ตอนที่ 236 ถ้อยคำตำหนิ

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 236 ถ้อยคำตำหนิ

“พี่หญิงใหญ่ช่างเก่งกาจยิ่งนัก ได้เป็นถึงหมอหญิงคนแรกที่เข้าสำนักหมอหลวงของราชวงศ์ ข้ามองแล้วมิต่างอันใดกับตำแหน่งของฮองเฮาเลยเจ้าค่ะ”

อันหลิงอียังมิทันได้กล่าวอันใดออกมา อันหลิงเฉว่ก็ชิงเอ่ยคำเหล่านี้ออกมาด้วยสีหน้าไร้เดียงสา

ด้วยนางอายุยังน้อย ทั้งยังมีรูปร่างที่อ่อนหวานและบอบบาง พอนางกล่าวเช่นนี้กลับทำให้คนคิดว่าเป็นคำของเด็กที่มิควรเก็บมาใส่ใจ

แต่คำของนางก็ดังถึงพระกรรณของฮ่องเต้ซึ่งย่อมมิน่าฟังสักเท่าไร

ในอดีตจักรพรรดินีหวู่เข้ายึดอำนาจของราชวงศ์ก่อน จากนั้นก็ขึ้นสู่ตำแหน่งฮ่องเต้ในฐานะสตรี แม้นางสามารถปกครองบ้านเมืองให้สงบร่มเย็นได้ แต่ยังมีคนมิน้อยที่กล่าวว่านางมิทำหน้าที่ของตนทว่าไปทำหน้าที่ของบุรุษ

วันนี้อันหลิงเกอได้รับแต่งตั้งเป็นหมอหญิงคนแรกของราชวงศ์นี้ พออันหลิงเฉว่กล่าวเช่นนี้ออกมา ฮ่องเต้จึงอดนึกไปถึงเรื่องการชิงบัลลังก์ของราชวงศ์ก่อนมิได้ ช่างเป็นคำกล่าวที่ทำร้ายคนเสียจริง

ดวงตาของอันหลิงเกอดำมืดราวทะเลไร้ขอบเขต นางจ้องเขม็งไปที่อันหลิงเฉว่ จากนั้นก็เปิดปากหัวเราะเสียงเย็น “น้องหญิงรองยกย่องข้าเกินไปแล้ว จักรพรรดินีหวู่เป็นบุคคลระดับไหนกัน นางเป็นที่โปรดปรานของอดีตฮ่องเต้ พอครองบัลลังก์ก็เป็นจักรพรรดินีที่ใส่ใจต่อราษฎร ข้ามิกล้าเอาตัวไปเปรียบกับพระองค์หรอก”

เมื่อเอ่ยถึงเรื่องชิงบัลลังก์แล้ว นางที่เป็นเพียงสตรีในเรือนผู้หนึ่งย่อมทำอันใดฮ่องเต้มิได้อยู่แล้ว

กลับเป็นหลี่กุ้ยเฟยเสียมากกว่าที่ฮ่องเต้โปรดปราน ซึ่งตอนนี้ยังต่อต้านฮองเฮาอยู่ด้วย กอปรกับองค์ชายเจ็ดก็ยังมีความโลภในตำแหน่งรัชทายาทถึงได้จ้องตำแหน่งนี้ตาเป็นประกาย

เหตุใดหลี่กุ้ยเฟยจักฟังความหมายนี้มิออก อันหลิงเกอจงใจเอ่ยถึงความโปรดปรานของฮ่องเต้ที่มีต่อจักรพรรดินีหวู่ก็เพื่อให้โยงไปถึงหลี่กุ้ยเฟยที่กำลังได้รับความโปรดปรานแต่สำรวมตนเองให้อยู่ในขอบเขต มิแน่ว่าในวันหนึ่งนางอาจเลียนแบบจักรพรรดินีหวู่ที่หาทางแย่งบัลลังก์ก็เป็นได้

สีหน้าของหลี่กุ้ยเฟยเริ่มแย่ลง นางมองไปยังฮ่องเต้แล้วรีบยิ้มอย่างเอาใจ “คุณหนูใหญ่อันล้อเล่นแล้ว ฝ่าบาททรงปกครองบ้านเมืองอย่างมีระบบแบบแผน กรณีของจักรพรรดินีหวู่ย่อมมิอาจเกิดขึ้นได้อย่างเด็ดขาดเพคะ”

พระพักตร์ของฮ่องเต้ยังคงประดับยิ้ม เพียงแต่นัยน์เนตรดูล้ำลึกขึ้นมาทันที

อันอิงเฉิงยืนตัวสั่น ฝ่ามือมีเหงื่อออกจนชุ่ม เขากลัวจริง ๆ ว่าฮ่องเต้จักระแวงเขาขึ้นมาอีกครั้งเพราะคำของอันหลิงเฉว่

มิใช่เรื่องง่ายกว่าที่เขาจักใช้ชีวิตแลกความไว้วางใจจากฮ่องเต้มาได้ หากต้องพังเพราะน้ำมือของอันหลิงเฉว่ เขาจักสังหารนางให้ดู !

โชคดีที่ฮ่องเต้มิได้จริงจังนัก เหมือนมิได้นำเรื่องนี้มาใส่ใจ เพียงโบกพระหัตถ์เรียกขันทีให้นำสุราเลิศรสออกมา บรรยากาศการฉลองจึงเริ่มเข้าสู่ความสุขอีกครั้ง

อันอิงเฉิงจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อเขากลับมาถึงจวน สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที

เมื่อเห็นเช่นนั้นอันหลิงเฉว่จึงดึงปลายเสื้อของเขาไว้ สีหน้าของนางดูมิสบายใจและหวาดกลัวอยู่เล็กน้อย “ท่านลุง เมื่อครู่หลานกล่าวอันใดผิดไปหรือไม่เจ้าคะ ? ”

นางมิใช่บุตรีของอันอิงเฉิง แม้อันอิงเฉิงอยากตำหนินางเพียงใด สุดท้ายก็กล่าวอันใดมิออก

เจิ้งซื่อเหลือบมองนางทีหนึ่ง แววตาดูคาดโทษแต่สิ่งที่มีมากกว่านั้นคือความเป็นห่วง “เจ้าลูกคนนี้ มิรู้เรื่องก็อย่าได้กล่าวอันใดออกไปเรื่อยเปื่อย คำกล่าวเมื่อครู่ของเจ้าเกือบทำให้คนทั้งจวนโหวต้องโชคร้ายแล้ว ต่อไปเจ้าต้องจดจำไว้ให้ดี”

แววตาของฮูหยินผู้เฒ่ายามที่มองอันหลิงเฉว่มิได้ดูเมตตาเหมือนก่อน ดวงตาเฉียบคมเหมือนสามารถมองทะลุความคิดของนางได้

“เฉว่เอ๋อ เมื่อก่อนข้ารู้สึกว่าเจ้าฉลาดและเชื่อฟังจึงเอ็นดูเจ้ายิ่งนัก ข้าให้เจ้ามาอยู่ข้าง ๆ ก็เพื่ออบรมสั่งสอน แต่การกระทำของเจ้าตอนนี้ทำให้ข้ารู้สึกผิดหวังเสียจริง”

คำเหล่านี้มิได้รุนแรงและมิได้เสียงดัง แต่ทำให้อันหลิงเฉว่ดวงตาแดงก่ำทันที น้ำตาที่คลอเบ้าทำให้นางดูน่าสงสารอย่างยิ่ง “ท่านย่า เฉว่เอ๋อผิดไปแล้ว ท่านด่าเฉว่เอ๋อได้เลยเจ้าค่ะ เฉว่เอ๋อจักแก้ไขและปรับปรุงตัวอย่างแน่นอน”

เมื่อเห็นนางยังทำท่าทางไร้เดียงสา ฮูหยินผู้เฒ่าจึงหลับตาลงและสีหน้าดูอ่อนล้า

หลานสาวที่เติบโตมาข้างกายเป็นคนใสซื่อหรือเสแสร้ง นางย่อมรู้ดีแก่ใจ

อันหลิงเฉว่อยากสร้างความลำบากให้อันหลิงเกอ แต่ดึงคนทั้งจวนโหวเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ฮูหยินผู้เฒ่าจักมิยอมปล่อยเรื่องเช่นนี้ไปแน่นอน ท่าทางของอันหลิงเฉว่ในตอนนี้ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าผิดหวังยิ่งนัก

เจิ้งซื่อที่ทำตัวไร้ตัวตนและถ่อมตัวมาตลอด ตอนนี้จ้องบุตรสาวด้วยสายตาแหลมคม “เฉว่เอ๋อ เจ้าทำผิดก็คือทำผิดไปแล้ว เหตุใดต้องทำเหมือนถูกปรักปรำเช่นนี้ เจ้าจักให้ฮูหยินผู้เฒ่าโมโหจนล้มลงถึงจักพอใจใช่หรือไม่ ? ”

นางแอบมองฮูหยินผู้เฒ่าทีหนึ่ง คำติเตียนก็ยิ่งร้ายแรงมากขึ้น “เจ้าอายุยังน้อย มีใจอยากเอาชนะเป็นเรื่องปกติ แต่เจ้าเทียบพี่หญิงใหญ่มิได้แล้วจักไปสร้างความวุ่นวายให้นางเพื่อสิ่งใด เจ้ากล่าวคำเหล่านั้นต่อหน้าฮ่องเต้ นั่นเป็นการทำให้คนทั้งจวนโหวตกอยู่ในอันตราย เจ้ามิเข้าใจหรือ ? ”

“หากฝ่าบาททรงระแวงจวนโหวของเราขึ้นมาจริง ๆ แม้เจ้าตายก็ชดใช้ความผิดมิได้ ! ”

อันหลิงเฉว่เริ่มปากสั่นหน้าซีด ในที่สุดน้ำตาเม็ดโตก็ร่วงหล่นลงมา

ในแววตาของนางยังมีความหวาดกลัวอยู่บ้าง นางจึงอธิบายเสียงสั่นเพื่อปกป้องตนเอง “ท่านแม่ ลูกมิได้จักสร้างความวุ่นวายให้พี่หญิงใหญ่ เหตุใดลูกต้องคิดเช่นนั้นด้วยเจ้าคะ ? ”

“เจ้ายังแก้ตัวอีกหรือ ! ” เจิ้งซื่อเดินเข้าไปก้าวหนึ่งแล้วตบหน้าอันหลิงเฉว่หนึ่งที นางใช้แรงมิเบาทำให้อีกฝ่ายถึงกับล้มไปที่พื้น สีหน้าซีดเซียวก็ปรากฏรอยฝ่ามือชัดเจน

ฮูหยินผู้เฒ่าทนดูต่อมิไหว นางจึงขมวดคิ้วแล้วเอ่ย “พอแล้ว ในเมื่อเฉว่เอ๋อทำความผิด เจ้าก็นำตัวนางกลับไปอบรมสั่งสอนให้ดี อย่าให้นางออกมาสร้างปัญหาอีก”

นี่คือการสั่งกักบริเวณ

อันหลิงเฉว่หน้าซีด แต่อันหลิงอีที่อยู่ด้านข้างดูมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น

โชคดีที่ตอนนั้นนางมิได้กล่าวอันใดออกมา มิเช่นนั้นนางก็คงได้รับโทษนี้เช่นเดียวกัน

อันหลิงเกอหลุบตาลง มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเยาะ

มิคิดเลยว่าอาสะใภ้สามผู้สงบเสงี่ยมมาโดยตลอดก็เป็นคนที่มีอุบายล้ำลึกคนหนึ่งเช่นกัน

ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธก่อน จากนั้นก็ตำหนิอันหลิงเฉว่แล้วรีบลงมือตี ทำให้อันหลิงเฉว่ดูน่าสงสาร ฮูหยินผู้เฒ่าจักได้มิมีเหตุผลไปตำหนิอันหลิงเฉว่อีก มิเช่นนั้นนางคงมิถูกลงโทษแค่ห้ามออกเรือน

ตอนหลี่อี๋เหนียงทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธ นางก็ใช้กฎบ้านลงโทษ แส้ที่เฆี่ยนลงไปสิบกว่าครั้งทำให้หลี่อี๋เหนียงต้องนอนรักษาตัวอยู่บนเตียงนานช่วงหนึ่ง

ตอนนี้อันหลิงเฉว่สร้างปัญหาใหญ่กว่า แต่โดนลงโทษแค่ถูกกักบริเวณ ต้องชื่นชมความฉลาดของอาสะใภ้สามแล้ว

เพียงแต่อันหลิงเฉว่ก็ชอบสร้างปัญหาให้อันหลิงเกออยู่บ่อย ๆ อันหลิงเกอก็รู้สึกรำคาญใจมากเช่นกัน อันหลิงเฉว่น่ารำคาญมิต่างจากแมลงที่ทำอันใดนางมิได้ ทำได้แค่ส่งเสียง หึ่งหึ่ง อยู่รอบตัวเท่านั้น

ดวงตาของนางเป็นประกายและเผยให้เห็นนัยน์ตาที่เข้มและลึกออกมาอย่างชัดเจน “ท่านย่า น้องหญิงรองอายุมิน้อยแล้ว มิสู้เชิญแม่นมสักคนมาสั่งสอนมารยาทให้นางจักดีกว่าเจ้าค่ะ นางจักได้คุ้นเคยต่อกฎระเบียบของเมืองจิงได้เร็วขึ้น”