ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 233 จิตสังหารยามค่ำคืน

จอมศาสตราพลิกดารา

ในหน่วยเลี้ยงรับรองบนถนนกลิ่นกำจาย ฝูงชนอลหม่านหนีหายกันไปเกือบหมดแล้ว เกิดเหตุเหยียบกันจนมีคนตาย ศพนอนระเนระนาด ยังมีบางคนถูกเหยียบจนกระดูกหัก หัวร้างข้างแตก นอนร้องครวญครางอยู่ตามมุม…

ตูม!

รัศมีสามจั้งกว่ารอบหอแขกผู้มีเกียรติหมายเลขหนึ่งมีระลอกคลื่นสีเลือดชั้นหนึ่ง

ธนูแสงจันทร์ทองที่เทพธิดาสงครามจากที่ราบทุ่งหญ้ายิงมาดอกนั้นถูกสกัดกั้นอยู่กลางอากาศ สุดท้ายถูกกระแทกสลายกลายเป็นเศษแสงจันทร์สีทองหายไปในท้องฟ้า

นายน้อยเผ่ายิงจันทร์หน้าเปลี่ยนสี “แย่แล้ว…มียอดฝีมือ”

 ‘ธนูเหนี่ยวตะวัน’ ในมือของธิดาเทพชิงเยียนแฝงด้วยแรงโทสะ พลังคุกคามน่าครั่นคร้ามยิ่งนัก แต่กลับถูกต้านทานเอาไว้ได้?

ในหอหมายเลขหนึ่งเกรงว่าจะมีผู้แข็งแกร่งที่น่ากลัวอย่างยิ่งยวดคุ้มกันอยู่

เขาตระหนักได้ทันทีว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีแล้ว

ฝ่ายตรงข้ามเหมือนเตรียมตัวเอาไว้ล่วงหน้า

“องค์หญิงชิงเยียน แผ่นดินกว้างใหญ่ เหตุใดกลัวไร้ฟืนเผา ออกไปจากที่นี่ก่อนค่อยว่ากัน วันหน้าค่อยแก้แค้น ใช้เลือดล้างหน่วยเลี้ยงรับรองเมืองฉางอัน” กุนซือหนุ่มชาวที่ราบทุ่งหญ้าเอ่ยเสียงดัง

ธิดาเทพชิงเยียนมองทหารกล้าที่ล้อมอยู่รอบกาย องครักษ์หญิงเทพหมาป่าทั้งสี่สิบกว่าคนที่ติดตามตนล้วนปลอดภัยไร้กังวล ก็รู้ว่าที่นี่ไม่ควรอยู่นาน นางมองไปทางหอหมายเลขหนึ่งอย่างอาฆาตแวบหนึ่งก่อนกล่าว “พวกเราไป”

“บุก!”

นายน้อยเผ่ายิงจันทร์นำอยู่ข้างหน้าราวพยัคฆ์คลั่งลงเขา

ชั่วขณะที่ธนูประหลาดในมือของเขาง้างออกก็ราวปืนใหญ่ ทรงพลังไร้เทียมทาน ยอดฝีมือและกองกำลังทหารของหน่วยเลี้ยงรับรองที่สกัดกั้นอยู่ข้างหน้าถูกยิงตัวระเบิดทันที สิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ต่างๆ พังทลายจากธนูที่น่ากลัวเยี่ยงปืนใหญ่เช่นกัน

กุนซือหนุ่มนำทหารกล้าแห่งที่ราบทุ่งหญ้าผู้องอาจทั้งสิบสองนาย แบ่งเป็นสองแถวซ้ายขวาข้างละหกคนอยู่ข้างหลังนายน้อยเผ่ายิงจันทร์ สามคนยิงธนู สามคนถือขวานกับโล่คอยป้องกันและโจมตีระยะประชิด ปกป้ององครักษ์หญิงเทพหมาป่าที่ค่อนข้างเหนื่อยล้าทั้งสี่สิบหกเอาไว้ตรงกลาง ส่วนธิดาเทพชิงเยียนรับผิดชอบคุมกันข้างหลัง ทั้งขบวนเหมือนกับลิ่มแหลมคมทะลวงไปด้านนอกหน่วยเลี้ยงรับรอง

สภาพแวดล้อมธรรมชาติของทุ่งหญ้าเลวร้าย มีสัตว์ร้ายมากมาย สัตว์ปีศาจเพ่นพ่าน ทั้งยังค่อนข้างแห้งแล้ง อาหารขาดแคลนหนัก ระหว่างเผ่ามักเกิดการฆ่าฟันกันบ่อยครั้ง คนฉินลือกันว่าทารกคนเถื่อนแห่งที่ราบทุ่งหญ้า หลังมุดออกมาจากครรภ์มารดาก็เดินได้ทันที เพราะหากไม่วิ่งจะถูกสัตว์ร้ายกัดตายหรือไม่ก็หิวตาย…

ชีวิตในสภาพแวดล้อมเลวร้ายเช่นนี้ทำให้ชายหญิงเผ่าหมานแห่งทุ่งหญ้าล้วนเป็นนักรบ กำลังต่อสู้ทรงพลังยิ่งนัก กล้าหาญไม่กลัวตาย เป็นนักรบมาแต่กำเนิดกันทั้งสิ้น

ตอนนี้ นายน้อยเผ่ายิงจันทร์และคนอื่นๆ เผยความห้าวหาญ ประหนึ่งพยัคฆ์แห่งที่ราบทุ่งหญ้า เพียงบุกทะลวงไป องครักษ์และยอดฝีมือของหน่วยเลี้ยงรับรองก็แตกพ่ายในชั่วพริบตา

ขณะนี้ชาวบ้านบนถนนกลิ่นกำจายหนีไปเกือบหมดแล้ว

คนที่ราบทุ่งหญ้าใกล้จะฝ่าออกไปจากปากถนนกลิ่นกำจายแล้วเต็มที

ในตอนนี้เอง…

“ยิง!”

เสียงคำรามดุจอัสนีกัมปนาทพลันดังมาจากกลางถนนที่มืดมิดด้านหน้า

ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ!

เสียงแหวกอากาศดังขึ้นถี่ยิบเหมือนเสียงสายฝน และยังได้ยินเสียงสายธนูสั่นติดๆ กันอยู่รางๆ

ท่ามกลางท้องฟ้ายามราตรี ลูกธนูปกคลุมมาหนาแน่นดั่งฝูงตั๊กแตน

นักรบเผ่าหมานแห่งที่ราบทุ่งหญ้าเชี่ยวชาญวิชาขี่ม้ายิงธนูมากที่สุด เมื่อได้ยินเสียงสายธนูสั่นก็ตั้งตัวกลับมา นักรบที่ถือโล่ทั้งสองข้างคำรามแล้วพุ่งขึ้นไป ก่อนโคจรกำลังภายใน กระตุ้นตัวอักษรที่สลักอยู่บนโล่ในมือ โล่มีแสงสีเขียวหมุนวนทันที กลุ่มแสงหมุนวนที่เหมือนเถาวัลย์แต่ละเส้นสายขยายออกมาเป็นโล่แสงขนาดใหญ่กว่าเดิม พวกเขากระโดดซ้อนกันเป็นชั้นๆ กลางอากาศเหมือนกายกรรมต่อตัว รวมกันเป็นกำแพงโล่สีเขียวปกป้องทุกคนเอาไว้ข้างหลัง

ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดรวดเร็วยิ่งนัก เสร็จสิ้นลงในชั่วพริบตา

ปฏิกิริยาตอบสนองของนักรบที่ราบทุ่งหญ้าช่ำชองอย่างยิ่งยวด

เคร้ง เคร้ง เคร้ง!

ธนูที่ยิงมาบนกำแพงโล่สีเขียวกระเด็นออกไป

“เปิด” นายน้อยเผ่ายิงจันทร์ตะโกนลั่น นักรบที่ถือโล่เบื้องหน้าเปิดออกเป็นช่องขนาดสองนิ้วมืออย่างพร้อมเพรียงกัน นายน้อยเผ่ายิงจันทร์ง้างคันศรทันที ยิงทีเดียวสี่ดอกผ่านรอยแยกไปทางที่ห่าธนูยิงเข้ามา

รอยแยกของโล่สีเขียวปิดลงอีกครั้งอย่างรวดเร็ว

ครืน ครืน!

เสียงร้องน่าสังเวชดังระงมมาจากมุมมืดไกลๆ ราวกับเสียงปืนใหญ่ระเบิด

กองทหารเมืองฉางอันที่ซ่อนอยู่ในเงามืดไม่ทันระวัง จึงสูญเสียสาหัสจากพลังของลูกศรทั้งสี่

นายน้อยเผ่ายิงจันทร์ร่างราวเจดีย์เหล็ก พลังน่าตื่นตะลึงนัก ทุกครั้งที่ยิงธนูราวอัสนีฟาดผ่า วิชาธนูของเขาไม่ใช่แค่แม่นยำ แต่ราวกับปืนใหญ่ ใช้พลังทำลายล้างระเบิดสังหารศัตรู กองกำลังทหารทั่วไปเจอกับวิชาธนูเช่นนี้ถือเป็นฝันร้ายชัดๆ

……

อีกฝั่งหนึ่ง

ผู้ที่ตั้งมั่นอยู่ในมุมมืดและลอบโจมตีก็คือไช่จือเจี๋ยแห่งกองรักษาการณ์ฝั่งตะวันตกนั่นเอง

ตอนนี้เขากำลังหน้าดำคร่ำเครียด มองทหารมือธนูที่บาดเจ็บล้มตายไปกว่าครึ่งอย่างปวดใจ

ทหารของเมืองฉางอันปกติแล้วรับผิดชอบจับโจร ขโมย ลาดตระเวน รักษากฎระเบียบ และดูแลประชาชน ดังนั้นจึงละเลยการศึก ไม่มีประสบการณ์สู้กับเผ่าหมานจากที่ราบทุ่งหญ้า ประเมินพลังของศัตรูต่ำไปโดยสิ้นเชิง อีกทั้งพวกที่ปะทะด้วยยังเป็นทหารชั้นยอดของเผ่ายิงจันทร์ เพียงชั่วพริบตาก็เสียเปรียบหนัก

“ใต้เท้า ทำอย่างไรดี?” คนสนิทถามอย่างร้อนรนอยู่ด้านข้าง

ตอนนี้ กระบวนพลรูปลิ่มของเผ่าหมานแห่งที่ราบทุ่งหญ้าห่างไปไม่ถึงหนึ่งลี้

ไช่จือเจี๋ยโบกมือ “ถอย”

เผ่าหมานแห่งที่ราบทุ่งหญ้าพวกนี้จะโหดเกินไปแล้ว พวกมันเป็นกลุ่มคนบ้า หากสู้ต่อไป กำลังที่มีเพียงน้อยนิดในมือเขาก็จะล่มจมหมด อย่างไรเสียใต้เท้าเจ้าเมืองก็แค่บอกว่าช่วยหน่วยเลี้ยงรับรองเท่านั้น ไม่ได้บอกว่าให้ร่วมต่อสู้ด้วยเสียหน่อย เช่นนั้นปัญหาที่หน่วยเลี้ยงรับรองประมูลคนจากทุ่งหญ้าหาเรื่องใส่ตัวก็รับผิดชอบไปเองแล้วกัน

ทหารของกองรักษาการณ์เขตเมืองฝั่งตะวันตกเริ่มถอยทัพทันที

“ฮี่ๆ หนีทัพเมื่อมีภัย ไม่กลัวโดนลงโทษหรืออย่างไร?” เสียงเย็นเยือกน่าขนลุกพลันดังขึ้นข้างหลังไช่จือเจี๋ย

ไช่จือเจี๋ยสะดุ้งเฮือก เมื่อหันกลับมาก็เห็นชายชราจมูกงุ้มสวมชุดคลุมยาวสีเทา หน้าขาวอย่างกับผีดิบเดินออกมาจากมุมมืดอย่างช้าเนิบ มุมปากแสยะยิ้ม ประหนึ่งซากศพคลานออกมาจากโลง น่าขนลุกยิ่งนัก

“เจ้าเป็นใคร?” ไช่จือเจี๋ยถามอย่างเดือดดาล

“ทหารภายในของจักรวรรดิช่างเหยาะแหยะเสียจริง…ขี้ขลาดไม่กล้าสู้ สมควรตาย” ชายชราผีดิบจมูกงุ้มหัวเราะเสียงเย็นแล้วซัดมือออกไปทันที แสงสีฟ้าเย็นยะเยือกสว่างวาบขึ้นกลางฝ่ามือ

ไช่จือเจี๋ยนับว่าเป็นยอดฝีมือในเมือง ทว่าก็ยังตั้งตัวไม่ทัน ฝ่ามือนี้ซัดเข้ามากลางหัวใจ เวลาเพียงแค่เสี้ยวขณะ ขุนพลตรวจตราแห่งกองรักษาการณ์ผู้นี้ก็กลายเป็นเศษกระจกสีฟ้าไปแล้ว

“มีมือสังหาร”

“ใต้เท้า…”

“ใต้เท้าถูกสังหารแล้ว”

รอบด้านมีเสียงร้องตกใจดังไปทั่ว

คนสนิททั้งหลายของไช่จือเจี๋ยตื่นตะลึงกับการเปลี่ยนแปลงทันทีทันใดนี้เช่นกัน

กลับเห็นชายชราผีดิบจมูกงุ้มยกมือเผยป้ายทองที่พันล้อมด้วยมังกรเก้าตัวขึ้นมา พูดเสียงเย็นเยียบว่า “ตามบัญชาขององค์ชายสองแห่งจักรวรรดิ คนขี้ขลาดต้องตาย ไช่จือเจี๋ยตาขาว ลงโทษตามกฎอย่างเคร่งครัดแล้ว หากพวกเจ้าถอยหนีก็จะมีจุดจบเช่นนี้”

ป้ายทองที่พันล้อมด้วยมังกรเก้าตัวเปล่งแสงทองเจิดจ้า น่าครั่นคร้ามราวอำนาจสวรรค์

สัญลักษณ์ของคนฉินคือมังกรทอง ป้ายทองที่มีเก้ามังกรพันล้อมแฝงด้วยอำนาจแห่งราชวงศ์ ไม่ใช่ของปลอมแน่นอน

ขุนพลและทหารทั้งหลายเพียงได้เห็นก็รีบรับคำสั่ง จัดทหารตั้งกระบวนทัพป้องกัน แต่ในใจก็ยังคงไม่มีจิตใจจะต่อสู้ ในเมื่อยังตกใจกับลูกศรสามสี่ดอกอันทรงพลานุภาพเมื่อครู่อย่างมาก

“สกัดเอาไว้ ห้ามปล่อยไปแม้แต่คนเดียว”

ชายชราผีดิบจมูกงุ้มออกคำสั่งเสียงเย็น จากนั้นก็ออกมาจากกระบวนพล เดินไปยังขบวนทหารรูปลิ่มของชาวที่ราบทุ่งหญ้าที่ประชิดเข้ามาอย่างรวดเร็ว

ครืน ครืน!

ลูกศรทำลายล้างสี่ดอกพุ่งออกมาจากใจกลางค่ายกลของชาวที่ราบทุ่งหญ้า

ลูกธนูแบบนี้นี่เองที่ทำลายกระบวนทัพของกองรักษาการณ์เขตเมืองตะวันตกก่อนหน้านี้

แต่ทว่าชายชราผีดิบจมูกงุ้มกลับไม่หลบหลีก พุ่งตัวรับลูกธนูที่ยิงมา จากนั้นซัดฝ่ามือหนึ่งไปกลางอากาศ พลังฝ่ามือสีฟ้าเย็นเยือก ปราณแท้ฟ้าประทานเอ่อล้น ทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ แล้วโหมซัดออกไปราวกับแม่น้ำสายใหญ่

ผู้แข็งแกร่งไร้พ่ายขั้นฟ้าประทาน

พลังฝ่ามือสีฟ้าเย็นเยือกแค่กวาดออกไป ลูกธนูทำลายล้างสี่ดอกก็กลายเป็นเศษน้ำแข็งร่วงสู่พื้นทันที

ตูม!

กำแพงโล่สีเขียวที่เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วถูกซัดกระเด็นทันที โล่เหล็กระดับของวิเศษสลายไปราวเศษฝุ่น ทหารกล้าแห่งที่ราบทุ่งหญ้าเจ็ดแปดคนกลายเป็นผลึกน้ำแข็ง หายไปจากฟ้าดินเช่นกัน

“ย้าก…” นายน้อยเผ่ายิงจันทร์ส่งเสียงคำรามอย่างโกรธแค้น

……

จิตสังหารแผ่มา

ในเวลากระชั้นชิด หลี่มู่ทำได้แค่ยกดาบขึ้นต้านเท่านั้น

เคร้ง

แสงกระบี่ซัดมากลางดาบ

ประกายกระบี่ก่อตัวขึ้นในชั่วพริบตา จากนั้นก็ปะทุพลังมหาศาล

ครืน!

ดาบยาวเหล็กกล้าที่แย่งมาจากผู้แข็งแกร่งหน่วยเลี้ยงรับรองระเบิดออกทันที

สะเก็ดไฟสาดกระจาย ดอกสาลี่บานสะพรั่งนับพันนับหมื่นต้น ทิวทัศน์งดงาม ภาพฉากน่าอัศจรรย์ใจ ตัวดาบแหลกเป็นเศษเหล็กดีดกระเด็นออกไป

หลี่มู่ปฏิกิริยาว่องไวมาก แต่ก็ไม่ถอยหนี เขาโคจรปราณแท้ฟ้าประทานในกายแล้วแผ่ระลอกออกรอบตัว สะท้อนเศษเหล็กพวกนั้นให้หอบม้วนไปยังร่างสีขาวที่โจมตีสังหารมาประหนึ่งเป็นอาวุธลับนับพันหมื่นชิ้น

เคร้ง เคร้ง เคร้ง!

ประกายกระบี่วาววาบเป็นผืนใหญ่ สะท้อนเศษเหล็กที่กระจายทั่วฟ้าออกไป

จากนั้นแสงกระบี่ทั้งหมดก็เหมือนรวมตัวแทงมายังคอหอยของหลี่มู่

กระบี่เซียนสวรรค์

วิชากระบี่ล้ำเลิศนัก

หลี่มู่แค่นเสียงเย็น มือหนึ่งทำนิ้วประดุจดาบ ก่อนย่อตัวลงเล็กน้อย มือขวาแตะเอวซ้าย จากนั้นก็ตวัดขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งประกายดาบร้ายกาจออกมา

หัตถ์ดาบ

ชักดาบสะบั้น

เคร้ง!

เสียงโลหะสอดประสานกัน

หลี่มู่ร้องคราง ถอยไปอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า บนนิ้วโป้งซ้ายแดงก่ำ

“บ้าเอ๊ย ไม่นึกว่าจะเป็นอาวุธเทพ”

เขาแอบคิดว่าประมาทไปแล้ว

แต่เดิมความแข็งแกร่งของกายเนื้อตัวเอง ต่อให้ศาสตราวุธฟันแทงมาก็ไม่มีทางทิ้งร่องรอยบาดเจ็บแม้แต่น้อย แต่กระบี่ยาวของฝ่ายตรงข้ามคมกริบไร้เทียมทาน ฟันจนนิ้วมือของหลี่มู่เป็นรอย หากไม่มีกำลังภายในเพิ่มความแข็งแกร่ง นิ้วคงเกือบขาดไปแล้ว

ส่วนร่างเงาสีขาวที่อยู่ตรงข้ามก็ถูกสะเทือนกระเด็นไป กระอักเลือดกลางอากาศ แต่กลับไม่สนใจอาการบาดเจ็บ ฝืนพลิกตัวกลับมาโจมตีอีกครั้ง

หลี่มู่ตอนนี้มองเห็นร่างของผู้โจมตีได้อย่างชัดเจน เป็นชายหนุ่มผอมบางรูปงามในหอแขกผู้มีเกียรติหมายเลขสิบนั่นเอง น่าจะเป็นองค์หญิงเบื้องหลังหวางเฉินคนนั้น

เขาหัวเราะลั่น ดีดตัวถอยหลัง ผลักถังฮูหยินที่พูดแทรกไม่ได้ไปหาเงาร่างสีขาว แล้วกล่าวว่า “ทำคุณบูชาโทษซะอย่างนั้น…มารดามันสิ เงินหนึ่งล้านเจ็ดแสนตำลึงทองนั่น ข้าจะเก็บดอกสองเท่าเลย”

ร่างเงาสีขาวได้ยินดังนั้น ก็มองเห็นฮูหยินถังพุ่งมาทางปลายกระบี่ของตน จึงพลิกกระบวนท่า รีบเก็บกระบี่กลับอย่างตกใจ ก่อนจะกระอักเลือดออกมาอีก นางรับฮูหยินถังเอาไว้ ร่างหมุนคว้างกลางอากาศแล้วร่อนลงห่างออกไปสามจั้ง จากนั้นมองไปทางหลี่มู่พลางเอ่ยอย่างตกใจ “เป็นเจ้า…”

เป็นคนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินอย่างนั้นรึ

หลังจากที่อึ้งตะลึง นางก็ตระหนักได้ทันทีว่าตัวเองเหมือนจะเข้าใจอะไรผิดไปแล้ว

…………………