าชายหนุ่มเพิ่งเตะเปลือกแตงโมที่อยู่ที่ตรงเท้าของนางออกไป

อ่า…เขาลื่นจริง ๆ สินะ…

ซูหวานหว่านไม่รอช้าแก้เขินด้วยการเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว นางหยิบตราไม้ออกมาแสดงให้ฉีเฉิงเฟิงดู “ข้างในมีเงินอยู่ 1,000 ตำลึง เจ้าสามารถนำเจ้าตราไม้นี่ไปแลกที่ร้านแลกตั๋วเงินได้เลย”

“ขอบใจ” ฉีเฉิงเฟิงพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ แต่เหมือนกับเขานึกอะไรบางอย่างออก จึงถามขึ้นให้ชัดเจนอีกครั้งว่า

“เจ้าพูดว่าอะไรนะ ข้างในมีเงินทั้งหมดเท่าไรนะ?”