ตอนที่ 558

Elixir Supplier

558 มีชื่อเสียง แต่นิสัยแปลกประหลาด

 

“นายจัดการเรื่องการเดินทางของราชายารึยัง?” หานชิ่งพูด

 

“อืม ฉันได้ส่งคนไปที่นั่นแล้ว จื้อเกาก็อยู่ที่นั่นด้วย” หานจื้อหยูพูด

 

“นายไปดูหน่อยได้ไหม ว่าหมอซางไปจากต้าหลี่แล้วรึยัง?” หานชิ่งพูด “ถ้าเขารู้ว่าราชายามาที่นี่ เขาจะต้องรู้แน่ๆว่าเกิดอะไรขึ้น”

 

“ได้” หานจื้อหยูพูด

 

 

ที่หมู่บ้าน ภายในบ้านของหวังเจ๋อเชิง หวังเจ๋อเชิงยังคงไอไม่หยุด แค่ก! แค่ก! แค่ก!

 

“พ่อ เป็นอะไรไหม?” หวังเจ๋อเชิงถามด้วยความเป็นห่วง

 

“ไม่เป็นไร” หวังยี่หลงพูด

 

“งั้นก็ดี” หวังเจ๋อเชิงพูด

 

“ห่าวหยวน ปู่ไม่ค่อยสบาย ลูกก็โตพอจะเล่นเองได้แล้ว อย่าเอาแต่ชวนปู่เล่น ไปเล่นของเล่นของลูกดีกว่านะ” หวังเจ๋อเชิงพูด

 

“พ่อไม่เป็นไร ห่าวหยวนไม่ได้หนักขนาดนั้น” หวังยี่หลงพูด

 

“ปล่อยให้เขาเล่นเองไปเถอะ พ่ออย่าตามใจเขามากเลย” หวังเจ๋อเชิงพูด

 

หวังเย้าเอายามาส่งให้ที่บ้านของพวกเขาเมื่อวาน เขายังตรวจดูอาการและนวดให้กับหวังยี่หลงอีกด้วย และวันนี้ สีหน้าของหวังยี่หลงก็ดีขึ้นมาก

 

“พ่อของพี่ป่วยหนักมาก ผมรักษาเขาไม่ได้ และคงแค่พยายามยืดเวลาชีวิตของเขาให้นานขึ้นเท่านั้น” หวังเย้าพูด

 

หวังเจ๋อเชิงเอาแต่คิดถึงคำพูดของหวังเย้า

 

“พยายามทำให้ดีที่สุด เพื่อให้เขามีความสุขจะดีกว่านะครับ” หวังเย้าพูด

 

“ฉันจะทำให้ดีที่สุด” หวังเจ๋อเชิงพูด

 

หวังเย้าไม่ได้บอกกับหวังเจ๋อเชิงว่าพ่อของเขาจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน เขาอาจจะอยู่ได้อีกเดือน, สามเดือน หรืออาจจะหกเดือนเลยก็ได้ หวังเจ๋อเชิงคิดถึงเรื่องที่พ่อของเขากำลังจะตายอยู๋หลายครั้ง

 

ฉันจะต้องทำให้พ่อมีความสุข ในช่วงเวลาที่เหลืออยู่!

 

“เจ๋อเชิง พ่อโทรไปหาพี่สาวของลูกเมื่อเช้านี้ เธอบอกว่า เธอจะว่างมาหาที่บ้านวันพรุ่งนี้นะ” หวังยี่หลงพูด “แล้วเธอก็จะพาเด็กๆมาด้วย”

 

หวังยี่หลงคิดถึงหลานอีกสองคนเช่นกัน

 

“ดีครับ” หวังเจ๋อเชิงพูด

 

ในคลินิก หวังเย้าเตรียมยาสำหรับใช้ที่ปักกิ่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาบอกเรื่องการเดินทางไปปักกิ่งให้พ่อแม่ของเขาได้รู้ในตอนกลางวัน

 

“คราวนี้ ผมอาจจะอยู่ที่ปักกิ่งนานกว่าปกติหน่อยนะครับ” หวังเย้าพูด

 

“นานแค่ไหนเหรอ?” จางซิวหยิงถาม

 

“ประมาณ 5 วันครับ” หวังเย้าพูด

 

“ได้จ๊ะ อย่าลืมเรื่องงานแต่งของพี่เขาล่ะ” จางซิวหยิงเตือนลูกชายของเธอ

 

“ไม่ลืมหรอกครับ” หวังเย้าพูด

 

หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ เขาก็กลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน เพื่อเก็บของสำหรับเดินทางไปปักกิ่ง และสั่งงานซานเซียนให้ทำในช่วงที่เขาไม่อยู่

 

เช้าวันต่อมา เขาลงมาจากเนินเขาหนานชานพร้อมกับกระเป๋าเป้ใบหนึ่ง และมุ่งหน้าสู่ปักกิ่ง

 

เมื่อเขาเดินทางจากห่ายชิวไปถึงปักกิ่ง มันก็เป็นเวลากลางวันแล้ว เขาเรียกแท็กซี่เพื่อให้พาเขาไปส่งที่กระท่อมที่เขาเคยอยู่เป็นประจำ

 

“สวัสดีค่ะ หมอหวัง!” เฉินหยิงรู้สึกประหลาดใจที่ได้เห็นหวังเย้า “คุณจะมา ทำไมไม่บอกเราก่อนละคะ?”

 

“ผมไม่อยากให้ทุกคนต้องมาวุ่นวายเพราะเรื่องของผมน่ะครับ” หวังเย้าพูด

 

เฉินหยิงเดินเข้าไปรับกระเป๋ามาจากหวังเย้า

 

“น้องชายของพี่เป็นยังไงบ้างครับ?” หวังเย้าถาม

 

“เขาสบายดีค่ะและก็ยังปกติดีอยู่ นี่ก็ผ่านมาได้สักพักแล้ว” เฉินหยิงพูด เธอมีความสุขกับอาการของเฉินโจวในตอนนี้มาก

 

“พรุ่งนี้เช้า ผมจะไปเยี่ยมบ้านตระกูลหวู แล้วจะไปหาน้องชายของพี่ตอนบ่ายนะครับ” หวังเย้าพูด

 

“ได้ค่ะ ฉันจะเตรียมการทุกอย่างให้พร้อม” เฉินหยิงพูด

 

 

ขณะเดียวกัน ภายในหมู่บ้านเล็กๆกลางป่า ราชายาได้สั่งให้ลู่ศิษย์ของเขาไปแจ้งให้กับคนไข้ทุกคนได้ทราบว่า วันนี้เขาจะไม่รักษาใครทั้งนั้น เพราะเขาจะออกไปข้างนอก

 

“ผู้อาวุโส เชิญครับ” หานจื้อเกาพูดอย่างสุภาพ

 

“ฉันไม่ได้แก่ขนาดนั้น” ราชายาพูดด้วยเสียงอันดัง

 

“แน่นอนครับ แน่นอน เป็นความผิดของผมเอง” หานจื้อเกาพูด

 

“ช่างเถอะ” ราชายาพูด

 

เขาและลูกศิษย์ขึ้นไปนั่งบนรถที่หานจื้อเกาเตรียมเอาไว้ให้และมุ่งหน้าสู่ต้าหลี่ พวกเขาไปถึงที่นั่นในตอนเที่ยง

 

“ผมได้เตรียมอาหารเอาไว้ให้แล้วครับ” หานจื้อเกาพูด

 

“ฉันอยากจะไปดูคนไข้ก่อน” ราชายาพูด

 

“ได้เลยครับ!” หานจื้อเการีบโทรหาพี่ชายของเขาทันที

 

“เขาจะมาแล้ว!” หานจื้อหยูรู้สึกตื่นเต้น

 

หานชิ่งบอกกับน้องๆของเขาว่า อย่าไปบอกคนอื่นว่าราชายาจะมาที่นี่ ถ้าหากคนอื่นถาม ก็ให้บอกว่า เป็นแขกพิเศษของพวกเขาแทน

 

หานชิ่งและหานจื้อหยูออกมายืนรอต้อนรับราชายาถึงที่หน้าประตูบ้าน เมื่อเห็นเขา สองพี่น้องก็คิดในใจว่า เขาดูไม่เหมือนคนอายุ 70 กว่าเลยสักนิด! เขายังดูอายุน้อยอยู่เลย!

 

“สวัสดีครับ ราชายา” หานชิ่งพูด

 

“เลิกทำพิธีรีตองได้แล้ว พาฉันไปหาคนไข้” ราชายาพูดขัดจังหวะ

 

“ครับ” หานชิ่งพูด

 

เขานำทางราชายาไปยังห้องของน้องชายเขา ไม่นานพวกเขาก็เห็นคนไข้ที่นอนอยู่บนเตียง

 

“กลิ่นอะไรน่ะ?” อยู่ๆราชายาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นมา เขารีบเดินตรงเข้าไปที่เตียงและเปิดผ้าพันแผลออก เผยให้เห็นบาดแผล

 

“อะรกัน?” ราชายาดูมีท่าทางตกใจ

 

นักเรียนของเขาก็ตกใจเช่นกัน

 

“พิษน่าเกลียดนั่นอีกแล้วเหรอ!” ราชายาพูดออกมาด้วยความประหลาดใจ

 

“ท่านเคยเจอพิษแบบนี้มาก่อนเหรอครับ?” หานชิ่งถาม

 

“หมอคนนั้นให้ยาเขาไปมากเท่าไหร่แล้ว?” ราชายารู้สึกอัศจรรย์ใจ เมื่อเห็นแผลตกสะเก็ดที่แขนของคนไข้

 

“ยาสองตัวแรก เราใช้ไปครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกตัว ใช้ไปหนึ่งในห้าครับ” หานชิ่งพูด

 

“เอายาทั้งหมดมาให้ฉัน” ราชายาพูด

 

“ได้ครับ” หานชิ่งเอายาที่ได้มาจากหวังเย้าให้ราชายาดู

 

“เอายาให้เขาครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่?” ราชายาถาม

 

“ตอน 8 โมงเช้าครับ” หานชิ่งพูด “ยาตัวนี้จะช่วยขับพิษออกจากร่างกาย ส่วนตัวที่สอง ช่วยฟื้นฟูร่างกาย และตัวที่สาม ช่วยซ่อมแซมผิวหนังและกล้ามเนื้อที่เสียหายครับ”

 

“อืม” ราชายาพยักหน้า “อาเจี้ยน”

 

“ครับ อาจารย์” อาเจี้ยนพูด

 

“เอายาทั้งหมดที่ฉันใช้ครั้งก่อนออกมา” ราชายาพูด

 

“ได้ครับ” อาเจี้ยนพูด

 

“ให้ผมไปด้วยนะครับ” หานจื้อเกาพูดและพยายามจะตามอาเจี้ยนไป

 

“เธอรออยู่ที่นี่แหละ” ราชายาพูด

 

“ครับ” หานจื้อเกาพูด “เราเตรียมอาหารเอาไว้ให้แล้ว ท่านเดินทางมาเหนื่อยๆ อยากจะทานอะไรสักหน่อยไหมครับ?”

 

“ก็ดี” ราชายาพูด

 

สมาชิกครอบครัวหานพาราชายาไปที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง

 

“หืม?” ชายชราคนหนึ่ง บังเอิญเห็นราชายา พร้อมกับลูกศิษย์และพี่น้องหานเข้า

 

ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้กัน? แล้วพี่น้องหานเชิญเขามาได้ยังไง?

 

ชายชราก็คือ ซางกู้จื้อ เขาเคยพบราชายามาแล้วครั้งหนึ่ง และรู้ว่า เขาเป็นคนที่แปลกประหลาดขนาดไหน เขาจะรักษาคนไข้หรือไม่นั้น ล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเขาเป็นหลัก เมื่อไหร่ที่เขาอารมณ์เสีย จะเป็นทองกองเท่าบ้านหรือเอาดาบมาพาดไว้ตรงคอ ก็ไม่มีทางทำให้เขาขยับตัวได้ อย่าว่าแต่ออกมารักษาคนไข้ข้างนอกเลย

 

ซางกู้จื้อรู้ดีว่า พี่น้องหานไม่ใช่ตระกูลมีอำนาจในเมือง

 

นอกจากว่า…เขาคิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง เขาถอนหายใจ พร้อมกับส่ายหน้าและเดินจากไป

 

 

ภายในหมู่บ้าน หวังยี่หลงกำลังมีความสุข เพราะมีหลานๆอยู่ล้อมรอบตัวเขา การได้เฝ้ามองเด็กๆที่น่ารักเหล่านี้ มันทำให้ความเจ็บปวดของเขาหายไปได้

 

หลังทางอาหารกลางวันเสร็จ หวังเจ๋อเชิงก็เรียกพี่สาวของเขามาคุยเป็นการส่วนตัว

 

“พี่ ฉันมีเรื่องบางอย่างจะบอก” หวังเจ๋อเชิงพูด

 

“เรื่องอะไรเหรอ?” เธอถาม เธอพบว่า น้องชายของเธอเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ เขากลายเป็นอีกคนหนึ่งไปเลย เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า เขาจะดูแลพ่อของพวกเขาได้เป็นอย่างดีแบบนี้ ดังนั้น เธอจึงรู้สึกสงสัยว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น

 

“พี่ ตอนนี้พ่อป่วยหนักมาก” หวังเจ๋อเชิงพูด

 

“พ่อป่วยเป็นอะไร?” พี่สาวของเขาถาม

 

“มะเร็ง” หวังเจ๋อเชิงพูด

 

“อะไรนะ?” ร่างกายของเธอเริ่มสั่นเทา จากนั้น น้ำตาก็ไหลพรากออกมาจากสองตา

 

“พี่ อย่าร้อง พ่อไม่รู้ว่าตัวเองป่วยเป็นมะเร็ง” หวังเจ๋อเชิงพูดด้วยความกังวล เขาเคยคิดว่า เขาควรจะบอกพี่สาวเรื่องที่พ่อป่วยดีหรือไม่ แต่หลังจากที่คิดอยู่ตลอดทั้งเช้า เขาก็ตัดสินใจที่จะบอกกับเธอ และเขาก็รู้ดีว่า พี่สาวของเขาจะต้องตกใจและเสียใจมาก

 

“ออกไปจากที่นี่กันเถอะ” พี่สาวของเขาใช้มือข้างหนึ่งปิดปากและเดินออกไปจากห้อง “รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าเขาเป็น? ทำไมถึงไม่บอกฉันให้เร็วกว่านี้?”

 

“ครั้งก่อนที่ฉันโทรหาพี่ พี่ก็อยู่เฝ้าลูกที่โรงพยาบาลพอดี ฉันก็เลยไม่อยากบอก แล้วหลังจากนั้นสองสามวัน ฉันก็พาพ่อเข้าไปตรวจที่โรงพยาบาลในเมือง” หวังเจ๋อเชิงพูด

 

“นายพาพ่อไปตรวจที่ไหน?” พี่สาวของเขาถาม

 

“ที่โรงพยาบาลประจำเขตเหลียนชาน” หวังเจ๋อเชิงพูด

 

“พาพ่อไปรักษาที่โรงพยาบาลในเมืองหลวงกันเถอะ เราพาพ่อไปกันวันนี้เลย” พี่สาวของเขาพูด

 

“พี่ ฟังฉันก่อน!” หวังเจ๋อเชิงหยุดพี่ของเขา ที่คิดจะเดินกลับเข้าไปในบ้านเอาไว้

 

“ถ้าเราพาพ่อไปที่นั่น เขาก็จะรู้ว่าตัวเองป่วยเป็นมะเร็ง หมอที่โรงพยาบาลบอกมาว่า ถ้าเขาไม่รู้ว่าตัวเองป่วยเป็นอะไร เขาก็อาจจะอยู่ได้อีกเป็นปีหรือนานกว่านั้นได้ แต่ถ้าเขารู้ขึ้นมา เขาก็อาจจะหยุดกิน หยุดนอน และเอาแต่กังวลเรื่องอาการป่วยอยู่ตลอดเวลา แล้วมันก็จะทำให้เขามีชีวิตอยู่ได้ไม่นานด้วย” หวังเจ๋อเชิงพูด

 

ทั้งหมอในตัวจังหวัดและหวังเย้าต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันในเรื่องนี้