บทที่ 1235 – การตัดสินใจของเทียน เจียง คำเชิญของนายน้อยแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ ปฏิเสธ

 

เพราะว่าราชสีห์เทวาทองคำนั้นได้รับยาเสริมอสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับต่ำไป จึงถือว่าชิงซาสามารถจับมันได้สำเร็จในตอนนี้ ราชสีห์เทวาทองคำขนาดใหญ่วิ่งวนไปรอบๆชิงซา

 

ชิงซายื่นมือของนางออกไปลูบศีรษะของมันอย่างมีความสุข สัตว์อสูรตัวนี้มีทั้งเกล็ดและขนที่นุ่มนวล

 

“ขอบคุณท่านพ่อ!” ชิงซาหันหลังแล้วมองไปยังชิงสุ่ยด้วยความยินดี

 

“เจ้าเด็กโง่ เจ้าจะมากพิธีกับพ่อทำไม? มาเถอะ ไปทานอาหารกัน” เมื่อเห็นว่าชิงซามีความสุขชิงสุ่ยก็รู้สึกมีความสุขเช่นกัน ความสุขคือสิ่งที่สามารถส่งต่อไปยังคนอื่นๆได้

 

ชิงสุ่ยมอบยาหลายชนิดให้แก่ชิงซาเพื่อให้นางมอบให้กับสัตว์อสูรของตนเองรวมถึงยาเม็ดเสริมอสูรสีชาดในแก่นแท้ของหมาป่าจันทรา 9เศียรด้วยเช่นกัน นี่เป็นสิ่งที่ดีและมันยังสามารถช่วยพัฒนาสายเลือดของสัตว์อสูรได้ มันจะเป็นประโยชน์มากสำหรับเวลาที่สัตว์อสูรต้องการที่จะปลุกสายเลือดของตนเองให้ตื่นขึ้น

 

 

เมื่อถึงเวลาใกล้เที่ยงเทียน เจียงก็ได้มาหาเขา เมื่อเขาเห็นชิงสุ่ยเขาก็ดูมีความสุขอย่างยิ่ง หลังจากพูดคุยกันเล็กน้อยเขาก็พูดเรื่องที่ต้องการจะพูดออกมาทันที “พี่ชายของข้าได้ไปพบกับนายน้อยแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ และนายน้อยนั่นอยากจะพูดคุยกับเจ้า”

 

ชิงสุ่ยรู้ว่ายังไงวันนี้ก็ต้องมาถึงแต่เขาไม่คาดคิดว่ามันจะรวดเร็วเพียงนี้ ตอนแรกเขาคิดว่านายน้อยแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์จะมาตามหาเขาหลังจากเวลาผ่านไป เขาไม่คาดคิดว่านายน้อยแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์จะพูดตรงๆว่าต้องการพบกับเขา

 

“โอ้? เขาอยากจะพบกับข้า? เช่นนั้นก็ให้เขามาที่นี่” ชิงสุ่ยกล่าวอย่างไม่สนใจ ในตอนนี้มังกรไอยราเกล็ดทองคำได้ทรงพลังยิ่งขึ้นและแม้ว่าชิงสุ่ยจะต้องต่อสู้กับนายน้อยแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ มันก็อาจจะช่วยเหลือเขาได้

 

ดวงตาของเทียน เจียงเบิกกว้างขึ้น “เข้าต้องการให้เจ้าไปหาเขา”

 

เทียน เจียงยิ้มหลังจากกล่าวเช่นนี้ รอยยิ้มของเขาดูเจื่อนๆราวกับเขาไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ในเรื่องนี้

 

“พี่ชาย มีอะไรงั้นหรือ?” เมื่อชิงสุ่ยได้เห็นสีหน้าของเทียน เจียง เขารู้ว่ามันต้องเป็นเพราะเรื่องนี้

 

“นายน้อยแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์กำลังตามหาใครสักคนอยู่ ข้าได้ให้พี่ชายของข้าไปตามหาเขาอยู่และพี่ชายของข้าก็ได้รับปากว่าจะทำเรื่องนี้ แต่นายน้อยแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ต้องการให้เจ้าไปตามหาด้วยและยังต้องการให้เจ้ารักษาน้องชายของเขา”

 

“พี่ชาย พี่กลัวนายน้อยแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์และเหล่ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์หรือ?” ชิงสุ่ยถาม

 

“ข้าไม่ได้กลัว ไม่ว่าเหล่ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์จะหยิ่งผยองมากเพียงใด พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะทำอะไรข้า มันย่อมดีหากไม่มีเรื่องเลวร้ายใดๆเกิดขึ้นในความสัมพันธ์ระหว่างเรา แต่มันย่อมต่างออกไปสำหรับเจ้า ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังทำให้ชีวิตของฟู่ เหยียนติงต้องตกอยู่ในอันตราย หากเจ้าไม่รักษาเขา คนพวกนั้นย่อมไม่ปล่อยเจ้าไปแน่นอน ไม่มีผู้ใดจะสามารถหยุดเขาเอาไว้ได้” เทียน เจียงกล่าวด้วยความหดหู่

 

“พี่ชาย พี่ชายของท่านได้บอกเรื่องนี้มางั้นหรือ?” ชิงสุ่ยยิ้มและถามขึ้น

 

“ใช่แล้ว เป็นเพราะพี่ชายของข้ารู้ดีว่านายน้อยแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นคนแบบไหน ชิงสุ่ย เจ้าต้องฟังข้าในตอนนี้ ในตอนนี้เราไม่มีพลังมากพอที่จะต่อกรกับคนพวกนี้ แม้แต่พี่ชายของข้าก็ทำได้เพียงต้องยอมรับเรื่องนี้”

 

“พี่ชาย พี่ยังไม่ได้เดินออกจากโซ่พันธนาการที่คอยกักขังท่านเอาไว้ หากพี่ไม่หาญสู้กับพวกเขา พี่ก็จะไม่มีทางข้ามผ่านเรื่องนี้ไปได้อีกเลย ตัวพี่นั้นก็เป็นเหมือนกับกบที่อยู่ในบ่อน้ำและบ่อน้ำนั่นได้กักขังพี่เอาไว้” ชิงสุ่ยถอนหายใจและกล่าวออกมา

 

ชิงสุ่ยเข้าใจมุมมองของเทียน เจียง เขาก็เคยมีมุมมองแบบนี้ก่อนหน้านี้ หากเขาไม่ได้รับพลังแห่งความบรรพกาลมา เขาก็คงจะยอมแพ้ต่อโชคชะตาของตนเองด้วยเช่นกันและรู้สึกว่าบางคนนั้นกลับมีชีวิตที่ดียิ่งนักจนไม่อาจหาใครเทียบได้ แต่มันต่างออกไปในตอนนี้ เขาไม่เกรงกลัวผู้ใดอีกต่อไป เขาต้องการเพียงเวลา

 

“ข้าเข้าใจในเรื่องนี้แต่ความต่างระหว่างพวกเขากับข้านั้นมีมากเกินไป ข้ายังกลัวว่าอาจจะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นกับเจ้า บางทีเราน่าจะทนกับมันอีกสักหน่อย?” เทียน เจียงกล่าวด้วยความหดหู่

 

“ข้ารู้ว่าที่พี่พูดเรื่องนี้ก็เพื่อประโยชน์ของข้า แต่สำหรับผู้ฝึกยุทธแล้วเรื่องบางอย่างนั้นยอมหักได้แต่ไม่ยอมงอ พี่ชาย ข้าหวังว่าพี่จะหลุดออกจากพันธนาการของตนเองได้ มิฉะนั้นการบ่มเพาะของพี่ในอนาคตย่อมต้องจบลงเพราะตัวพี่เองในสักวันหนึ่ง พี่ต้องพยายามแม้มันจะยากยิ่งนัก มิฉะนั้นเมื่อพี่ได้ไปถึงจุดคอขวดในภายภาคหน้าพี่จะสูญเสียความมุ่งมั่นที่จะทำลายผ่านคอขวดนั้นไปได้ จิตใต้สำนึกของพี่จะรู้สึกว่าพี่ไม่อาจข้ามผ่านมันได้ มันก็เหมือนที่ข้าถามพี่ในตอนนี้ พี่ต้องทำให้ตนเองรู้สึกว่าพี่สามารถยกระดับไปยังระดับพลังปราณบรรชาสวรรค์พินาจได้” ชิงสุ่ยยิ้มและมองไปยังเทียน เจียง

 

ชิงสุ่ยกำลังทดสอบเขา หากเทียน เจียงไม่อาจผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ มันย่อมยากยิ่งนักที่เขาจะได้เป็นผู้พิทักษ์เทวะธรรมระดับ 5 ในอนาคต

 

เทียน เจียงขมวดคิ้วเข้าหากันทันที ความประทับใจที่เขามีต่อพี่ชายของเขานั้นทำให้เขารู้สึกว่าตนเองยังห่างไกลกับความทรงพลังนั่น เขาจะเผชิญหน้ากับคนที่แม้แต่พี่ชายของเขาก็ต้องไว้หน้าได้อย่างไรกัน? แม้ว่าเขาจะเข้าใจในสิ่งที่ชิงสุ่ยพูด แต่มันก็ยากยิ่งนักที่จะทำตาม นี่มันก็เหมือนกับคนธรรมดาที่ต้องเผชิญหน้ากับฝูงพยัคฆ์และราชสีห์ เขาจะสู้กับคนพวกนั้นได้อย่างไรกัน?

 

“หากคนเรามีความหวังอย่างแน่วแน่ จิตใจก็จะแน่วแน่ตามไปด้วย” ชิงสุ่ยกล่าวต่อ

 

คิ้วที่ขมวดกันของเทียน เจียงค่อยๆดูลึกขึ้นเรื่อยๆและมีประกายแห่งความดุดันปรากฏขึ้นในสายตาที่สดใสของเขา พี่ชายของเขานั้นทรงพลังอย่างยิ่งและตั้งแต่ยังเด็กนั้นความประทับใจที่เขามีต่อพี่ชายนั้นก็ยากที่จะลบเลือนออกจากจิตใจ มันมีวิธีที่จะลบมันออกอย่างง่ายดายได้หรือไม่?

 

“น้องชาย ข้าเชื่อในตัวเจ้า ในตอนนี้ข้าจะเผชิญหน้ากับพวกมันไปพร้อมกับเจ้า” หลังจากผ่านไปเป็นเวลานานเทียน เจียงก็พูดขึ้นอย่างมั่นใจ แม้ว่ามันจะไม่ได้ดูชััดเจนแต่นี่ก็เป็นการตัดสินใจของเขา

 

“เอาหละ อย่ากังวลไปเลย มันจะไม่เป็นอะไรหรอก ในอนาคตพี่จะคิดว่าการตัดสินใจในวันนี้นั้นมันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง” ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าว

 

มันย่อมดีกว่าที่จะตีเหล็กในตอนที่มันยังร้อน เพื่อที่จะให้เทียน เจียงเชื่อมั่นในความสามารถของตนเอง เขาจึงมอบหยดของฤดูใบไม้ผลิแห่งชีวิตให้ไป เขารู้ว่าคนแบบเทียน เจียงนั้นสามารถไว้ใจได้และดังนั้นเขาจึงไม่ได้กลัวว่าจะโดนหักหลัง ยิ่งไปกว่านั้นชิงสุ่ยก็ไม่ได้เกรงกลัวเรื่องอื่นๆเช่นกัน เขาพยายามช่วยเหลือเทียน เจียงจริงๆ

 

ชิงสุ่ยนั้นได้รับประโยชน์ที่มากมายมหาศาลจากยาเม็ดทองคำแห่งสวรรค์ทั้ง 9 ที่เทียน เจียงได้มอบให้แก่เขา ดังนั้นชิงสุ่ยจึงอยากแบ่งปันสิ่งที่เขามีให้แก่เทียน เจียงด้วยเช่นกัน

 

ยิ่งไปกว่านั้นเทียน เจียงยังถือเป็นสหายของเขา ในอนาคตพวกเขายังสามารถช่วยเหลือกันและกันได้ เมื่อเวลานั้นมาถึงเทียน เจียงย่อมเป็นประมุขของดินแดนแห่งนี้และเขาจะสามารถช่วยเหลือชิงสุ่ยได้อย่างมาก  ชิงสุ่ยนั้นชื่นชอบคนแบบเทียน เจียง เขาเป็นคนที่มีหลักการ ตรงไปตรงมาและเห็นคุณค่าของความสัมพันธ์

 

หลังจากเทียน เจียงได้รับฤดูใบไม้ผลิแห่งชีวิต พลัง ร่างกาย และศักยภาพในการเติบโตของเขาก็ได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก เขามองไปยังชิงสุ่ยด้วยความประหลาดใจ เขาได้รับประโยชน์มากมายจากชิงสุ่ย คนๆนี้มีสมบัติแห่งสวรรค์และโลกมากมายจากที่ใดกัน? เขาเองก็ไว้ใจชิงสุ่ยเช่นกัน มิฉะนั้นเขาคงไม่ตัดสินใจเมื่อครู่นี้

 

เขารู้สึกแปลกๆว่าไม่มีอะไรเลยที่ชิงสุ่ยนั้นไม่สามารถทำได้

 

“พี่ชาย หากข้าไม่ได้ไป นายน้อยแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์จะมาที่นี่ด้วยตนเองหรือไม่?” ในตอนนี้ชิงสุ่ยนั้นนั่งอยู่กับเทียน เจียงที่ข้างๆสะน้ำในลานบ้าน เขามองไปยังฝูงปลาที่แหวกว่ายอยู่ในสายน้ำและถามขึ้น

 

“เขาน่าจะทำเช่นนั้น แม้ว่าฟู่ เหยียนติงจะหยิ่งผยองไปหน่อย นายน้อยแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ยังคงรักเขา” เทียน เจียงกล่าวด้วยความมั่นใจ

 

“เช่นนั้นท่านคิดว่าเหลือเวลามากที่สุดกี่วันกันที่เขาจะออกมาตามหาข้า?”

 

“อีก 3 วัน เพราะเขาได้รับรู้ถึงจุดยืนของเจ้าอย่างชัดเจนแล้ว เขาย่อมออกมาตามหาเจ้าภายใน 3 วันนี้หากเจ้าไม่ไปหาเขา” เทียน เจียงรู้ดีถึงนิสัยของนายน้อยแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ โดยปกติแล้วwเมื่อนายน้อยแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เรียกใครให้ไปหาเขา ย่อมจบลงโดยไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน

 

“นายน้อยแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นคนแบบไหนกัน?” ชิงสุ่ยสงสัยอย่างยิ่ง

 

“เด็ดขาด แน่วแน่ ไม่เกรงกลัวข่าวลือใดๆ ชาญฉลาด และถือว่าเป็นคนที่สำคัญยิ่งนัก ไม่แปลกเลยที่เขาจะอาละวาดสังหารหมู่เป็นครั้งคราว เขาเป็นคนที่มีความรับผิดชอบและเป็นคนตรงไปตรงมา เขาจะไม่ใช้เล่ห์กลใดๆ อาจเป็นเพราะว่าส่วนใหญ่ที่ผ่านมาแล้วศัตรูที่เขาได้พบนั้นไม่มีค่าพอที่จะทำให้เขาต้องใช้เล่ห์กลใดๆ” เทียน เจียงประเมินนายน้อยแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ออกมา

 

ชิงสุ่ยไม่ได้คิดว่าการที่เขาเป็นคนแบบนี้นั้นเป็นเรื่องที่แปลกประหลาด หากนายน้อยแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่คนแบบนี้เขาคงไม่อาจอยู่ในตำแหน่งนี้ได้หรอก ดังนั้นเขาจึงได้คำตอบแล้ว เขาแค่อยากจะรู้ว่านายน้อยแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นคนแบบใดจากวิธการที่เขาได้ใช้ เพราะเขาเป็นคนตรงไปตรงมาเช่นนั้นย่อมไม่เป็นไร แน่นอนว่าชิงสุ่ยยังคงต้องระวังตัวอยู่เสมอ

 

เทียน เจียงได้จากไป ชิงสุ่ยหวังว่าเมื่อตอนที่นายน้อยแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ได้มาถึง เทียน เจียงจะสามารถมาที่นี่ได้เช่นกัน อีก 3 วัน… แม้ว่าเทียน เจียงจะบอกว่ามากที่สุด 3 วันชิงสุ่ยก็รู้ดีว่านายน้อยแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ย่อมมาถึงที่นี่เกินกว่า 3 วันอย่างแน่นอน

 

ในอีก 3 วันนี้เขาอาจจะต้องต่อสู้กับนายน้อยแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์หรืออาจจะไม่ก็ได้ มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในตอนนั้น แต่ชิงสุ่ยมีความรู้สึกอยากจะต่อสู้อย่างยิ่ง

 

เขาไม่รู้ว่าเขาจะได้พบความสงบในสามวันนี้หรือไม่

 

สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาให้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องเหนือความจริงมากสำหรับชิงสุ่ย การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนั้นช่างมากยิ่งนัก แต่มันก็เป็นสิ่งที่ดี เขามีความสุขจนรู้สึกว่ามันเกินจะรับไหว

 

ยามบ่ายในวันถัดมา ก็มีชายหลายคนปรากฏตัวขึ้นบนท้องฟ้า

 

ก่อนหน้านี้เวลาแต่ละวันผ่านไปอย่างสงบสุข ในวันนี้ชิงสุ่ยได้ให้คำแนะนำกับชิงซาอยู่ในลานฝึกฝน ดังนั้นเขาจึงได้เห็นผู้คนที่มานี้ได้อย่างรวดเร็ว

 

พวกเขามาแล้วงั้นหรือ?

 

ชิงสุ่ยเงยศีรษะของเขาขึ้นและมองออกไป คนที่สามารถบินได้เช่นนี้ในสำนักสวรรค์เร้นลับอย่างน้อยก็ต้องมีสภานะที่เป็นผู้อาวุโส ผู้อาวุโสเทียนยี่ได้มาที่นี่ก่อนหน้านี้ ดังนั้นในครั้งนี้ผู้ที่มานั้นย่อมทรงพลังยิ่งกว่าผู้อาวุโสเทียนยี่

 

ชายชรา 4 คนเข้ามายืนอยู่เหนือคฤหาสน์ของเขาอย่างรวดเร็ว

 

“เจ้าคงเป็นท่านชิง พวกเรามารับเจ้าไป นายน้อยแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่มีเวลาว่างมากนักจึงส่งพวกเรามารับเจ้าแทน” ชายชราที่เป็นผู้นำมีร่างกายที่กำยำและสวมชุดเกราะสีทองทำให้เขาดูราวกับเทพแห่งสงคราม ชายชราผู้นี้ไม่ได้ดูชรามากนัก บนเป็นบนใบหน้าของเขาทำให้เขาดูแข็งแกร่งและมีมีริ้วรอยจางๆบนใบหน้าของเขา ดวงตาของเขานั้นเฉียบคมราวกับใบมีด

 

“ข้าได้พูดไปก่อนหน้านี้แล้ว หากเขาต้องการที่จะพบข้า เขาต้องมาด้วยตนเอง หากเขายุ่งมากนักเช่นนั้นข้าก็จะไม่รบกวนเขาดีกว่า”

 

“เจ้าคิดว่าตัวเองสูงศักดิ์มากงั้นหรือ เจ้าเป็นใครกันที่นายน้อยแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์จะต้องมาพบเจ้าด้วยตนเอง?” ชายชรารู้สึกโกรธจนไม่อาจอธิบายได้แม้แต่น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความรังเกียจ

 

“เช่นนั้นเจ้าจะมาพูดอะไรให้มากความต่อหน้าข้า?” ในตอนนี้ชิงสุ่ยไม่ได้สนใจตำแหน่งผู้อาวุโสของคนพวกนี้เลย

 

นี่เพราะว่าชายชราเป็นตัวแทนของนายน้อยแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ในตอนนี้และไม่ได้มาในนามสำนักสวรรค์เร้นลับ ยิ่งไปกว่านั้นถ้ามีการรายงานไปยังสำนักสวรรค์เร้นลับว่าผู้อาวุโสพวกนี้ไม่อาจจัดการกับรุ่นเยาว์ได้พวกเขาคงขายหน้าอย่างยิ่งในอนาคต

 

ดังนั้นชิงสุ่ยจึงโต้ตอบกลับไปด้วยความรังเกียจเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นสำนักสวรรค์เร้นลับนั้นยุ่งจนเกินกว่าจะมาจัดการปัญหาแบบนี้ได้

 

“จองหองยิ่งนัก เด็กอย่างเจ้าคงไม่รู้ว่าโลกนี้นั้นใหญ่โตมากเพียงใด เจ้าคิดจริงๆงั้นหรือว่าเจ้าเหนือกว่าคนอื่นๆเพีนงเพราะเจ้าสามารถจัดการเทียนยี่ได้? ข้าจะบอกเจ้าเองว่าที่นี่คือสำนักสวรรค์เร้นลับ มันไม่ที่ที่เจ้าจะมาทำตัวอวดดีได้ เจ้ายังเติบโตได้อีกมากนัก” ชายชราโกรธจนต้องหัวเราะออกมาและกล่าวเช่นนี้

 

“เจ้าเฒ่า ข้าอาจยังเด็กนักและจองหองแต่เจ้ามันแก่แต่อายุเสียจริงๆ เจ้าคิดว่าข้าไม่มีไพ่ตายซ่อนเอาไว้งั้นหรือที่ข้ากล้าต่อปากต่อคำแบบนี้?” ชิงสุ่ยยิ้มและตอบกลับ

 

ชายชราตกตะลึงไปในทันที เขามองไปที่ชิงสุ่ยอย่างจริงจังและกล่าวขึ้น “ในวันนี้เจ้าต้องไปไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม” ชายชรากล่าวอย่างดุดันก่อนที่จะพุ่งออกไปหาชิงสุ่ย

 

เมื่อคิดถึงชิงซา ชิงสุ่ยก็พุ่งขึ้นไปที่กลางอากาศและความเร็วของเขาก็เพิ่มมากขึ้นจากการได้ใช้ทักษะย่างก้าว 9เทวา

 

ท่าฟาดฟันแห่งไท่เก๊ก!

 

ชิงสุ่ยสะบัดมือขวาของเขาจากนั้นก็โจมตีออกไปโดยการสับด้วยฝ่ามือ!

 

ปราณทองคำไทเก๊ก !

 

ตู้ม!

 

ชิงสุ่ยเข้าใจเพลงหมัดไทเก๊กจนถึงระดับที่เชี่ยวชาญอย่างยิ่ง การฟาดฟันครั้งนี้ไม่ถือว่าเป็นเพลงหมัดไทเก๊กแต่มันก็ใช้หลักการเดียวกันกับเพลงหมัดไทเก๊กในการโจมตีอย่างรวดเร็วและรุนแรง

 

ด้วยระดับของชิงสุ่ย เขาไม่ทำเป็นที่จะใช้ท่วงท่าต่างๆในขณะที่ตนเองนั้นยืนนิ่งแต่สามารถใช้ท่วงท่าเช่นนี้ได้ แต่มันยังมีเงาของท่วงท่าอื่นๆลางๆในการโจมตีครั้งนี้ ตัวอย่างเช่น ท่าฟาดฟันแห่งไท่เก๊กของชิงสุ่ยที่มาจากเพลงหมัดไทเก๊กและปลดปล่อยความรู้สึกที่ทำให้รู้สึกว่ามันเป็นเคล็ดวิชาที่ทรงพลัง