ตอนที่ 101 อู่อู๋ตี๋! (1)

ยี่สิบนาทีต่อมา

ด้านนอกตึกฝึกซ้อม

นักศึกษาปีสูงกำลังล้อมวงดูอยู่รอบๆ รอจนเห็นเด็กใหม่หลายคนเดินออกมาหน้าด้วยหน้าบวมตาเขียวแล้ว ค่อยพากันยินดีปรีดาบนความทุกข์ของคนอื่น

“ปีนี้เหมือนมีคนถูกอัดเยอะเลย?”

“ไม่เกี่ยวกับเราสักหน่อย เห็นแล้วรู้สึกดีจริงๆ ปีก่อนพวกเราก็ถูกคนอื่นมุงดูจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหน ปีนี้ถือว่าถึงตาพวกเราเป็นผู้ชมบ้าง”

“เอ๋ นั่นมันเกิดอะไรขึ้น? ฟู่ชางติ่งไม่ใช่เหรอ? คนที่อวดดีเมื่อวานถูกอัดจนหน้าบวมเป็นหัวหมู?”

“ให้ตาย นายมองออกด้วย เก่งชิบหาย ฉันว่าพ่อแม่เขาน่าจะจำลูกไม่ได้ด้วยซ้ำ?”

“เมื่อวานสร้างความประทับใจไว้ดีไม่น้อย เหมือนกับฉันในปีนั้น ฉันเลยคิดว่าวันนี้เขาอาจจะถูกอัด นึกไม่ถึงว่าจะโดนจริงๆ ด้วย!”

“…”

ทุกคนพากันซุบซิบอย่างสนุกปาก

ฟู่ชางติ่งถูกฟางผิงพยุงออกมา ตอนนี้ได้ยินคนพวกนั้นพูดล้อเลียน จึงเอ่ยอย่างโมโห “ฉันสู้คนเดียวกับคนเป็นพัน ถึงจะแพ้ก็แพ้อย่างมีเกียรติ!”

“เหอะ!”

“ว่าแล้วเขามันน่าไม่อาย เมื่อวานทั้งสองคนช่วยกันคุยโว วันนี้มาโม้อยู่คนเดียวอีก!”

“…”

หนึ่งต่อสิบ พวกเขาเชื่อ!

เพราะปีก่อนเรื่องพวกนี้เกิดขึ้นเหมือนกัน แม้ว่าจะดูแคลนฟู่ชางติ่ง แต่ฟู่ชางติ่งยังถือว่ามีความสามารถจริงๆ เมื่อวานทุกคนต่างประจักษ์ถึงเรื่องนี้

แต่หนึ่งต่อพัน ใครเขาจะเชื่อ?

พวกนักศึกษาปีสูงแทบไม่มีใครเชื่อ เด็กใหม่ส่วนใหญ่ก็ปิดปากเงียบกัน

มีบางคนที่ขาดไหวพริบ แย้งออกไปอย่างโมโหว่า “คนเดียวต่อหนึ่งพันที่ไหน สองคนเถอะ ทั้งนายยังถูกอัดจนน่วม”

เมื่อคำพูดนี้ออกมา เด็กใหม่หลายคนเผยแววตาขุ่นเคืองทันที

โง่เขลา!

ทุกคนคิดกันดีแล้วจะปิดปากเงียบ ให้พวกเขาไปโม้กันเอง พูดไปคงไม่มีใครเชื่อหรอก!

เรื่องน่าอายแบบนี้ ทั้งฟางผิงยังออกมาในสภาพดีได้ ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ คนอื่นล้วนขายหน้าทั้งนั้น

แต่นึกไม่ถึงว่าตอนนี้จะมีเจ้าปัญญาอ่อนแย้งออกมา!

นี่ไม่ใช่แสดงให้เห็นหรือว่าพวกเขาถูกคนนับพันรุมจริงๆ!

คนแบบนี้คาดไม่ถึงว่าจะเข้ามหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ได้ กระทั่งพวกจ้าวเหล่ยยังสงสัยว่า บางทีฟางผิงอาจพูดถูก

มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ด้อยลงทุกปี ไม่ได้เก่งกาจอะไรอีกแล้ว!

เรื่องน่าอายแบบนี้ ควรจะปฏิเสธไว้ก่อน ถึงจะไม่ปฏิเสธ ก็ควรเงียบไว้ ไอ้ปัญญาอ่อนเอ้ย!

เมื่อคำพูดของเด็กใหม่หลุดออกมา พวกนักศึกษาปีสูงจึงพากันตกตะลึง

“จริงเหรอเนี่ย?”

“ถูกรุมกันจริงๆ?”

“สองคน อีกคนคือฟางผิง?”

“น่าจะอย่างนั้น ดูพวกเขาสองคนสิ ถูกคนอื่นแยกออกห่าง มีความเป็นไปได้…”

“หนึ่งต่อหนึ่งพัน นายเชื่อเหรอ? ฉันเชื่อไม่ลง ยิ่งเห็นฟางผิงไร้รอยขีดข่วนยิ่งเชื่อไม่ลง”

“…”

ฟางผิงไม่ได้บาดเจ็บหนักอะไรจริงๆ อย่างน้อยบาดแผลภายนอกแทบไม่มีให้เห็น

เขาสวมชุดฝึกแขนยาวรัดกุม ใบหน้าไม่ได้รับบาดเจ็บ บาดแผลเห็นไม่เด่นชัด

แต่ฟู่ชางติ่งไม่เหมือนกัน ใบหน้าบวมเป่ง บนร่างมีแต่รอยเท้าเต็มไปหมด มองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าถูกอัดมา

ดังนั้นทุกคนเลยไม่อยากเชื่อว่าทั้งสองคนจะทำแบบนั้นได้จริงๆ

ในขณะที่กลุ่มเด็กใหม่จมอยู่ในความเงียบ พวกนักศึกษาปีสูงกำลังพูดคุยกันอย่างร้อนระอุ หน้าประตูใหญ่พลันปรากฏกลุ่มคนเดินออกมาจำนวนหนึ่ง

หวงจิ่งเอ่ยด้วยหน้าบึ้งตึง “พวกนักศึกษาปีสูงแยกย้ายออกไป มีเวลาว่างควรไปอ่านหนังสือฝึกวิชาดีๆ! หน้าตาของมหาวิทยาลัยถูกพวกคุณทำลายไปหมดแล้ว!”

คำพูดนี้ไม่รู้ว่าบอกนักศึกษาใหม่หรือนักศึกษาปีสูง แต่คณบดีสาขายุทโธปกรณ์นั้นโมโหอย่างมาก เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับปรมาจารย์เชียว!

แม้จะเป็นนักศึกษาปีสูง ก็ไม่กล้าหยอกล้อกับปรมาจารย์อยู่แล้ว เว้นแต่ฉินเฟิ่งชิงที่ชอบรนหาที่ตาย

พวกนักศึกษาที่มามุงดูจึงทยอยกันออกไป แอบซุ่มมองแถวหน้าต่างตึกเรียนใกล้ๆ แทน

เมื่อนักศึกษาปีสูงไปแล้ว หวงจิ่งค่อยเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “เข้าแถวตามชั้นที่เลือก!”

นักศึกษาใหม่นับพันคน รีบเข้าแถวตามชั้นที่ตัวเองอยู่ก่อนประตูตึกจะถูกเปิด ไม่มีใครกล้าลักไก่ไปแถวอื่น

ผู้ฝึกยุทธ์นั้นความจำดีมากกว่าคนทั่วไป รวมทั้งมีกล้องวงจรปิด เล่นลูกไม้ต่อหน้าปรมาจารย์ นั่นเท่ากับรนหาที่ตาย

“ตกต่ำปีแล้วปีเล่า!”

หวงจิ่งรอทุกคนเข้าแถวเสร็จแล้ว ค่อยตะโกนตำหนิ

มีทั้งความไม่พอใจและอยากตักเตือน!

นักศึกษากว่าหนึ่งพันคน ถึงจะเข้าร่วมจริงๆ แค่ร้อยคน แต่คนมากขนาดนี้ นึกไม่ถึงว่าจะปล่อยให้ฟางผิงรอดไปจนถึงนาทีสุดท้ายได้!

มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ไม่ใช่สถานศึกษาที่จะอบรมสั่งสอนอัจฉริยะจากที่อื่น!

มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้และหนานเจียงไม่เหมือนกัน หนานเจียงอ่อนแอมาหลายปี ตอนนี้ต้องการอัจฉริยะคนหนึ่ง ต้องการใครสักคนมาเชิดหน้าชูตาให้เท่านั้น!

แต่มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้นั้นสั่งสอนอัจฉริยะออกมามากกว่า อัจฉริยะจำนวนนับไม่ถ้วน!

ตอนนี้มีแค่ฟางผิงและฟู่ชางติ่งที่ทำได้ยอดเยี่ยม คนอื่นๆ ต่างน่าอัปยศอดสู สถานการณ์เช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่หวงจิ่งอยากเห็น

ปรมาจารย์โมโหได้เหมือนคนอื่นเช่นกัน แต่มันก็เท่านั้น

หวงจิ่งข่มโทสะในใจ เอ่ยต่อว่า “การแบ่งสาขาสิ้นสุดแล้ว บางคนทำได้ดี บางคนกลับทำได้แย่! ถดถอยลงเรื่อยๆ การแสดงความสามารถของทุกคนในวันนี้ พวกอาจารย์รวมถึงฉันมองเห็นหมดแล้ว สร้างความประทับใจแรกได้ไม่ดี พวกคุณคิดว่าหลังจากนี้พวกอาจารย์จะเปลี่ยนแปลงมุมมองใหม่ต่อคุณงั้นเหรอ? อัจฉริยะมากมายขนาดนี้ พวกเราสั่งสอนได้ ให้ความสนับสนุนได้ แต่คุณต้องแสดงคุณค่าที่สมน้ำสมเนื้อออกมาเช่นกัน! มองไม่เห็นคุณค่า ยังจะต้องทุ่มเทสั่งสอนคุณไปทำไม? เพราะว่าคุณคือนักศึกษาของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้อย่างนั้นเหรอ?”

“แน่นอนว่าการแข่งขันย่อมมีแพ้มีชนะ วันนี้เป็นแค่การทะเลาะของเด็กกลุ่มหนึ่งเท่านั้น แม้จะมีคนกลายเป็นราชาในหมู่เด็ก ก็อย่าคิดได้ใจเกินไป ถึงราชาในหมู่เด็กจะเก่งกาจยังไง แต่ยังคงเป็นได้แค่นั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ ย่อมไม่พ้นเป็นเด็กน้อยไม่รู้ความ”

คำพูดของหวงจิ่งไม่ได้แฝงความหมายข่มขู่ฟางผิงและฟู่ชางติ่ง แต่เป็นการพูดความจริง

อย่าเทียบกับอาจารย์เลย แค่นักศึกษาปีสองปีสามพวกนั้น ถึงจะเป็นฟางผิงที่วันนี้ทำได้ดี แต่ถูกโยนเข้าไปในชั้นเรียนคนพวกนั้น คงสู้อะไรไม่ได้อยู่ดี

หากคิดไปจริงๆ ว่าสามารถอวดบารมีต่อหน้าเด็กใหม่ได้ ไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับมหาวิทยาลัย นั่นเป็นการประเมินมหาวิทยาลัยต่ำไป

แม้หวังจินหยางจะมาเซี่ยงไฮ้ในตอนนี้ หากคิดจะจัดการเขาจริงๆ ใช้นักศึกษาสิบคนอย่างต่ำคงจัดการได้แล้ว!

ตอนนี้มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้มีนักศึกษาหกคนที่อยู่ขั้นสี่ ส่วนขั้นห้ามีสองคน!

เพียงแค่นักศึกษาที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางพวกนี้ไม่ค่อยอยู่ในมหาวิทยาลัยเท่าไหร่

บางคนคอยดูแลความเรียบร้อยที่ถ้ำใต้ดิน บางคนไปหาประสบการณ์จากหน่วยสืบสวน และบางคนทำงานให้เบื้องบน…

หวงจิ่งเอ่ยสั่งสอนเป็นพิธี ไม่คิดรั้งอยู่นาน ขึ้นชื่อว่าปรมาจารย์ เขามีธุระแทบล้นมือ สามารถหาเวลาว่างมาดูเด็กใหม่ได้ ถือว่าไม่ง่ายแล้ว

พอหวงจิ่งจากไป ก็มีอาจารย์ตะโกนเสียงดังทันที “สาขายุทโธปกรณ์มาที่สนามฝึกหมายเลขหนึ่ง!”

“สาขายุทธศาสตร์สนามฝึกหมายเลขสอง!”

“…”

ฟางผิงเดินตามคนกลุ่มใหญ่ไปยังสนามฝึกหมายเลขหนึ่ง อดกระซิบไม่ได้ “แล้วคะแนนล่ะ?”

ฟู่ชางติ่งยิ้มเจื่อน “ไม่รู้สิ หรือคณบดีคิดว่าเป็นเรื่องขายหน้าเลย…”

“พวกนายสองคนหุบปาก!”

ไม่รู้ว่าถังเฟิง อาจารย์ประจำสาขายุทโธปกรณ์มาปรากฏอยู่ข้างหลังทั้งสองคนตั้งแต่เมื่อไหร่ เอ่ยอย่างจนใจว่า “เห็นคณบดีเป็นคนแบบไหนกัน? คะแนนจะถูกแบ่งจากสาขาก่อน หลังจากนั้นจะส่งให้พวกนายทั้งหมด! พวกนายคิดว่าแค่ไม่กี่สิบคะแนน คณบดีต้องออกหน้าจัดการเองหรือไง?”

สำหรับปรมาจารย์ เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องเล็กน้อย อย่าพูดว่าหลายร้อยเลย หลายหมื่นแล้วจะสักเท่าไหร่กัน?

พูดจบ ถังเฟิ่งค่อยเผยรอยยิ้มบาง “ทำได้ดีทีเดียว โดยเฉพาะฟู่ชางติ่ง”

“หา?”

ฟู่ชางติ่งอึ้งไปเล็กน้อย ฟางผิงไม่พอใจอยู่บ้างเช่นกัน เขาทำได้ไม่ดีหรือไง?

ถังเฟิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ฉันหมายถึงในความคิดของฉัน ฉันไม่ชอบนักศึกษาที่เจ้าเล่ห์เพทุบายเท่าไหร่ ฟู่ชางติ่งตรงไปตรงไป ค่อนข้างเหมาะกับสไตล์ฉัน”

เขามีชื่อเสียงในเรื่องดุดันห้าวหาญ ผู้คนเรียกว่า ‘ราชสีห์คลั่ง’

ฟู่ชางติ่งนั้นท้าประลองถังซงถิงเป็นอันดับแรก หลังจากนั้นค่อยเผชิญหน้ากับการล้อมโจมตีของทุกคน ต่อสู้อย่างไม่คิดถอย…

เขาชื่นชมฟู่ชางติ่งอยู่บ้างที่ไม่คิดถอนตัวออกมา

สรุปแล้ว ถังเฟิงยังคงถูกใจฟู่ชางติ่งมากกว่า

ส่วนฟางผิง อันที่จริงเขาก็ถูกใจ แต่อาจารย์อย่างเขา รับฟู่ชางติ่งเป็นศิษย์ไม่ถือว่ามีปัญหาอะไร แต่หากรับฟางผิงอีกคน นั่นคงไม่เหมาะสมอยู่บ้าง

นักศึกษาในรุ่นนี้ มีแค่สองคนนี้ที่แสดงความสามารถโดดเด่นที่สุด

แม้เขาจะอยู่ขั้นหกตอนปลาย ตำแหน่งเป็นรองจากคณบดี แต่อาจารย์ขั้นหกมีไม่น้อยเหมือนกัน ไม่มีความจำเป็นต้องมาผิดใจกันเพราะนักศึกษาคนเดียว

รับฟู่ชางติ่งเป็นศิษย์แล้ว ปล่อยให้พวกเขาแย่งฟางผิงไปละกัน

คาดว่าจากตำแหน่งของเขา รับฟู่ชางติ่งเป็นศิษย์คงไม่มีคนมาแย่งแน่นอน

คำพูดพวกนี้ไม่มีความจำเป็นต้องเอ่ยออกมาให้ชัดเจน แต่หมายความว่าอะไร ทั้งสองคนรู้ดีอยู่แล้ว

ฟู่ชางติ่งยิ้มเจื่อนอยู่บ้าง ตอนนี้เขาร้อนใจจริงๆ ไม่รู้ควรทำยังไงดี?

เขาหมายตาอาจารย์หลัวอี้ชวนไว้ แต่ปรากฏว่าทำได้ดีเกินไป นึกไม่ถึงว่าถังเฟิงที่เป็นอาจารย์อันดับหนึ่งของสาขายุทโธปกรณ์จะถูกชะตาเขา

นี่ไม่ใช่อาจารย์ธรรมดาทั่วไป ถ้าปฏิเสธ นั่นคงเท่ากับว่ามองข้ามความหวังดีคนอื่น?

ไม่ปฏิเสธ…เขาต้องได้เรียนต่อสู้มือเปล่าน่ะสิ?

เขาอยากเรียนหอก!

วิชาหอกเท่จะตายไป

เรียนดาบดูป่าเถื่อนมุทะลุ!

เรียนกระบี่ก็เหมือนพวกผู้หญิง

อาวุธอย่างอื่นเขาไม่สนใจทั้งนั้น วิชาหอกนั้นเท่ที่สุดแล้ว

เรียนต่อสู้มือเปล่า…ฟู่ชางติ่งขัดแย้งในใจอยู่บ้าง ฉันดูเป็นคนแข็งแรงห้าวหาญหรือไง?

ชั่วเวลานั้นฟู่ชางติ่งร้องไห้ไม่ออกอยู่บ้าง สายตาอาจารย์นี่มันอะไรกัน

ผมโดนซ้อมจนสภาพเป็นแบบนี้ นึกไม่ถึงว่าจะถูกใจผม ยังบอกว่าทำได้ดี ไร้เหตุผลเกินไปแล้ว!

—————–