ตอนที่ 135-4 เครื่องหอมสะกดจิตระลึกความทรงจำในอดีตชาติ

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

เมื่อเห็นเขาก้มศรีษะลง สายตาพร่ามัว สัมฤทธิ์ผลแล้ว! อวิ๋นหว่านชิ่นบีบจมูกไว้ แล้วกล่าวถามอย่างเชื่องช้าว่า “เจ้ามีภรรยาอยู่คนหนึ่ง นางคือหว่านชิ่นแห่งสกุลอวิ๋น บุตรสาวคนโตของรองเจ้ากรมอวิ๋นแห่งกรมทหาร แต่งเข้าสกุลเจ้า เมื่อตอนอายุสิบห้า ใช่ไหรือไม่”

 

 

ในชาติที่แล้วตอนแต่งเข้าจวนโหว ท่านยังอยู่ในตำแหน่งรองเจ้ากรม

 

 

“ใช่” ชายหนุ่มหายใจอย่างเสมอ เสมือนราวกับอยู่ในห้วงนิทรา แต่สายตาของเขากลับจับจ้องอยู่ที่พื้นตรงหน้า

 

 

แม้จะสรุปได้ตั้งแต่ต้นแล้ว แต่อวิ๋นหว่านชิ่นก็ยังรู้สึกครั่นคร้ามในใจเมื่อได้ยินมู่หรงไท่กล่าวออกจากปากของเขาด้วยตนเอง เป็นเช่นนั้น! เป็นเช่นนั้นจริงๆ ด้วย เขามีความทรงจำของชีวิตในชาติที่แล้ว ในส่วนจิตใต้สำนึกของเขา ก็เหมือนกับนาง เป็นดวงวิญญาณของภพชาติที่แล้ว เพียงแตกต่างกันตรงที่ ในชีวิตนี้ ทั้งคู่ได้ลอกคราบกลายเป็นคนใหม่อย่างหมดจดแล้ว นางตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าจะใช้ชีวิตในรูปแบบอื่น แต่เขายังคงชั่วช้าดังเดิมไม่เปลี่ยน!

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นสงบสติอารมณ์ของตัวเองอย่างรวดเร็ว แต่ก็ต้องยอมรับว่านางตื่นเต้นมาก และพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลกว่าเดิมว่า “ในค่ำคืนที่จะร่วมหอ เจ้าให้คำมั่นสัญญากับนางไว้ว่าจะมีนางเพียงคนเดียว จะไม่มีวันทำให้นางเสียใจเด็ดขาด แต่แต่งงานกันได้ยังไม่ครบปี คำสาบานกลับสูญเปล่า เจ้าเห็นว่านางไม่มีบุตรให้เจ้า อดทนรอไม่ไหว จึงรับอนุภรรยามาคนแล้วคนเล่า ไม่คำนึงถึงหน้าตาและความรู้สึกของนางเลย ใช่หรือไม่”

 

 

“ถูกต้อง หากไม่สามารถมีบุตรได้ ข้าก็ต้องหาคนที่มีบุตรให้ข้าได้ ท่านปู่จะยอมให้หลานที่ไม่มีลูกสืบสกุลขึ้นเป็นซื่อจื่อได้เยี่ยงไร” เขาที่ตกอยู่ในภวังค์ของการสะกดจิตกล่าวขึ้นอย่างไม่กระดากปาก ตอบอย่างไม่ขวยเขินเลยสักนิด

 

 

อวิ๋นหวั่นชิ่นขมวดคิ้วขึ้น หากไม่ใช่เพราะยังไม่สามารถปลุกเขาให้ตื่นขึ้นได้ นางคงจะเตะเข้าไปที่ท้องน้อยของเขาแล้วเป็นแน่ จึงกล่าวต่อด้วยเสียงที่ราบเรียบว่า “เท่านั้นยังไม่พอ ต่อมา เจ้ากับน้องเมียของเจ้าคบชู้กันอีก ทุกครั้งที่น้องเมียมาจวนโหวเพื่อเยี่ยมภรรยาของเจ้า เจ้าก็แอบมีความสัมพันธ์กับนางในจวน สุดท้ายโดนภรรยาของเจ้าจับได้คาหนังคาเขา เจ้าไม่เพียงแต่ไม่สำนึกผิด ยังทุบตีและเสียดสีภรรยาของท่านอีกด้วย ใช่หรือไม่”

 

 

“ถูกต้อง”

 

 

“ก่อนที่ภรรยาของเจ้าจะตายได้ไปร้องทุกข์ต่อศาล ราชสำนักจึงสั่งฟ้องเจ้าที่สมรู้ร่วมคิดกับพ่อตาสกุลอวิ๋น ทำให้เจ้าถูกจับเข้าคุกหลวง อนาคตพังพินาศ ตอนนี้ เจ้าบอกข้ามาเถิดว่า ภายหลังชะตาชีวิตของเจ้ากับสกุลอวิ๋นต่างเป็นเช่นใด”

 

 

ชายหนุ่มที่ตกอยู่ในภวังค์ขยับศรีษะเล็กน้อย คิ้วของเขาขมวดเป็นปม เสมือนกำลังทุกข์ทรมานจากบางสิ่งบางอย่าง เงียบอยู่เป็นเวลานาน และในขณะที่อวิ๋นหว่านชิ่นนึกว่าเขากำลังจะตื่นขึ้นมาจากภวังค์แล้วนั้น ได้ยินเขากล่าวพึมพำ ราวกับกำลังพูดละเมอ แม้คำพูดจะไม่มีความต่อเนื่องกันเล็กน้อย แต่ก็สามารถฟังเข้าใจได้

 

 

“ท่านปู่ไม่สนใจข้าอีกต่อไป ลบชื่อข้าจากตระกูล แล้วขับไล่ข้าออกจากจวนโหวไป ในคุกหลวง ข้าถูกจับกางขึงไว้กับโซ่ ถูกลงโทษนับร้อยรูปแบบ แม้กระทั่งโอรสสวรรค์เองยังมาสอบสวนข้าด้วยตรงเอง สกุลอวิ๋นเองก็โดนสอบสวนอย่างละเอียด พ่อตาถูกปลดจากตำแหน่ง กลายเป็นเพียงสามัญชน ไม่สามารถเข้ารับราชการได้อีก ความโกรธกริ้วของฝ่าบาทพาลทำให้เฟยเอ๋อร์ต้องตกที่นั่งลำบากไปด้วย เพราะเรื่องที่ข้ากับเฟยเอ๋อร์คบชู้กันถูกเปิดโปง จากที่ชื่อเสียงป่นปี้อยู่แล้ว นางยังถูกส่งตัวไปบวชเป็นชีที่วัดแม่ชี ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวไปตลอดชีวิต ต่อมา มู่หรงอานน้องชายลูกพี่ลูกน้องของข้าได้รับตำแหน่งซื่อจื่อไป ได้ครอบครองความสมบูรณ์มั่งคั่งทุกอย่างที่ควรเป็นของข้า นังตัวดีนั่นโหดเ**้ยมนัก หากไม่ใช่นาง ข้าจะมีจดจบเช่นนั้นได้อย่างไร ข้าถูกขังในคุกหลวงเป็นเวลา 20 ปี คิดดูเถิดว่าข้าต้องใช้ชีวิตแต่ละวันอย่างไรบ้าง ใช้ชีวิตในคุกเหมือนหนูที่ต้องอยู่ในที่เปียกชื้นมืดมน อดมื้ออิ่มมื้อ ถูกทรมานทุกวันในช่วงพลบค่ำ…”

 

 

ถูกจับขังไว้ถึง 20 ปีค่อยตายหรือ นับว่ามีอายุยืนเสียจริง!

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นหัวเราะเยาะ ขณะที่กะพริบตาอยู่นั้นก็มีแสงหนึ่งวาบผ่าน หากเขาถูกกุมขังนานถึงเพียงนั้นจึงเสียชีวิต เช่นนั้นเขาย่อมต้องทรางเรื่องราวของจาวจงเป็นแน่ ต่อให้อยู่ในคุกนี้ออกไปไหนไม่ได้ ก็คงต้องได้ยินเรื่องราวของโลกภายนอกจากการสนทนาของบรรดาผู้คุมได้บ้าง ฟังจากที่เขาพูด เสมือนยังเล่าเรื่องไม่จบ ยังคงติดอยู่ในภวังค์

 

 

“…ขนาดจาวจงตายไปแล้ว ก็ยังไม่ยอมปล่อยข้าไป กลับทิ้งราชโองการให้ขังข้าไว้จนกว่าจะสิ้นชีพ!”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นใจสั่น ควบคุมน้ำเสียงไว้ไม่อยู่ กล่าวด้วยเสียงสั่นว่า “จาวจงสวรรคตเมื่อใด”

 

 

มู่หรงไท่พึมพำ ครานี้ น้ำเสียงของเขาดีใจจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่ “จับข้ากุมขังได้ไม่เกินสามปี ก็ตกตายไปเสียแล้ว ได้ยินมาว่าป่วยเป็นโรค รักษาไม่เคยหายเสียที แม้แต่ผู้ที่มีวิชาแพทย์สูงส่งอย่างเหยากวางเย่าก็ไม่สามารถรักษาให้หายได้ ต่อมา มันปกครองประเทศอย่างเต็มกำลัง เหนื่อยจนเกินเหตุ ทำให้โรคเก่ากำเริบ ไม่สามารถต้านทานต่อไปได้ หึ มันใช้เลือดเนื้อและหยาดเหงื่อไปหลายปีเพื่อสร้างความดีความชอบและชื่อเสียง แต่ไม่อาจเอาชนะชะตาชีวิตที่สวรรค์ลิขิตไว้ให้มีอายุขัยที่สั้นนัก ฮ่าๆ! นี่คือสิ่งเดียวที่ข้าเอาชนะมันได้ ต่อให้เก่งกาจแล้วอย่างไรล่ะ อยู่ไม่ถึงตอนอายุสามสิบปีเสียด้วยซ้ำ ชีวิตข้ายังยืนยาวกว่ามันนัก เหอะๆ เป็นโอรสสวรรค์แล้วอย่างไร ก็แค่ผีอายุสั้นตัวหนึ่งเท่านั้น…”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นหนาวจนสะท้านทรวงอก ความเย็นนี้แพร่กระจายไปทั่วกาย ฝ่ามือเย็นเชียบ อดไม่ได้จึงง้างมือขึ้น เพียะ ตบไปที่แก้มของมู่หรงไท่อย่างเต็มแรง!

 

 

หัวหน้าผู้คุมที่อยู่ด้านนอกตกใจ มู่หรงไท่เองก็ได้สติตื่นขึ้นมา สีหน้าที่ยิ้มอย่างบ้าคลั่งเมื่อครู่มลายหายไป ใบหน้ากลับมาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกเหมือนในตอนแรก เพียงแต่รู้สึกว่ามีอาการแสบร้อนที่ใบหน้าเท่านั้น แต่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ราวกับว่าฝันไป “ชิ่นเอ๋อร์…”

 

 

“เจ้าวางใจเถิด ชาตินี้ข้าไม่ยอมให้เขาต้องตายเร็วขนาดนั้นอย่างแน่นอน” หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาดั่งน้ำค้างแข็ง

 

 

นางหมายความว่าอย่างไร มู่หรงไท่มีอาการงงงวย จับต้นชนปลายไม่ถูก พอเห็นว่าอวิ๋นหว่านชิ่นเอี้ยวตัวกำลังจะจากไป รู้เพียงแต่ว่าในชีวิตนี้ คงไม่มีโอกาสได้พบกับนางอีก กัดฟันตะโกนขึ้นว่า “ชิ่นเอ๋อร์!”

 

 

ชุดกระโปรงที่พลิ้วไหวหยุดลง หญิงสาวชะงักฝีเวท้าไว้ แต่ไม่ได้หันกลับไปมอง

 

 

มู่หรงไท่ตัวสั่นเทาเป็นเวลานาน ในที่สุดก็ถอนหายใจกล่าวขึ้นว่า “เจ้าช่วยบอกข้าหน่อยเถิด เหตุใดเจ้าจึงไม่ยอมให้โอกาสข้าอีกครั้ง เจ้าไม่แม้แต่จะอธิบาย ไม่แม้แต่จะให้โอกาสข้าได้ทำดีต่อเจ้าอีกครั้ง เพราะเหตุใดกัน…”

 

 

“ตระบัดสัตย์แม้นเพียงคราเดียว ก็มิอาจให้อภัยได้อีก” ชายกระโปรงสะบัดขึ้นอีกครั้ง หญิงสาวได้เดินออกจากประตูคุกไปแล้ว

 

 

เมื่อเดินออกจากประตูคุกหลวงแล้ว ได้สัมผัสกับแสงแดด สติของอวิ๋นหว่านชิ่นถึงจะค่อยๆ กลับเข้าที่ แต่หัวใจของนางก็ยังคงเต้นรัวไม่หยุดหย่อน

 

 

เขาจะตกตายภายในไม่กี่ปีหลังจากที่ขึ้นครองบัลลังก์ สวรรคตตั้งแต่อายุขัยยังไม่ถึงสามสิบปี… ทุกประโยคคำพูดของมู่หรงไท่ วนเวียนอยู่ในหัวของนางอีกครั้ง

 

 

หลังจากที่ได้เกิดใหม่ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ นางยังพอสามารถแก้ไขหรือช่วยเหลือได้ แต่นี่คือเรื่องเป็นเรื่องตายของโอรสสวรรค์ เป็นเรื่องใหญ่เกี่ยวข้องกับทิศทางการบันทึกของประวัติศาสตร์ นางจะทำการแก้ไขได้หรือ

 

 

ฮ่องเต้ของราชวงศ์ สูงส่งมากเพียงใด ไม่ใช่ชีวิตของสามัญชนคนธรรมดา เพียงพลิกหรือยกพระหัตถ์ก็สามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องราวของชีวิตผู้คนได้มากมาย หากสามารถยืดพระชนม์ชีพออกไปได้ เรื่องราวในรัชสมัยนี้ก็จะแปรเปลี่ยนไปจากเรื่องราวเดิมที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์อย่างสิ้นเชิง แล้วสวรรค์จะยอมให้นางเปลี่ยนแปลงหรือไม่

 

 

อีกอย่าง อายุขัยของเขาไม่ถึงสามสิบปี เหลือเวลานับจากนี้อีกเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเดินออกจากประตูวังหลวงด้วยจิตใจที่เลื่อนลอย เดินผ่านข้ามคูเมือง เห็นรถม้าที่คุ้นตาจอดอยู่ใต้ต้นหลิวต้นหนึ่งข้างถนนวังหลวง

 

 

เป็นราชรถของจวนอ๋องฉิน ด้านหน้าของรถ ซือเหยาอานโบกมือ ทำท่าเรียกนางให้เดินไปหา

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นไม่รู้ว่าฉินอ๋องทราบได้อย่างไรว่าตัวเองเข้าวังหลวง นางไม่เคยก้าวเดินอย่างรวดเร็วเช่นวันนี้มาก่อน ก้าวเท้าเดินอย่างว่องไวไปทางรถม้า แล้วเปิดม่านรถ

 

 

ชายหนุ่มในรถม้าสวมเสื้อคลุมลายมังกรทองห้ากรงเล็บ มีป้ายหยกแขวนไว้ตรงเอว สีหน้าดุจดั่งหยกเหมือนเช่นเคย แม้ว่าสีหน้าจะยังดูซีดเซียวอยู่เล็กน้อย แต่ดูมีชีวิตชีวามากกว่าที่เคย

 

 

นางปล่อยผ้าม่านลง เดินขึ้นรถ โน้มตัวเข้าไปสวมกอดเอวของเขาไว้ในหมับเดียว ดวงตาร้อนผ่าวเปียกชื้นขึ้นทันที

 

 

ซย่าโหวซื่อเจ้าของร่างสูงโปร่งประหลาดใจเล็กน้อย เหตุใดนางในวันนี้จึงเข้าหาเขาก่อน แต่ก็ปล่อยให้นางกอดเอวของตนไว้ ยิ้มเล็กน้อย ลูบผมของนางแล้วถามว่า “เจ้าเป็นอะไรไปหรือ”