Ep.326 ข้าอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเจ้า

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา

Ep.326 ข้าอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเจ้า

“ตูม!”

ส่วนหนึ่งของกำแพงถล่มทำให้ทหารอาสากรูเข้ามา ประตูเมืองทิศเหนือยังอันตรายถึงเพียงนี้ ฝั่งตะวันออกคงรุนแรงกว่านี้มาก ชวีฉูและฉินเหลยช่วยกันปกป้องฉินอินจากตำหนักเจ๋อเทียน จักรวรรดิฉินที่มีมาอย่างยาวนานกว่าเจ็ดพันปี ในที่สุดก็มาถึงวันอวสาน

เสียงกลองศึกดังขึ้น ทหารกององครักษ์หน้าเปื้อนเลือดกระหน่ำตีเป็นสัญญาณให้กองทัพค่ายเขาเหินออกศึก

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนเริ่มเหนื่อยล้า ชุดเกราะเต็มไปด้วยคราบเลือด ทว่าเขาไม่ย่อท้อใบหน้าหล่อเหลาเปล่งประกายชักดาบออกจากฝัก มุ่งไปค่ายของศัตรูอย่างรวดเร็วด้วยท่าทีสง่างาม กระทั่งเห็นแนวทัพข้าศึกนอกเมืองหลันเยี่ยนอยู่ไม่ไกล

ต้นกำเนิดของกองทัพทหารอาสาพวกนี้มาจากกองกำลังส่วนตัวของราชาเจิ้นหนานฉินอี้ กองทัพชั้นยอดจากเมืองไป๋หลิง เจ็ดเมืองดังแห่งจักรวรรดิ ทั้งกองทัพศัตรูเหลือราวหนึ่งแสนห้าหมื่นนาย พวกมันคือหนึ่งในกองกำลังที่ทำลายเมืองหลันเยี่ยน

กองทัพค่ายเขาเหินแห่งจักรวรรดิเหลืออยู่เพียงห้าพันนาย อีกทั้งผู้บัญชาการคนก่อนของกองทัพนี้ยังเป็นหลงเซียนหลิน ซึ่งเป็นผู้นำกองทัพฝ่ายศัตรูในเวลานี้ เรื่องราวในอดีตหวนคืนมาอย่างไม่รู้จบ

หลงเซียนหลินรู้จักกลยุทธ์การรบเป็นอย่างดี หนึ่งในสามของกองทัพถูกแบ่งออก ทหารห้าหมื่นหน้าเข้าประจำอยู่พื้นราบ จัดเป็นทัพโล่และหอกเป็นวงล้อมซ้อนกันเจ็ดชั้น หอกยาวถูกเสียบออกมาจากช่องว่างระหว่างแนวโล่ ซึ่งลยุทธ์นี้ใช้เพื่อจัดการกับทหารม้าโดยเฉพาะ

หลงเซียนหลินควบม้าฝ่าแนวทัพออกมา ก่อนจะประสานกำปั้นคำนับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ท่านผู้บัญชาการฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน หนึ่งในสี่วีรบุรุษแห่งหลันเยี่ยน ทั้งยังเป็นพี่ชายของหลินมู่อวี่ เชียนหลินผู้นี้ขอคารวะ หากท่านฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนยอมแพ้เสียตอนนี้ ด้วยความสามารถของท่าน…องค์ราชาเจิ้นหนานคงต้องประทานตำแหน่งขุนนางให้เป็นแน่ เหตุใดท่านจึงยอมสละชีวิตเพื่อจักรวรรดิที่อ่อนแอนี้เช่นนี้ด้วย?”

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนชักดาบออกมาอย่างไม่แยแส “ข้าเป็นนายทหารกินเงินเดือนและของแบกรับความหวังขององค์จักรพรรดิไว้ ฝ่าบาททรงมอบเกียรติยศให้แก่ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน ด้วยชีวิตข้าในวันนี้จะต้องปกป้ององค์หญิงและประชาชนหลันเยี่ยนห้าล้านคนให้ได้!”

“หึ!”

หลงเซียนหลินเย้ยหยัน “เช่นนั้นก็เข้ามา!”

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนหันไปกล่าวแก่กองทัพค่ายเขาเหิน “ข้ารู้ว่าครั้งหนึ่งพวกเจ้าเคยเป็นทหารของเมืองห้าหุบเขาและอยู่ใต้บัญชาของหลงเซียนหลิน ทว่าในวันนี้ พวกเจ้าเป็นทหารของจักรวรรดิ และเป็นหน้าที่ของทหารจักรวรรดิที่ต้องปกป้องบ้านเมืองและจักรวรรดิของตน เพื่อประชาชนทั้งห้าล้านคนที่เราปกป้อง จงมากับข้าและสังหารพวกมันให้สิ้น! จนกว่าร่างจะถูกฝัง จนกว่าผืนดินนี้จะกลบหน้าเจ้า ให้ทุกสิ่งที่นี่เป็นประจักษ์พยาน บุกได้!”

ทหารม้าของกองทัพเขาเหินต่างยกอาวุธเตรียมพร้อม

เสียงกระแทกเท้าของม้าดังกึกก้องไปทั่ว เหล่าทหารฮึกเหิมแสดงสีหน้าแห่งความเกลียดชังและโกรธแค้น ทหารกล้าทั้งห้าพันนายเข้าปะทะแนวโล่ด้วยดาบคมจนเลือดสดสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ

เลือดศัตรูกระเด็นติดหน้าฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน ผ้าคลุมเบื้องหลังปลิวไสวคล้ายกำลังบินอยู่ เหมือนในความฝันก่อนหน้านี้…

“อาเหยา…”

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนฟันลำคอของข้าศึกพลางยิ้ม “แม้ข้าจะไม่ใช่พี่ชายที่เพียบพร้อม แต่ข้าเป็นทหารที่น่ายกย่องของจักรพรรดิ จงภูมิใจในตัวพี่ชายของเจ้าเสียเถิด…”

นอกจากสนามรบหลักแล้ว ทหารจักรวรรดิอี้เหอที่เหลือได้บุกเข้าเมืองหลันเยี่ยนจากประตูทิศเหนือและตะวันออกตามคำสั่งของนายพลแห่งหลิงหนานจื่อเย่าให้เข้ากำราบเมืองหลันเยี่ยน พวกทหารที่เข้าเมืองได้แล้วจึงไล่ล่าสังหารผู้คนอย่างบ้าคลั่งราวอสูรร้าย ทั้งเมืองตกอยู่ในความโกลาหลหญิงสาวคนหนึ่งถือกู่ฉินฝ่าฝูงชนไปยังกำแพงทางเหนือพร้อมกับสาวใช้และทหารค่ายเสินเวยสองสามคน

จางเหว่ยกระชับดาบยาวควบม้านำทหารองครักษ์ถอยร่นไปกับประชาชน กระทั่งสายตาสะดุดเข้าใครคนหนึ่งจึงรีบเข้าไปหา “ท่านเจิ้งเซียง ประตูเมืองแตกพ่ายแล้ว ท่านมาทำอะไรที่นี่ขอรับ? รีบอพยพออกจากเมืองไปพร้อมคนอื่นๆ เถิด ตอนนี้ยังพอมีหวังอยู่”

เจิ้งเซียงกอดกู่ฉินแน่นก่อนส่ายหน้า “รีบไปเถิดท่านแม่ทัพจาง ข้าอยากอยู่กับเขาจนถึงวาระสุดท้าย”

จางเหว่ยทำได้เพียงคำนับด้วยร่างกายสั่นเทาและน้ำตาปริ่ม “ข้าขออภัยแก่ท่านและเขาแทนอาณาจักรแห่งนี้ด้วย”

เจิ้งเซียงยิ้ม “ขอบพระคุณท่านมากที่เข้าใจข้า รีบไปช่วยคนอื่นๆ เถิด”

“ขอรับ!”

จางเหว่ยจากไป เจิ้งเซียงกอดกู่ฉินวิ่งไปตามทางเดินเปื้อนเลือดมุ่งสู่กำแพงเมืองที่พังทลาย ด้วยความเหนื่อยล้าทำให้นางวิ่งช้าลงก่อนจะวางเครื่องสายและนั่งลงบนขอบกำแพง มองดูการต่อสู้ของกองทัพค่ายเขาเหินและทหารอาสาด้านนอก นางรู้ว่าชายผู้เป็นที่รักกำลังทำหน้าที่ด้วยความภักดีอยู่ในนั้น

“เสี่ยวอวี้ จุดกำยานกิเลนให้ข้าแล้วหนีไปเสีย” เจิ้งเซียงกล่าวเบาๆ

สาวใช้ชะงักน้ำตาพรั่งพรูออกมา “ท่าน…เสี่ยวอวี้จะไม่ทิ้งท่านไว้ เสี่ยวอวี้จะตายไปพร้อมกับท่านเจ้าค่ะ”

“อย่าเลย”

เจิ้งเซียงหันไปมองสาวใช้ด้วยสีหน้าอ่อนโยน “เจ้ายังเด็กนัก ยังไม่พบกับคนที่ควรค่าให้รัก ชีวิตของเจ้ายังอีกยาวไกล ส่วนข้า…คนรักของข้ายังอยู่ที่นั่น หากเขาตายความรักของข้าก็ตายไปพร้อมกับเขา ข้าอยู่โดยที่ไม่มีเขาไม่ได้”

เสี่ยวอวี้ร้องไห้อย่างหนัก “ท่านเจ้าคะ…”

“จุดกำยานแล้วไปเสีย นี่คือคำสั่ง”

“เจ้าค่ะ…”

เสี่ยวอวี้จุดกำยานสีม่วง ทันใดนั้นควันจากกำยานประหลาดก็ลอยขึ้นพันรอบตัวเจิ้งเซียงขณะที่เสี่ยวอวี้ร้องไห้หนักกว่าเดิม “ท่านหญิง ข้า…”

เจิ้งเซียงกดสายกู่ฉินลงทีละสาย น้ำตาหยดลงบนเครื่องเล่นขณะพยายามสะกดกลั้นความเสียใจ “อยู่ด้วยกันตลอดไปไม่ว่าเป็นหรือตาย เจิ้งเซียงผู้เกิดมาเพื่อความรักไม่เสียเลยสักนิดหากต้องจบชีวิตลง”

เสี่ยวอวี้ร้องไห้ก่อนจะถอยออกไป “หากสวรรค์มีจริง ข้าขอให้ท่านหญิงได้อยู่กับท่านแม่ทัพฉู่ตลอดไป ไม่ต้องมาทนทุกข์ทรมานด้วยการแยกจากกันเช่นนี้อีก เสี่ยวอวี้ลาก่อนเจ้าค่ะ”

เสี่ยวอวี้จากไป ไม่มีเสียงอื่นใดรอบเมืองซากหินแห่งนี้อีก

องครักษ์ทั้งหลายมองเจิ้งเซียงก่อนจะคำนับและถอยออกไป

เจิ้งเซียงกลั้นน้ำตามองไปยังสนามรบที่อยู่ด้านนอก นางเห็นฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนและแสงจากวิชาคัดสรรดวงดาราของเขาท่ามกลางความโกลาหล

ความรักอันมั่นคงมิอาจทานนคมดาบที่ฟาดฟันใจทั้งคู่ได้

เสียงบรรเลงกู่ฉินผสานไปกับเสียงเข่นฆ่า นี่เป็นครั้งแรกที่เจิ้งเซียงเล่นเพลง “แม่ทัพรำศึก” เสียงกู่ฉินหนักแน่นราวกับเสียงเกือกม้ากระทบพื้นดิน

ท่ามกลางการต่อสู้ ร่างฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนเต็มไปด้วยบาดแผลเช่นเดียวกับม้าของเขาที่ถูกธนูยิงจนสาหัส ทว่ามันยังคงวิ่งต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนฟาดฟันดาบต่อเนื่องด้วยความกล้าหาญอันน่านับถือ ทุกอย่างล้วนเป็นโชคชะตาที่ถูกลิขิตไว้ ทั้งการต่อสู้กับหลงเซียนหลินหรือแม้แต่ความรักที่มีต่อเจิ้งเซียง

นิ้วที่ดีดเป็นจังหวะเริ่มสั่นเทา ใบหน้าเจิ้งเซียงที่มองไปยังคนรักของตนซีดเซียว จมูกและปากเริ่มมีเลือดไหลออกมา ในที่สุดกู่ฉินที่บรรเลงก็แผ่วลงพร้อมกับชีวิตเจ้าของที่เริ่มเลือนราง นางพยายามเพ่งมองฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน ทว่าสายตากลับพร่ามัวเกินกว่าจะมองเห็น

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนส่งเสียงคำรามราวกับอสูรใกล้ตาย ข้างกายไม่เหลือทหารค่ายเขาเหินอีกแล้ว ทั้งหมดจะกลายเป็นส่วนหนึ่งประวัติศาสตร์…เช่นเดียวกับฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน

“ตูม!”

แสงจากวิญญาณยุทธ์เปล่งประกาย ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนระเบิดพลังดัชนีเด็ดดาราจนทหารอาสากลายเป็นเศษเนื้อ ทว่าทันใดนั้น “ฉึก!” ลูกธนูแหลมก็พุ่งปักหน้าอกเขา! ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนร้องออกมาอย่างเจ็บปวดพร้อมกับดึงบังเหียนม้า ทว่าม้าศึกที่บาดเจ็บสาหัสกลับค่อยๆ คุกเข่าลงก่อนจะสิ้นใจตายในที่สุด

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนพยายามคว้าดาบยาวของตนมองไปยังทิศที่กำแพงเมืองตั้งอยู่ก่อนจะเห็นร่างที่คุ้นเคยกำลังเอนตัวลงกับกำแพงอย่างช้าๆ

“ไม่…”

เลือดอุ่นๆ ไหลลงหน้าผากจนบังตาฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน แม่ทัพผู้ห้าวหาญส่งเสียงร้องครวญคราง น้ำตาและสายเลือดไหลผสมกันจนแยกไม่ออก เขาพยายามลืมตาแต่ก็ไม่สามารถเห็นอะไรได้อีกแล้ว…ดาบยาวสะบัดดาบไปมาใส่ศัตรูโดยรอบ

“ฉึก…ฉึก…ฉึก…”

หอกแหลมเสียบทะลุร่างฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน ทว่าเขากลับไม่รู้สึกอันใดอีกแล้ว ดาบยาวยังคงเหวี่ยงไปมาอย่างบ้าคลั่ง ฟาดฟันใส่หัวของข้าศึกจนทหารอาสาต่างหวาดกลัวพากันถอยหนี ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ผู้บัญชาการที่ครั้งหนึ่งเคยได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในยอดวีรบุรุษแห้งหลันเยี่ยน ซึ่งขณะนี้ไม่ต่างอะไรจากอสูรที่กำลังคลั่ง

ทหารอาสาเข้าล้อมรอบฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน แต่ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้

ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนคุกเข่าลงด้วยร่างที่ถูกเสียบด้วยหอก น้ำตาและเลือดยังคงไหลไม่หยุด เขาใช้แรงเฮือกสุดท้ายดึงหอกออกจากร่างก่อนจะกล่าวพึมพำ “อาเหยาน้องพี่…ลาก่อน…”

จากด้านนอกแนวรบ หลงเซียนหลินควบม้าเข้ามาด้วยร่างกายสั่นเทาเล็กน้อย เขาก้มหัวคำนับแก่ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนเพื่อเป็นการให้เกียรติตามแบบของจักรวรรดิ “ห้ามผู้ใดแตะต้องร่างของท่านฉู่ เข้าใจหรือไม่?”

“ขอรับท่านแม่ทัพ…” เหล่าทหารตอบรับ

ทันใดนั้นทหารนายหนึ่งก็เข้ามารายงาน “ท่านแม่ทัพ เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ หลินมู่อวี่และทหารมังกรผงาดกำลังฝ่ากองกำลังมาที่นี่ในไม่ถึงห้านาทีขอรับ!”

“เขามาแล้วขอรับ!”

หลงเซียนหลินยกมือขึ้นสั่ง “ทหารทั้งสองหมื่นนายจงเข้าไปป้องกันประตูทางเหนือไว้ ส่วนที่เหลืออีกหนึ่งแสนเข้าไปในป่าและขวางทางกลุ่มมังกรผงาด ล้อมรอบพวกมัน นี่คือการทำลายล้าง!”

แม่ทัพคนหนึ่งเอ่ยถาม “ท่านแม่ทัพจะสังหารหลินมู่อวี่หรือขอรับ?”

หลงเซียนหลินตอบ “หากมีใครฆ่าพี่ชายเจ้า แล้วตอนนี้ยังจะฆ่าเจ้าด้วย เจ้ายังอยากจะไว้ชีวิตมันอยู่หรือไม่?”

“เข้าใจแล้วขอรับ!”

ทหารอาสาแยกย้ายกันไปล้อมทัพมังกรผงาดตามคำสั่ง

หลินมู่อวี่ควบเจี๋ยดี่โดยไม่สนทหารอาสาที่โดยรอบมุ่งสู่ใจกลางสนามรบ ระหว่างทางเต็มไปด้วยศพของทหารจักรวรรดิและธงดอกจื่อยินสีม่วงกระจัดกระจายไปทั่ว บริเวณที่มีกองศพอยู่เยอะที่สุดปรากฏร่างของชายคนหนึ่งนั่งคุกเข่าอยู่ ผ้าคลุมผู้บัญชาการบนไหล่ที่เต็มไปด้วยคราบเลือดปลิวไสวตามแรงลม

ชายผู้นั้นคือ…ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน!

หลินมู่อวี่รู้สึกราวกับหัวใจถูกศรนับพันทะลวงแตกเป็นเสี่ยงๆ ทรุดลงกับพื้นด้วยร่างกายสั่นเทิ้ม พยายามตะเกียกตะกายพาตัวเองไปให้ถึงศพของฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนพลางกอดร่างเย็นไว้ในอ้อมอก หลินมู่อวี่กอดศพไว้แน่นร้องไห้และคร่ำครวญอย่างอาลัยราวอสูรที่เสียคู่รักไป

“ไม่…”

………………………………….