บทที่ 1 พลังใจอันน่าทึ่งของเขาไม่มีผู้ใดเห็น (1)

ท่องภพสยบหล้า

ดวงอาทิตย์ลอยเด่นกลางฟ้าสูง สาดส่องแสงและแผ่ความร้อนไปบนโลกมนุษย์อย่างยุติธรรม ไม่แบ่งแยกเด็กหรือแก่ ไม่แบ่งสูงศักดิ์หรือต่ำต้อย มีรักยิ่งใหญ่แต่ว่าไร้ซึ่งจิตใจ

ยามที่ลูกกวางเดินข้ามลำธาร สกุณาบินผ่านผืนป่า

ในคราแรกเห็นเพียงตรงขอบฟ้ามีแสงสีแดงเข้มจุดหนึ่งสว่างวาบขึ้นมา เพียงพริบตาก็เข้ามาใกล้

เปลวไฟลากเป็นเส้นเพลิงเส้นหนึ่ง ประดุจเทพสะบัดพู่กันลากเส้นข้ามผืนฟ้า

เส้นเพลิงนี้ลากผ่านจนแทบจะเผาภูเขาแม่น้ำหลายพันลี้ของรัฐจวงวอดวาย จากนั้นแสงสีดำพลันพวยพุ่งขึ้นฟ้ามาขวางทางเอาไว้

ฟ้าดินเกิดการเชื่อมต่อที่ไร้ปรานีบางอย่าง พลังปราณโหมทะลัก เหนือใต้ออกตกระเบิดติดต่อกัน!

มวลเมฆดำปกคลุมท้องฟ้ามุมนี้ในแถบตะวันออกเฉียงเหนือของรัฐจวง

ท้องฟ้าสดใสพลันมืดหม่น

เสียงคำรามเสียงหนึ่งดังขึ้นกลางท้องฟ้า “เก้าอสูรหยินทมิฬ!”

จุดแสงนั้นโรมรันพันตูกับเมฆดำอยู่ครู่หนึ่งก็ร่วงลงมาจากบนฟ้า

จุดแสงร่วงลงมาเร็วขึ้นเรื่อยๆ ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้าย…

เกิดเสียงสนั่นหวั่นไหวปานอุกาบาตตกลงมา!

……

เขตชนบทนอกเมืองเฟิงหลินไม่ค่อยมีผู้คนอยู่อาศัย มีเพียงอารามเต๋าเล็กๆ แห่งหนึ่งซึ่งถูกทิ้งร้างทรุดโทรมนานแล้ว

“บึ้ม!”

จุดแสงนั้นร่วงกระแทกพื้น เกิดเป็นหลุมลึกขนาดใหญ่ แต่เหมือนจะถูกพลังงานบางอย่างควบคุมเอาไว้ คลื่นพลังจึงไม่ได้ขยายวงกว้างออกไป เมื่อฝุ่นควันม้วนตลบจางหาย ก็มีชายในชุดคลุมเพลิงคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น

คนผู้นี้มีคิ้วกระบี่ลากยาวถึงจอนผม บุคลิกผ่าเผยสง่างาม สวมชุดคลุมเพลิงสีชาดวิจิตรโบราณ ดูสูงค่าเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่ตอนนี้ผมเผ้ายุ่งเหยิง ชุดคลุมยาวมีรอยฉีกขาด จึงทำให้ดูหมดสภาพอยู่หลายส่วน

“คิดไม่ถึงเลยว่าข้าจั่วกวงเลี่ยจะมาตายในที่รกร้างกันดารเช่นนี้…” ชายในชุดคลุมเพลิงกวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสะท้อนใจอย่างประหลาดว่า “ที่นี่มีชื่อว่าอะไร”

ประเดี๋ยวฟ้ากระจ่างก็พลันมืดมิด ประเดี๋ยวก็มีดาวตกลงมา ขอทานสี่ห้าคนที่อาศัยอยู่ในอารามเต๋าร้างแห่งนี้ขวัญหนีดีฝ่อกันนานแล้ว กำลังโขกศีรษะคำนับอยู่หน้าประตูอาราม เมื่อได้ยินคำถามถึงมีคนส่งเสียงอย่างกล้าๆ กลัวๆ ขึ้นมาว่า “ทะ…ท่านเซียน ที่นี่คือเขตชนบทเมืองเฟิงหลิน อารามเต๋าแห่งนี้…พะ พวกเราก็ไม่รู้ว่าชื่ออะไรเหมือนกันขอรับ”

นิ้วของชายชุดคลุมเพลิงขยับเล็กน้อย หมายจะสังหารขอทานเหล่านี้ทิ้งเสีย

ตอนนี้เป็นยุคแห่งมหาสงคราม รัฐต่างๆ ก่อสงครามไม่หยุด แต่ในช่วงหลายปีมานี้ ไม่มีสงครามครั้งไหนที่ดุเดือดรุนแรงเหมือนกับสงครามใหญ่ระหว่างรัฐฉินและฉู่ในครั้งนี้อีกแล้ว ทั้งสองฝ่ายส่งผู้ฝึกตนมาเกือบแสนนาย แม่น้ำหุบเขาและทุ่งหญ้าที่เป็นใจกลางของการประจันหน้า ต้นหญ้าจะแหลกลาญ ผืนดินยุบร้อยลี้

ในฐานะบุคคลสำคัญของฝ่ายที่แพ้พ่าย อีกทั้งบุกฝ่าด่านหานกู่มาได้ด้วยตัวคนเดียว จนเกือบพลิกสถานการณ์ศึกได้ เขาจะถูกไล่ล่าสังหารไปทั่วทุกที่ก็สมควรแล้ว

เพียงแต่ขอทานเหล่านี้ก็เป็นขอทานของรัฐจวงเช่นกัน รัฐจวงกล้าแอบช่วยรัฐฉิน ปล่อยให้พวกฉินวางกับดักซุ่มโจมตีในดินแดนของตัวเอง…คนพวกนี้ล้วนสมควรตายด้วย

แต่เขาก็พลิกมือดับประกายไฟที่ลอยออกมาจากปลายนิ้วไป

“จั่วกวงเลี่ยเอ๋ยจั่วกวงเลี่ย นี่ก็คือคุณธรรมของเจ้าอย่างนั้นรึ พาลโกรธคนน่าสงสารที่ไม่มีใครสนใจเหล่านี้อย่างนั้นหรือ”

จั่วกวงเลี่ยพึมพำ ก่อนจะถอนหายใจ “พวกเจ้าไปเสียเถอะ”

เขาเอามือไพล่หลังหันหน้าไป สายตามองไปยังท้องฟ้าที่ดำมืดดุจย้อมด้วยหมึก ผู้แข็งแกร่งที่ซ่อนอยู่ในที่ลับและประชิดเข้ามาปานฝูงหมาป่าเหล่านั้นต่างหาก ถึงจะเป็นคนที่เขาจั่วกวงเลี่ยคนนี้ควรสังหาร!

เหล่าขอทานราวได้รับอภัยโทษครั้งใหญ่ พอลุกขึ้นได้ก็วิ่งหนีไปทันที มีเพียงขอทานผู้พูดตอบคนแรกที่มองมาในอารามเต๋าร้างแล้วลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สหายข้างๆ ลากเขาเสียจนซวนเซ “เจ้าอยากตายหรือไร”

ขอทานเหล่านี้วิ่งหนีหัวซุกหัวซุน ท่าทางทั้งชีวิตนี้คงไม่เคยวิ่งเต็มเหยียดเพื่อตัวเองเช่นนี้มาก่อน

จั่วกวงเลี่ยไม่ได้หันไปมา แต่กลับขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไม่พาสหายของพวกเจ้าไปด้วยหรือ”

ในขอบเขตที่จิตวิญญาณของเขามองทะลุผ่านจะไร้ซึ่งความลับ

รูปสลักไม้ของเทพในอารามเต๋าอาจจะถูกพวกขอทานเอามาเผาต่างฟืนไปแล้ว แต่ใต้โต๊ะบูชาในตอนนี้ยังมีขอทานที่พลังชีวิตอ่อนแรงคนหนึ่งนอนนิ่งไม่ขยับ คงนับวันรอความตายแล้ว…นี่คือเหตุผลที่ขอทานคนก่อนหน้านี้ลังเล

พวกขอทานไม่กล้าเมินเฉยต่อคำพูดของเซียนลึกลับ พวกเขากระทั่งวิ่งกรูกันกลับมาอีกครั้ง

ใช้กำลังทั้งหมดที่มี หอบหายใจหนักหน่วง

แต่ในสายตาบางคู่ที่มองมายังที่นี่ พวกเขาแข็งแรงสู้มดไม่ได้ด้วยซ้ำ และก็เร็วสู้หอยทากไม่ได้เลย

มันช่าง…ช้าเหลือเกิน

ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!

เสียงแหลมที่ดังถี่รัวพุ่งมาอย่างรวดเร็วจากขอบฟ้า…เป็นธนูน้ำโปร่งแสงนับไม่ถ้วนกำลังพุ่งมาราวฝูงตั๊กแตน พลังบางอย่างควบคุมพวกมันให้รวมตัวกันตรงมายังรอบกายของจั่วกวงเลี่ย

พลังปราณธาตุน้ำโถมทะลักอย่างบ้าคลั่งในผืนฟ้าแห่งนี้

ธนูฝนโปร่งแสงก่อตัวเป็นทรงกรวยขนาดมหึมา ปกคลุมไปครึ่งฟ้า!

นี่คือวิชาเต๋าทำลายล้างกินบริเวณกว้างที่เป็นเอกลักษณ์ยิ่งของกองทัพต้าฉิน…ธนูฝนหมื่นหยาด

“มาแล้ว!”

จั่วกวงเลี่ยเงยหน้ามองท้องฟ้า สายลมกระโชกพัดชุดคลุมเพลิงและผมยาวของเขาจนสะบัด เขายกมือขวาขึ้นสูง ชายแขนเสื้อกว้างของชุดคลุมเพลิงสีชาดลื่นลงมา เผยให้เห็นท่อนแขนดุจหยกสลัก

ขาวเนียนทั้งยังทรงพลัง

กลุ่มแสงสีแดงกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขา ชั่วขณะต่อมาก็สว่างไสว แสงเจิดจ้าสาดส่องไปทั่วทุกสารทิศ

เหมือนกับจั่วกวงเลี่ยชูดวงอาทิตย์ดวงหนึ่งไว้ด้วยมือข้างเดียว!

นี่คือวิชาเต๋าที่เขารังสรรค์ขึ้นมา ในตอนที่อายุสิบห้าปีก็ใช้วิชานี้สร้างชื่อเสียงในงานชุมนุมแม่น้ำหวง

ตะวันกล้า!

ธนูน้ำโปร่งแสงนับไม่ถ้วนสะท้อนแสงอาทิตย์ที่สาดมาจากบนฟ้าจนเกิดเป็นสีสันพราวพร่าง ก่อนที่พวกมันจะถูกแสงสีแดงอาบย้อม

แสงสีแดงเพลิงนั้นบ้าคลั่งและร้อนแรงเป็นอย่างยิ่ง

ท้องฟ้าในรัศมีร้อยจั้งล้วนถูกสีแดงปกคลุม โดยมีใจกลางเป็นมือขวาของจั่วกวงเลี่ย ธนูฝนหมื่นหยาดแผ่กระจายไปทั่วฟ้า

ภาพฉากนี้ยิ่งใหญ่ตระการตานัก จนทำให้คนไม่ได้ใส่ใจจุดเล็กๆ ที่ไม่สำคัญในภาพนี้

ก่อนที่ดวงตะวันกล้าจะแผ่ขยายออกไป ธนูฝนจำนวนมหาศาลก็พุ่งมาอย่างรวดเร็วแล้ว ขอทานที่วิ่งตะบึงมากลุ่มนั้นล้มระเนระนาดบนพื้น บนร่างมีรูถูกยิงทะลุเต็มไปหมด

พวกเขาถึงขั้นว่าไม่มีโอกาสได้ส่งเสียงร้องก็ตายไปก่อนแล้ว

ชีวิตเปราะบางยิ่งนัก

“สังหารตามอำเภอใจก็เป็นวิถีของเจ้าอย่างนั้นหรือ” มุมปากของจั่วกวงเลี่ยยกยิ้มเย้ยหยัน ไม่รู้ว่าพูดกระทบใคร แต่ดวงตาที่เปล่งประกายราวกับดวงดาราค่อยๆ เย็นชาขึ้นมาแล้ว

“ใครกล้าออมมือตอนสังหารจั่วกวงเลี่ย คนผู้นั้นก็โง่เหลือทนนัก”

ผู้ฝึกตนที่สวมชุดคลุมดำลายน้ำค้างแข็งลงมาจากบนฟ้า

คนผู้นี้ใบหน้าผอมซูบ ผิวขาวซีด

ดวงตาที่แคบเรียวจ้องจั่วกวงเลี่ยเขม็ง “กับแค่มดปลวก พวกมันอยู่ในสายตาเจ้าด้วยรึ”

ยามที่เขาพูด กลุ่มผู้ฝึกตนในชุดคลุมดำที่ตามเขาลงมาก็ปิดกั้นทั้งสี่ทิศไว้ จากนั้นขยับนิ้วร่ายวิชาเต๋า งูวารีโปร่งแสงสิบแปดตัวปรากฏขึ้นติดๆ กันอย่างรวดเร็ว พวกมันคำรามพลางทะยานมากลางอากาศ กัดกินมาทางจั่วกวงเลี่ย

คนเหล่านี้เคลื่อนไหวน่าตื่นตะลึงเหมือนกันหมด นับจากที่ปรากฏตัวจนถึงคราวลงมือไม่เสียเวลาไปแม้แต่อึดใจเดียว

เมื่อวิชาเต๋าระดับต่ำเช่นพันธนาการงูวารีอยู่ภายใต้การบังคับควบคุมอย่างยอดเยี่ยมของพวกเขาก็ดุร้ายเหี้ยมโหดเป็นอย่างมาก

จั่วกวงเลี่ยไม่สะทกสะท้าน ครั้นลากสองมือ ดาบเพลิงเล่มหนึ่งก็ก่อตัวขึ้นกลางฝ่ามือของเขา

“กงหยางไป๋!”

เขาถือดาบเพลิงหยียบไปในอากาศหลายจุด ก่อนจะฟันงูวารีที่บุกประชิดมาขาดเป็นสองท่อนทั้งหมด

“ในเมื่อแม้แต่เก้าอสูรหยินทมิฬยังใช้แล้ว ไยจึงใช้วิชาเต๋าน่าเบื่อประเภทนี้ให้เปลืองเวลาของเจ้าและข้ากัน!”

“น่าเบื่อหรือ นี่เจ้ายังคิดว่า…” กงหยางไป๋ผายมือที่ประกบไว้เบื้องหน้าออก แล้วพลันยกขึ้นมา “นี่คือการละเล่นของเจ้าอีกอย่างนั้นรึ!?”

ซากงูวารีที่ร่วงลงพื้นเหล่านั้นไม่ใช่แค่ไม่สลายไป แต่กลับทะยานขึ้นมาอีกครั้ง หางที่ขาดงอกหัวออกมาใหม่ ส่วนหัวที่ขาดมีหางงอกออกมา

หนึ่งแยกเป็นสอง สองแบ่งเป็นสี่…

นี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ของพันธการงูวารี พูดได้ว่ามอบชีวิตใหม่ให้กับวิชาเต๋าวิชานี้ ทำให้มีขอบเขตการใช้งานกว้างขวางมากขึ้น

กลายเป็นรังงูวารีไปแล้ว

ฟ่อ~ ฟ่อ~ฟ่อ~

เสียงบาดหูชวนสยดสยองดังมา

งูวารีเหี้ยมเกรียมที่แน่นขนัดล้อมจั่วกวงเลี่ยเอาไว้ ทุกที่ที่สายตากวาดมองไปไม่มีช่องว่างเลย

ทว่าเสียงงูดังหนวกหูก็ไม่อาจกลบเสียงที่ก้องกังวานและแน่วแน่ของเขาได้

“แม้แต่ตราเวทเก้าอสูรหยินทมิฬอิ๋งอู่ยังตัดใจยอมใช้ เห็นทีข้าคงตายแน่ แต่อารามเต๋าทรุดโทรมที่แม้แต่ชื่อก็ยังไม่มี…สถานที่ไร้ชื่อแห่งนี้จะมีคุณสมบัติใช้ฝังร่างของข้าจั่วกวงเลี่ยได้อย่างไร!?”

เปลวไฟลุกโหมบนผิวกายของจั่วกวงเลี่ยทันใด

เปลวไฟเผาไหม้รุนแรง แผดเผาอย่างบ้าคลั่ง

เมื่อไฟนี้สัมผัสโดน วัตถุก็จะลุกไหม้ จากจุดก่อตัวกลายเป็นเส้น แล้วแผ่ลามไปในพริบตา

เมื่ออายุได้สิบเจ็ดปี เขาใช้วิชามหาอัคคีนี้เผาสังหารปีศาจร้ายไปนับพัน ชื่อเสียงสะท้านไปทั่ว!

ทั่วทั้งรังงูวารีลุกไหม้ขึ้นมา งูวารีนับไม่ถ้วนดิ้นรนกรีดร้องอยู่กลางกองเพลิง ก่อนจะกลายเป็นไอน้ำไป

ท่ามกลางไอน้ำที่พวยพุ่งส่งเสียงหวีดหวิว จั่วกวงเลี่ยทะยานขึ้นสู่ฟ้า ผมยาวปลิวสะบัด ท่าทางดุดัน

ในตอนนี้เอง มีเสียงเหยี่ยวดังขึ้น!

เหยี่ยวยักษ์สีดำตัวหนึ่งโฉบลงมาจากท้องฟ้า มันจับจ้องมาที่จั่วกวงเลี่ย ปีกทั้งสองขยับเร็วยิ่ง

แสงดาบพร้อมด้วยขนนกเหล็กหลายร้อยเส้นพุ่งเข้ามา แสงดาบทุกเส้นล้วนเป็นท่าดาบที่แตกต่างกันไป บ้างดุดัน บ้างเจ้าเล่ห์ แต่ล้วนสอดประสานเป็นหนึ่งเดียว

แสงดาบดุจพายุฝนกระหน่ำลงมา ฟันจั่วกวงเลี่ยกลับลงไปยังรังงูอีกครั้ง

สัตว์เครื่องกลสำนักโม่ เหยี่ยวขนดาบ

บนหลังเหยี่ยวมีชายเท้าเปล่าที่สวมหน้ากากแบกหีบทองแดงยืนตระหง่านต้านลม เงียบงันไม่พูดจา หรืออาจพูดได้ว่าคำพูดของเขาอยู่ในแสงดาบแล้ว

ภายใต้การสนับสนุนจากตราเวทเก้าอสูรหยินทมิฬ งูวารีเติบโตอย่างบ้าคลั่ง เกิดใหม่ไม่ขาดสาย วิชามหาอัคคีสำแดงต่อเนื่องอยู่นานก็ค่อยๆ สลายไป

ต้านทานอยู่นานอย่างไรสุดท้ายก็ต้องมีพลั้งพลาด งูวารีสร้างบาดแผลไว้บนร่างของจั่วกวงเลี่ยไม่หยุดหย่อนจนเลือดหลั่งริน จั่วกวงเลี่ยอย่างมากก็แค่ส่งเสียงครางต่ำออกมา ใช้มือข้างหนึ่งสะบัดดาบเพลิง และโจมตีงูวารีที่ตรงเข้ามาทำร้ายเท่านั้น

งูมหาศาลกัดกินร่าง หยินทมิฬเฉือนวิญญาณ

ความเจ็บปวดนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะทนรับได้

แต่จั่วกวงเลี่ยมือหนึ่งประสานปางมือ อีกมือหนึ่งกวัดแกว่งดาบ ไม่ชักช้าอืดอาดเลยแม้แต่น้อย

บนหน้าผากของเขามีเส้นเลือดปูดโปนอย่างชัดเจน!

กงหยางไป๋ประสานนิ้วทั้งสิบแล้วยกมาเบื้องหน้า ผมยาวสะบัดแม้ไม่มีลม “จั่วกวงเลี่ย ถ้ายอมเสียตอนนี้ ข้ายังส่งร่างในสภาพสมบูรณ์กลับบ้านเกิดให้เจ้าได้”

อุณภูมิลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว น้ำค้างแข็งขาวเกาะที่คิ้วของเขา ทั้งรังงูวารีกลายเป็นน้ำแข็งแกะสลัก

นี่คือวิชาลับที่ไม่เผยแพร่ให้ใครของสำนักมีชื่อตระกูลกงหยางแห่งรัฐฉิน มีชื่อว่าคุกน้ำแข็งทมิฬ

ผู้ที่เข้าไปอยู่ในคุกนี้ หายใจคราแรกลมหายใจจะกลายเป็นน้ำค้างแข็ง ครั้งที่สองเลือดจะกลายเป็นน้ำแข็ง ครั้งที่สามกายเนื้อจะแข็งจนสิ้นชีพ

งูวารีกลายเป็นงูน้ำแข็ง จั่วกวงเลี่ยก็มีน้ำค้างแข็งขาวโพลนปกคลุมร่าง

กงหยางไป๋มองทุกอย่างอย่างเงียบงัน ลมหายใจต่อไป เลือดก็จะจับตัวเป็นน้ำแข็งแล้ว

ทว่า!

เขาพลันได้ยินเสียงแม่น้ำโหมทะลัก เสียงเชี่ยวกรากเสมือนคลื่นคลั่งถาโถมนั้นคือเสียงเลือดที่กำลังโหมบ่าของจั่วกวงเลี่ย!

มหาวารีจะถูกความหนาวเหน็บแช่แข็งไปได้อย่างไร!

เลือดที่ปะทุอย่างรุนแรงราวกับระเบิดเสียงโบราณเสียงหนึ่งออกมา เหมือนเจ็บปวดเหมือนฮึกเหิม…

“เลือด! พล่าน! เผา! วิญญาณ!”