“คนทางตะวันตกเฉียงใต้ล้วนเป็นผู้มีฝีมือสูง การได้ยินของพวกเขานับว่าร้ายกาจมาก แม้แต่อยู่ในสงครามก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ได้ยินเสียงของนาง ถอย”

“ไม่ได้ ข้าไม่ยอม ระยะห่างของพวกเราและนางกำลังใกล้เข้ามา หากใช้เวลาอีกเพียงนิดเดียวก็จะไล่ตามนางทันแล้ว หากจะถอยหลังกลับตอนนี้ เช่นนั้นจะเป็นการน่าเสียดายอย่างมาก”

“ใช่ อีกอย่างซานเหนียงก็ถูกพิษของนางเข้า หากไม่ได้ยาถอนพิษจากนาง เช่นนั้นซานเหนียงจะทำเช่นไร?”

ประมุขวิญญาณมืดไม่ยอม

แต่เขารู้ดีเหลือเกินถึงพละกำลังและความร้ายกาจของเทพแห่งสงครามและจอมมาร

ไม่ต้องพูดว่าทั้งสองคนจะร่วมมือกัน ต่อให้แค่เพียงคนเดียว แค่เพียงกระดิกนิ้วก็สามารถกำจัดพวกเขาได้

เขาไม่สามารถเดิมพันได้

และไม่ต้องการเดิมพัน

ในเวลานั้นเขาได้เห็นกับตาของตัวเองถึงการต่อสู้ระหว่างจอมมารและผู้นำนิกายเทพอสูร มันเป็นการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่และยอดเขาหลายแห่งถูกถล่มลงในการต่อสู้ครั้งนั้น

ถึงแม้ว่าพวกเขาต้องการจะจัดการผู้นำนิกายเทพอสูรเพื่อล้างแค้น แต่เขาก็รู้พละกำลังของตัวเองไม่อาจเทียบได้

การตามหาระฆังวิญญาณสะบั้น ก็เพื่อต้องการเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ที่ไม่มีใครเทียบ เพื่อเอาชนะผู้นำนิกายเทพอสูร และทำลายนิกายเทพอสูร

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ประมุขวิญญาณมืดก็คว้าตัวของสวีซานเหนียงและสวีเจิ้นเอาไว้ “ตราบใดที่ขุนเขาเขียวขจียังอยู่ อย่าได้กลัวไม่มีฟืนเผา แม่ผู้หญิงคนนี้ ค่อยจัดการกับนางทีหลัง”

สวีเจิ้นพยายามสะบัดอย่างแรง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาแสดงความโมโหกับประมุขวิญญาณมืด

“พี่ใหญ่ จะเริ่มลงมือเมื่อไร ทำไมความกล้าหาญของเจ้าจึงเปลี่ยนไปเช่นนี้? หากข้างหน้าที่เทพแห่งสงครามแล้วจะเป็นเช่นไร? นายน้อยเผ่าเพลิงฟ้าก็กำลังต่อสู้กับเขาอยู่ ขาทั้งสองข้างของเทพแห่งสงครามก็พิการ เขาไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของเผ่าเพลิงฟ้าได้อย่างแน่นอน มีอะไรให้ต้องเกรงกลัวอย่างนั้นหรือ”

“เจ้าโง่ ยังมีจอมมารอีก นางมีความสัมพันธ์ที่แน่นเเฟ้นกับจอมมาร จะประมาทไปไม่ได้” ประมุขวิญญาณมืดกระทืบเท้า

สวีเจิ้นเป็นคนเชื่อฟังเขามาโดยตลอด แต่ตั้งแต่ที่เขาถูกควักดวงตาออกไป จากนั้นเขาก็ไม่เชื่อฟังคำพูดที่เขาพูดอีกเลย

“ต่อให้จอมมารคอยอยู่เบื้องหลังของนางแล้วจะเป็นเช่นไร อีกเพียงแค่นิดเดียวข้าก็สามารถเอาชีวิตของเขาได้แล้ว ข้าไม่สน”

เมื่อพูดจบ สวีเจิ้นยังคงไล่ล่าตามไป

ประมุขวิญญาณมืดไม่ต้องการให้เขาไปตาย จึงได้ทำการขัดขวางเขาไว้

คิดไม่ถึงเลยว่าสวีเจิ้นจะกล้าลงมือ และยิ่งคาดไม่ถึงก็คือ สวีซานเหนียงใช้โอกาสนี้สะบัดมือของเขาและติดตามไล่ล่ากู้ชูหน่วนต่อไป

“แม่สาวโสโครก เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ วันนี้ข้าจะเอาชีวิตของเจ้า”

เสียงของสวีซานเหนียงดังมากและจอมมารที่กำลังลังเลว่าจะไปหากู้ชูหน่วนดีหรือไม่ก็ได้ยินเข้า

เยี่ยจิ่งหานก็ได้ยินเช่นกัน

สีหน้าของจอมมารเย็นชาขึ้นทันที แต่ไม่เห็นว่าเขาจะทำการเคลื่อนไหวใดๆ เงาสีแดงเพลิงได้มาถึงเชิงเขาแล้ว

ที่เชิงเขา กู้ชูหน่วนมีสีหน้าซีดเผือด ริมฝีปากมีคราบเลือดเล็กน้อยและกำลังฝืนพยายามปีนขึ้นภูเขา

ภายหลังของนางมีผู้หญิงที่น่ารังเกียจและบ้าคลั่งไล่ตามมา

ผู้หญิงคนนั้นมีรัศมีการสังหารเต็มตัว อาวุธหัตถ์โลหิตก็ถูกเหวี่ยงไปที่กู้ชูหน่วน

โชคดีที่กู้ชูหน่วนหลบได้ว่องไว ไม่เช่นนั้นเกรงว่าจะต้องถูกหัตถ์โลหิตตายอย่างแน่นอน

จอมมารหัวเราะอย่างเยือกเย็นและดวงตาสีอ่อนที่เย้ายวนก็เปล่งประกายรัศมีการสังหาร

เพียงเขาขยับมือ ดอกลำโพงนับไม่ถ้วนก็ได้พันเข้ากับสวีซานเหนียงอย่างรวดเร็ว

สวีซานเหนียงคิดว่าเป็นเพียงดอกไม้ธรรมดาทั่วไปและนางต้องการทำลายดอกไม้นั้นให้แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ แต่คิดไม่ถึงว่าแรงจากฝ่ามือของนางราวกับกระทบกับสำลีและดอกไม้ไม่ได้ถอยหนี แต่กลับพุ่งไปข้างหน้าแทน

“ซู่……” เสียงดังขึ้นและดอกไม้นั้นก็พันรอบตัวนาง

สวีซานเหนียงตกใจจนดวงตาเบิกกว้างด้วยความสยดสยองและความกลัวก็แพร่กระจายจากก้นบึ้งของหัวใจไปยังแขนขาของนาง

นั่น……

ดอกลำโพงซึ่งเบ่งบานจนงดงาม แท้จริงแล้วมันอ้าปากราวกับโครงกระดูก และกินเนื้อและเลือดของนางทีละน้อย

ทุกคำที่กัดเข้าไป ล้วนแล้วแต่มีเนื้อและเลือดผสมอยู่ เลือดนั้นกระเซ็นไปทั่ว

“อ๊า……”

สวีซานเหนียงดิ้นรนทุรนทุรายพยายามที่จะหลุดพ้น แต่กลับไม่สามารถขยับเขยื้อนได้เลย เถาดอกลำโพงนั่นเปรียบเสมือนกำแพงเหล็กที่ไม่อาจหวั่นไหวได้เลย

ทำได้เพียงแค่ดูเลือดเนื้อของตัวเองที่ถูกกินทีละนิด แม้อยากตายก็ไม่อาจทำได้