บทที่ 34 ท่าไม้ตายขัดขวางความรัก! (3) Ink Stone_Romance
ฉู่อี้อันเลิกคิ้วและเข้าใจความหมายแฝงในคำพูดของเขาได้ทันที จึงเงยหน้าจากเอกสารราชการในมือขึ้นมามองอีกครั้ง “ทำไม?”
“ในเมื่อท่านไม่ชอบใต้เท้าเหยียนหลิง ก็น่าจะพิจารณาคนอื่นสักหน่อยนะขอรับ?” เจิงจีเอ่ย ถึงแม้การพูดถึงเรื่องนี้จะล้ำเส้นไปบ้าง แต่เขาก็รู้ดีว่าคำพูดของตนเองไม่มีทางเปลี่ยนใจฉู่อี้อันได้ ดังนั้นจึงไม่ค่อยกังวลนักว่า “สองวันนี้เหมือนหลัวซื่อจื่อจะมีน้ำใจเป็นพิเศษ ข้าเห็นว่าเขามาหาท่านหญิงของพวกเราเช่นกัน ท่านหญิงเป็นคนตรงไปตรงมา จึงยังไม่เข้าใจเรื่องแบบนี้ นายท่านก็อย่าตามใจนางมากนักเลย สมควรแก่เวลาที่จะเอ่ยสักหน่อยแล้วรึเปล่าขอรับ?”
เบื้องหลังตัวตนของเหยียนหลิงจวินลึกลับซับซ้อนเกินไป ฉู่อี้อันตัดออกไปจากใจแล้ว
ส่วนหลัวเถิง…
ด้วยความสัมพันธ์อันยุ่งยากกับจวนหลัวกั๋วกง เขาก็อาจจะไม่ถูกใจเช่นกัน
หากทั้งสองฝ่ายต่างคิดไม่ซื่อกันแบบนี้ และเจิงจีก็คิดว่าเรื่องแต่งงานนั้น ‘คำสั่งของพ่อแม่ คำพูดของแม่สื่อ[1] เช่นกัน สู้เป็นพ่อแบบฉู่อี้อันที่ลงมือวางเส้นทางที่ชัดเจนไว้ให้ฉู่สวินหยางด้วยตนเองดีกว่า
ทว่าในฐานะพ่อแล้วฉู่อี้อันก็เฝ้ารอและมีความคิดเรื่องแต่งงานของลูกสาวที่รักคนนี้เช่นกัน
พอคิดถึงเรื่องนี้ฉู่อี้อันก็ขมวดคิ้วอย่างวุ่นวายใจไปชั่วครู่ แต่สุดท้ายก็ยังโบกมือว่า “แล้วแต่นางเถอะ!”
เรื่องอื่นนั้นเขาอาจจะแนะนำนางบ้าง มีแต่เรื่องความรักเท่านั้น…
ที่เขาไม่อยากไปบงการและบังคับ
ถึงแม้จะรู้ดีว่าตามใจแบบนี้อาจทำให้เส้นทางความรักในภายภาคหน้าของลูกสาวต้องลำบากกว่าคนอื่น แต่ว่า…
สำหรับเขาแล้วความรักเป็นสิ่งที่สูงส่งและไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายได้
ตอนนั้นเขาได้มาอย่างไม่สมบูรณ์แบบ จนกลายเป็นความแค้นไปตลอดชีวิตแล้ว ทว่าพอหวนคิดขึ้นมาตอนนี้…
ถึงแม้จะต้องเจ็บปวดอีกแค่ไหน แต่หลังจากที่ได้คิดทบทวนตนเองครั้งแล้วครั้งเล่าแล้วเขาก็ยังรู้สึกว่าดีใจ
ไม่กล้าคิดว่าหากตอนแรกเหลียงซีไม่ปรากฏตัวขึ้นมาในชีวิตเขา ชีวิตเขาจะกลายเป็นเช่นไรกัน
ต่อให้อยู่รอดปลอดภัยแค่ไหน ต่อให้เส้นทางการเป็นขุนนางราบรื่นเพียงใด หรือต่อให้มีความสุขที่มีภรรยาและอนุรายล้อมมากเท่าไหน พอวันหนึ่งสูญเสียนางไป ก็เหมือนกับ…
เขาไม่เป็นตัวของตนเอง!
ถึงแม้ความรักช่วงนั้นจะจืดจางไปในท้ายที่สุด แต่กลับเป็นสีสันที่สว่างสดใสที่สุดและไม่มีวันเลือนหายไปจากชีวิตเขา
อันที่จริงหากว่ากันตามความรู้สึกแล้ว เขาปรารถนาเพียงให้ฉู่สวินหยางได้ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและมีความสุขไปตลอดชีวิตเท่านั้น เขาจะหาทางให้นางได้แต่งงานออกไปอย่างปลอดภัยและราบรื่นตาม ‘คำสั่งของพ่อแม่’ ก่อนที่นางจะได้ลิ้มลองความรักก็ได้
แต่ว่า…
เขากลับยิ่งไม่อยากฝืนใจและบงการชีวิตนาง
ตอนนั้นทุกสิ่งทุกอย่างของเหลียงซีต่างผูกมัดอยู่กับภาระอันหนักอึ้งในฐานะที่นางเกิดมาเป็นราชนิกุลอย่างเหนียวแน่น หากว่ากันตามความรู้สึกส่วนตัวแล้วที่เขาให้ท้ายฉู่สวินหยางและให้นางทำทุกอย่างที่นางอยากทำได้อย่างอิสระตามใจ ก็เพื่อชดเชยความเสียดายทั้งหมดให้เหลียงซีที่ทั้งชีวิตไม่อาจตามใจตนเองได้
เจิงจีรู้ใจเขามากทีเดียว พอได้ฟังแล้วก็ไม่เอ่ยอะไรออกมาให้มากความอีก และแค่เบี่ยงประเด็นไปว่า “เช่นนั้นเรื่องของพระชายาในครั้งนี้…”
ถึงแม้หลัวฮองเฮาจะเป็นคนที่มีเหตุผลและแรงจูงใจลงมือจัดการคนแซ่ฟาง ทว่าฉู่อี้อันก็ไม่ได้เชื่ออย่างหมดใจตั้งแต่แรก เพียงแต่หลังจากที่ตรวจสอบหลายทางแล้ว…
สาเหตุการตายของฮูหยินรองหลัวไม่มีพิรุธแม้แต่นิดเดียว หลักฐานต่างๆ บ่งชี้ว่านางหวาดกลัวที่จะต้องโทษจึงฆ่าตัวตาย
ส่วนตำหนักของหลัวฮองเฮาก็ไม่เจอร่องรอยว่าคนนอกเล่นตุกติกอะไรทั้งสิ้น
ดังนั้นถึงแม้จะรู้สึกสงสัย แต่ถึงตอนนี้ส่วนใหญ่ก็ได้ข้อสรุปแล้ว
พอนึกถึงหลัวฮองเฮา สายตาของฉู่อี้อันก็มืดมน ทว่าเขาก็อำพรางได้อย่างรวดเร็ว แล้วเอ่ยอย่างลังเลว่า “อีกครู่รอคนแซ่ฟางฟื้นแล้วก็ตามใจนางเถอะ หากนางอยากอยู่ต่อก็อยู่ไป หากอยากกลับอารามเมตตาก็ไปส่งนาง รักษาร่างกายให้หายดีก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
“ขอรับ!” เจิงจีพยักหน้าขานรับ แต่เขากลับรู้ดีอยู่แก่ใจว่าคนแซ่ฟางไม่น่าจะอยู่ต่อ
ทางนี้ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว เจิงจีก็ขอตัวออกไปก่อน
ฉู่อี้อันไม่ยุ่งเรื่องของเรือนด้านหน้า เขายังคงปิดประตูแล้วจัดการงานของตนเองต่อไป
———————————–
ใกล้วันแต่งงานของฉู่เยว่หนิงแล้ว ช่วงสองสามวันนี้นางกำลังตัดเย็บชุดแต่งงาน ฉู่สวินหยางก็ไปช่วยเลือกให้หลายแบบ ขณะที่สองพี่น้องกำลังพูดคุยอยู่นั้น เจี๋ยหงก็ตามเข้ามาจากด้านนอก กล่าวว่า “ท่านหญิง พระชายาฟื้นแล้ว ท่านจะไปดูก่อนหรือไม่เจ้าคะ?”
“ท่านแม่ฟื้นแล้วหรือ?” ฉู่สวินหยางท่าทางสงบนิ่ง แต่ใบหน้ากลับฉายรอยยิ้มอย่างดีใจ นางยกชายกระโปรงและลุกขึ้นเอ่ย “ไปเถอะ ไปดูสักหน่อย!”
“ข้าไปด้วย” ฉู่เยว่หนิงยืนขึ้นตาม
“ไม่ต้องหรอก เวลานี้ท่านแม่ร่างกายยังอ่อนแอ อย่าไปรบกวนนางเลยจะดีกว่า น้ำใจของน้องสี่ข้าจะบอกให้เอง” ฉู่สวินหยางยิ้มแล้วจับมือนาง “อีกเดี๋ยวรอนางดีขึ้นมากแล้ว น้องสี่ค่อยไปเยี่ยมนางเถอะ!”
สำหรับฟางเช่อเฟยที่มักมีสีหน้าเย็นชาและไร้รอยยิ้มนั้น ฉู่เยว่หนิงหวาดกลัวนางจากใจ
เมื่อฉู่สวินหยางเอ่ยเช่นนั้น นางก็ไม่ดื้อดึง และมาส่งทั้งสองคนถึงหน้าประตูใหญ่ด้วยตนเองแล้วหันตัวกลับเรือน
ฉู่สวินหยางก้มหน้ามองพื้นใต้เท้า แล้วค่อยๆ เดินกลับอย่างเงียบๆ
นางไม่อยากกลับไปเจอหน้าคนแซ่ฟางจริงๆ แต่ก็ไม่กล้าเสียมารยาท ไม่งั้นก็คงไม่อาจตอบฉู่ฉีเฟิงได้
นางเดินเงียบๆ มาได้สักพักหนึ่ง ในขณะที่เงยหน้าขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจนั้นกลับเห็นชายเสื้อคลุมสีเขียวปลิวอยู่ตรงหน้า แล้วก็มีกลิ่นหอมของยาสมุนไพรลอยฟุ้งในอากาศอย่างเบาบาง
ฉู่สวินหยางย่นจมูก พอเงยหน้าขึ้นมาก็สบนัยน์ตาพราวระยับของเหยียนหลิงจวิน
“หือ?” นางอึ้งไปก่อน แล้วก็เข้าใจได้ในทันทีและขมวดคิ้ว กล่าวว่า “เจ้าโกหกหลอกหลวงอีกแล้ว!”
ต่อให้เหยียนหลิงจวินถอนพิษที่หลงเหลืออยู่ในร่างกายของคนแซ่ฟางไปหมดแล้ว แต่จะได้ผลทันทีแบบนี้ได้อย่างไร? ไม่มีทางที่คนแซ่ฟางจะฟื้นเร็วขนาดนี้
พอคิดแบบนี้ ฉู่สวินหยางก็รู้สึกเหมือนตนเองถูกหลอก
แต่เหยียนหลิงจวินกลับยังคงยิ้มอย่างสบายใจและเอ่ยอย่างเอาแต่ใจว่า “ข้าต้องกลับแล้ว หากเจ้าไม่ไปส่งข้าด้วยตนเอง ข้าไม่ยอมนะ กว่าจะมาได้สักครั้งยากลำบากนัก”
ฉู่สวินหยางยิ้มมุมปาก
ถึงแม้เหยียนหลิงจวินจะยังรู้สึกโกรธ แต่พอเห็นรอยยิ้มของนางก็อารมณ์ดีขึ้นมากในชั่วพริบตาจนยิ้มตามไปด้วย ขณะที่หันตัวนั้นเขาก็ฉวยโอกาสใช้นิ้วก้อยเกี่ยวนิ้วมือของนางใต้แขนเสื้ออย่างชำนาญ
“เดี๋ยวมีใครมาเห็นเข้า!” ฉู่สวินหยางหน้าแดงและรีบสะบัดมือเขาทิ้ง แถมยังถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
เหยียนหลิงจวินหันกลับไปมองนาง รอยยิ้มกรุ้มกริ่มก็ยิ่งสว่างไสวขึ้นมา ทว่าเขากลับไม่ได้ดึงดัน แค่อมยิ้มและปัดผมหน้าม้าของนางอย่างเบามือ พลางยกยิ้มมุมปากอย่างเอ็นดู และเอ่ยเสียงเบาว่า “เช่นนั้นก็ไปส่งข้าเถอะ!”
ปกติเขาไม่ได้มีนิสัยล่วงเกินผู้หญิงไปทั่ว ดังนั้นฉู่สวินหยางจึงขี้เกียจจะต่อล้อต่อเถียงกับเขา ว่าแล้วนางก็เดินตามหลังเขาไปทางประตูโค้งด้านหน้าด้วยสีหน้าปกติ
——————————————-
[1] คำสั่งของพ่อแม่ คำพูดของแม่สื่อ หมายถึง คลุมถุงชน การแต่งงานเป็นไปตามคำสั่งของพ่อแม่และการชักนำของแม่สื่อ คู่บ่าวสาวไม่มีสิทธิตัดสินใจเลือกคู่ครองด้วยตนเอง