ตอนที่ 201 เผชิญหน้า (1)

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 201 เผชิญหน้า ( 1 )

หยูหลินจ้องมององค์หญิงใหญ่อยู่หลายอึดใจด้วยสีหน้ามืดครึ้ม หลังจากนั้นจึงหันหลังไปโค้งคำนับไทเฮา “เยี่ยงนั้น ลูกก็ขอรับจิ่งฟ่านกลับจวนพ่ะย่ะค่ะ”

ในตอนที่เขากำลังจะจากไป องค์หญิงใหญ่ก็กล่าวอีกว่า “ช้าก่อน…เสด็จพี่ น้องว่าให้จิ่งฟ่านอยู่ภายในตำหนักจะดีกว่านะเพคะ อย่างไรแล้วที่ตำหนักก็ย่อมมีหมอที่มีความสามารถเป็นเลิศมิใช่รึ เสด็จพี่วางใจเถิด น้องจะไปเยี่ยมเยียนหลานชายผู้นั้น จะมิให้เขาได้รับความอยุติธรรมอีก…เสด็จแม่ มีความคิดเห็นเยี่ยงไรบ้างเพคะ ? ”

ไทเฮาพยักหน้า “ที่ซูหรงกล่าวมานั้นสมเหตุสมผล เจ้าก็ยอมถอยเสียเถอะ ข้ารู้สึกเหนื่อยแล้ว”

“น้องเจ็ด ! เจ้าช่างจิตใจดีเหลือเกิน เสด็จแม่โปรดรักษาพระพลานามัย ลูก…ขอลาพ่ะย่ะค่ะ ! ”

หยูหลินจึงหันหลังเดินออกจากพระตำหนักฉือหนิงกงกลับไปยังจวนฮุ่ยชินอ๋อง

“ฝ่าบาทมิราบรื่นหรือพ่ะย่ะค่ะ ?”

ภายในศาลาหลวนยวนมีที่ปรึกษาชุดดำผู้หนึ่งนั่งอยู่ เมื่อเห็นฮุ่ยชินอ๋องปรี่เข้ามาด้วยท่าทีเดือดดาล จึงวางตำราในมือลง และเอ่ยถาม

“หยูซูหรง ! นางทำข้าเสียเรื่อง ! ”

ที่ปรึกษาชุดดำต้มน้ำชา และกล่าวเสียงเรียบ “หากให้กระหม่อมเดา…กระหม่อมบอกกับพระองค์ว่าอย่าพาองค์ชายสามไปที่ตำหนัก ดูแล้วองค์ชายสามคงถูกกันไว้ให้อยู่ในตำหนัก เป็นเพราะองค์หญิงใหญ่ที่ทำพระองค์เสียเรื่อง เยี่ยงนั้นพระสนมซั่งจึงมิออกพระพักตร์ กลยุทธ์ขององค์หญิงใหญ่ก็มิเกินไปกว่าการลาก ท้ายที่สุดเรื่องที่องค์ชายสามทำมาในหลายปีมานี้ก็มิสามารถเอื้อนเอ่ยต่อหน้าพระพักตร์ของไทเฮาได้”

เขาหันไปมองฮุ่ยชินอ๋อง “เยี่ยงนั้นในตอนนี้พระองค์ต้องจัดการด้วยกันสามเรื่อง และยิ่งเร็วยิ่งดี ! ”

“คุณชายโปรดชี้แนะข้าด้วยเถิด !”

“ประการแรก รีบไปตามหาเหล่าหญิงสาวที่องค์ชายสามเคยข่มเหงในหลายปีนี้ สังหารทิ้งทั้งหมด อย่าให้มีชีวิตอยู่แม้แต่คนเดียว”

“ประการที่สอง ส่งทหารภายในจวนออกไป ให้ซีเหมินเพียวเสวี่ยพาโจรป่ามาจำนวนหนึ่ง และสังหารฟู่เสี่ยวกวนเสีย”

“ประการที่สาม ส่งเทียบเชิญของพระองค์มาให้กระหม่อม ข้าต้องออกไปนอกเมือง”

“คุณชายจะไปที่ใดหรือ ?”

“เขตหนานหลิง ข้าต้องไปพบแม่ทัพใหญ่ที่ปลูกนาอยู่”

หยูหลินชะงัก “คุณชายหมายความว่าเยี่ยงไร ?”

ที่ปรึกษาชุดดำลุกขึ้นยืน “ลองดูก่อนว่าจะเกลี้ยกล่อมแม่ทัพใหญ่ผู้นั้นได้หรือไม่”

หยูหลินใจกระตุก “ยังมิถึงเวลา ! ”

“ข้าทราบ แต่สถานการณ์ในตอนนี้พวกเราช้าไปแล้วหนึ่งก้าว ดังนั้นจึงต้องเร่งรีบในส่วนที่เหลือ”

ที่ปรึกษาชุดดำก้มศีรษะและเดินไปสองก้าว แล้วจึงเอ่ยถาม “ฝ่าบาทคิดว่าเรื่องในวันนี้เป็นเรื่องบังเอิญหรือพ่ะย่ะค่ะ ?”

มิใช่เยี่ยงนั้นรึ ?

ที่ปรึกษาชุดดำส่ายหน้า “ถึงแม้ไทเฮาจะยังละเว้นให้ฝ่าบาทประทับที่เมืองหลวงได้ แต่ฝ่าบาทกลับมิโปรดปราน ในวันนี้องค์ชายสามได้ออกไปเที่ยวข้างนอก เดิมทีคงจะไปที่ทะเลสาบเว่ยยาง แต่ระหว่างทางกลับเปลี่ยนเส้นทางไปถนนเส้นยาวแทน เพราะองครักษ์ข้างกายกล่าวว่าเจียงหยูมาที่ร้านอู่เว่ยจายในวันนี้ ดังนั้นเขาที่ติดพันกับสตรีที่ยังมิแต่งงานอย่างเจียงหยูจึงไปยังร้านอู่เว่ยจาย”

“และประจวบกับฟู่เสี่ยวกวนที่ไปถนนเส้นยาวนั้นอย่างดิบพอดี และฟู่เสี่ยวกวนก็ได้พบเรื่องเลวร้ายระหว่างองค์ชายสามและเจียงหยู หากเป็นผู้อื่นเกรงว่าจะมิกล้ายุ่งเรื่องขององค์ชายสาม แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับกล้า เพราะตั้งแต่ต้นจนจบเขามิทำให้องค์ชายสามเอ่ยนามของเขาเลย”

“นี่คือเรื่องบังเอิญจริงเยี่ยงนั้นรึ ? ”

หยูหลินตื่นตระหนก “กล่าวได้ว่า…ลูกชายของข้าตกไปในกับดักของผู้อื่นเยี่ยงนั้นรึ ?”

“มิใช่ผู้อื่น แต่เป็นพระสนมซั่งพ่ะย่ะค่ะ !”

ที่ปรึกษาชุดดำจ้องฮุ่ยชินอ๋อง “ฝ่าบาทโปรดใคร่ครวญอีกครา เวลาที่ต่อสู้กันที่ถนนเส้นยาวนั้นนานถึงเพียงนั้น แม้แต่จวนผู้ว่าเขตจินหลิงก็ต้องทราบ และหากมิมีซื่อจื่อและหนิงไท่ฟู่เข้าไปขวาง หนิงหยู่ชุนย่อมส่งเจ้าหน้าที่ของศาลาว่าการทั้งฝั่งเหนือและใต้ออกไปช่วยได้ทันกาลเป็นแน่ แต่เหตุใดหอชิงเฟิงซี่หยู่ขององค์ชายห้าจึงมิเคลื่อนไหวเลย ?”

ฮุ่ยชินอ๋องสะดุ้งตื่น “นังจิ้งจอกสารเลวนั่นต้องการให้เรื่องนี้เป็นเรื่องราวใหญ่โต ! ”

“ดังนั้น ฝ่าบาท สถานการณ์ในวันนี้พวกเราเป็นฝ่ายถูกกระทำ เพื่อแผนการในภายภาคหน้า พระองค์มีเพียงสองทางเลือก ประการแรกคือเข้าวังไปอธิบายเหตุผลกับไทเฮาและปล่อยวางองค์ชายสาม ถอยออกมาอย่างเต็มตัว ไปยังหลิงหนานที่ได้รับพระราชทานมา ประการที่สองคือปิดตายเรื่องนี้เสีย ซึ่งมีแต่ต้องสังหารฟู่เสี่ยวกวน แม้ว่าไทเฮาจะลงโทษฝ่าบาท แต่ก็คงมิหนักหนาถึงเพียงนั้น ต่อให้พระสนมซั่งจะมีหนทาง แต่หากไทเฮายังคงอยู่ พระนางก็มิอาจพลิกฟ้าได้ ! ”

หลิงหนานหนาวเหน็บ เมื่อปีนั้นเป็นเพราะเหตุผลนี้หยูหลินจึงได้ขอร้องต่อหน้าพระพักตร์ของไทเฮาเพื่อที่จะได้อยู่ในเมืองหลวง หรือว่าในยามนี้ที่แก่ตัวแล้วแต่กลับยังต้องไสหัวไปอยู่หลิงหนานเยี่ยงนั้นรึ ?

หยูหลินครุ่นคิดถึงตนเองที่จากไปอย่างหัวซุกหัวซุน เกรงว่าคนชั่วผู้นั้นคงจะหัวเราะยกใหญ่ และป่าวประกาศเรื่องที่เขาเป็นผู้แพ้ให้คนทั้งเมืองหลวงทราบ

ยินยอมพร้อมใจรึ ?

แผนการมากมายในเมืองหลวงที่วางมาหลายปีจะต้องปล่อยวางเยี่ยงนั้นรึ ?

หากมิปล่อยวาง เยี่ยงนั้นก็มีแค่เลือกหนทางที่สอง คือการทดแทนเรื่องทั้งหมดด้วยการตายของฟู่เสี่ยวกวน !

ฮุ่ยชินอ๋องหยูหลินตัดสินใจและตะโกนเสียงดัง “ เรียกคนมา !”

…..

เมืองหลวงในค่ำคืนนี้เงียบสงบอย่างมาก

เพราะการห้ามออกจากจวนในยามดึก ทำให้ถนนและตรอกที่คึกคักในยามนี้ร้างและไร้ผู้คน ท่ามกลางแสงไฟสลัวของถนน มีเพียงสุนัขป่าหนึ่งถึงสองตัวเท่านั้นที่วิ่งผ่าน เหลือไว้เพียงเสียงเห่าหอน และมิมีสิ่งอื่นใดอีก

สนามรบนองเลือดในถนนเส้นยาววันนี้ เรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนทำร้ายองค์ชายสามแห่งจวนฮุ่ยชินอ๋องจนพิการได้ดังไปทั่วเมืองหลวง เรื่องนี้น่าระทึกขวัญยิ่งกว่าเรื่องที่ทำนองเพลงสายน้ำของเขาได้ถูกสลักไว้บนหินเชียนเปยสือเป็นลำดับที่หนึ่งเสียอีก

ผู้หนึ่งเป็นถึงชินอ๋อง ผู้หนึ่งคือคุณชายเศรษฐีที่ดิน มีฐานันดรที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ในสายตาของทุกคน เป็นเรื่องง่ายดายนักที่ชินอ๋องท่านหนึ่งจะกดขี่คุณชายเศรษฐีที่ดิน ในความเป็นจริงแล้วก็เหมือนจะเป็นเช่นนั้น ทหารม้า 400 นายได้ลงมือบุกจู่โจมเพื่อหมายจะเอาชีวิตฟู่เสี่ยวกวนที่ถนนเส้นยาวสิบลี้นั้น เหตุการณ์เช่นนี้พบเห็นได้น้อยมากในประวัติศาสตร์ของเมืองจินหลิง ครั้งสุดท้ายที่เกิดเหตุการณ์เยี่ยงนี้ก็คืนล้มล้างราชวงศ์เก่า

ทหารม้าสี่ร้อยคนต่อสู้กับผู้ที่ไร้อาวุธเพียง 2 คน ในสถานการณ์เยี่ยงนี้ย่อมมิเกิดอะไรที่เกินความคาดหมาย แต่แล้วก็เกิดสิ่งนอกเหนือจากนั้นมาได้ มิเพียงฟู่เสี่ยวกวนจะมิถูกสังหาร กล่าวกันว่าทหารม้า 400 นายของจวนฮุ่ยชินอ๋องได้เหลือชีวิตกลับไปเพียง 100 นาย

ฟู่เสี่ยวกวนได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ข้างกายเขามีผู้ช่วยเหลือเพียง 3 คน ด้วยเช่นนี้ โลหิตก็ได้หลั่งรินไปตลอดระยะทางครึ่งหนึ่งของถนนยาวสิบลี้ แต่คาดมิถึงว่าเลือดเหล่านั้นจะเป็นของทหารม้าของจวนฮุ่ยชินอ๋องทั้งสิ้น

ผู้คนในเมืองหลวงต่างชื่นชอบเรื่องราวเช่นนี้ เหล่าผู้ไม่ได้รับความเป็นธรรมที่ไม่สามารถร้องทุกข์ได้ เหล่าคนที่ข่มกลั้นไม่กล้าพูดออกไป ราวกับได้รับการปลดปล่อยจากเรื่องนี้ ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงกลายเป็นตัวแทนของความยุติธรรม

ถนนเส้นยาวสิบลี้ ฟู่เสี่ยวกวนยืนถือดาบอยู่เพียงลำพังภายใต้แสงแดดอันอบอุ่นในฤดูหนาว ได้เห็นดาบของเขากวัดแกว่งไปมา เหล่าข้ารับใช้ชั่วเหล่านั้นต่างตายตกภายใต้ดาบของเขา

ช่วงเวลานั้นฟู่เสี่ยวกวนราวกับมีเทพสงครามประทับร่าง ท่าทางน่ายำเกรงและเก่งกาจเป็นที่สุด

เขาคือวีรบุรุษแห่งเมืองหลวง และเป็นวีรบุรุษแห่งต้าหยู !

นามของฟู่เสี่ยวกวนได้โด่งดังขึ้นมาในเมืองหลวงอีกครา แต่มิใช่เพราะผลงานทางวรรณกรรมของเขา แต่เป็นเพราะวรยุทธ์ของเขา เหล่าผู้คนในเมืองหลวงจึงได้ทราบว่าแต่เดิมแล้วฟู่เสี่ยวกวนก็เป็นชายหนุ่มที่มีความสามารถรอบด้าน และเป็นแบบอย่างให้กับคนหนุ่มสาวทั้งใต้หล้า

แต่หลังจากที่ผ่านความตื่นเต้นมาแล้ว เหล่าผู้คนก็ค่อย ๆ สงบลง เริ่มคิดถึงผลที่จะตามมาจากสนามรบบนถนนเส้นยาวนั้นในภายหลัง

คำสั่งห้ามออกมายามวิกาลโดยพลการในคืนนี้ก็มาจากเหตุนี้ด้วยเช่นกัน

มีผู้คนในเมืองหลวงหลายคนชื่นชมฟู่เสี่ยวกวน แต่ก็เริ่มกังวลว่าชายหนุ่มจากหลินเจียงผู้นี้จะถูกฮุ่ยชินอ๋องสังหารหรือไม่ ท้ายที่สุดแล้วความแตกต่างทางชนชั้นก็มิสามารถทดแทนกันได้ อย่างไรก็ตามฮุ่ยชินอ๋องก็เป็นถึงพระอนุชาขององค์ฮ่องเต้ แล้วฟู่เสี่ยวกวนเล่า เขาเป็นเพียงคุณชายเศรษฐีที่ดินจากหลินเจียงเท่านั้นเอง !

ไฟที่อยู่ภายในห้องของเหล่าคุณหนูที่หลงใหลในความฝันในหอแดงยังมิทันได้ดับดี พวกนางต่างครุ่นคิดถึงชายหนุ่มผู้นั้นที่มีบุคลิกองอาจและห้าวหาญ จึงได้รู้ว่าแต่เดิมปัญญาชนผู้นี้ก็สามารถแกว่งดาบชโลมโลหิตที่ถนนเส้นยาวนั้นได้

นี่คือการดำรงอยู่ของวีรบุรุษ นั่นทำให้เหล่าหญิงสาวที่หลงใหลเลื่อมใสในตัวของฟู่เสี่ยวกวนมากยิ่งขึ้น และยิ่งทำให้เหล่าหญิงสาวกังวลกันมากยิ่งขึ้น

เยี่ยนเสี่ยวโหลวในยามนี้กังวลใจอย่างมาก

นางเดินไปเดินมาอย่างไม่สบายใจอยู่ภายในห้องหนังสือของท่านปู่เยี่ยนเป่ยซี ครุ่นคิดถึงคำพูดของท่านปู่ที่กล่าวว่าฟู่เสี่ยวกวนจะไม่เป็นไร แต่ใจดวงนี้ก็มิอาจปล่อยวางได้

ถึงแม้ท่านปู่จะบอกว่าฟู่เสี่ยวกวนไม่เป็นไร แต่เหตุใดยังต้องให้ท่านลุงไปจวนเฟ่ยด้วยกัน ?

“เสี่ยวโหลวเอ๋ย”

“เจ้าคะ”

เยี่ยนเป่ยซีนั่งเอนเก้าอี้อ่านหนังสือ และกล่าวเสียงเรียบว่า “พรุ่งนี้ลุงของเจ้าจะไปเยี่ยมฟู่เสี่ยวกวน เจ้าช่วยนำข้อความจากข้าไปบอกกับเขา”

“ท่านปู่กล่าวมาได้เลยเจ้าค่ะ ! ”

“เจ้ากล่าวว่า…จีหลินชุนแห่งหอเยียนจือ อยู่ที่จวนฮุ่ยชินอ๋อง”

นี่มันหมายความว่าเยี่ยงไร ?

เยี่ยนเสี่ยวโหลวคิ้วขมวด เยี่ยนเป่ยซีพลิกหน้ากระดาษ “เจ้ากล่าวไป เขาก็จะทราบ”

ทันใดนั้นด้านนอกจวนเยี่ยนก็มีเสียงฝีเท้าของม้าดังขึ้น เยี่ยนเสี่ยวโหลวหันมองไปทางด้านนอกด้วยความตกใจ แน่นอนว่าต้องมองไม่เห็น “ค่ำคืนนี้จะต้องเกิดเรื่องครึกครื้นเป็นแน่ เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถิด”

“โอ้ เยี่ยงนั้นท่านปู่ก็พักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ”

“ข้าจะรออีกสักประเดี๋ยว”

เยี่ยนเสี่ยวโหลวมิทราบว่าท่านปู่กำลังรออันใด นางกลับไปยังห้องของตนเอง นั่งลงหน้าโต๊ะหนังสือ ในใจพลันนึกถึงอันตรายและความปลอดภัยของฟู่เสี่ยวกวน และเมื่อนางนึกถึงเสียงเกือกม้าเมื่อครู่น่าจะเป็นของราชองครักษ์ของวังหลวง เป็นไปได้หรือไม่ที่ฮุ่ยชินอ๋องจะชิงลงมือกับฮ่องเต้ และส่งราชองครักษ์ไปสังหารฟู่เสี่ยวกวนเสีย ?

นางจะสามารถนั่งอย่างสงบได้เยี่ยงไร ลุกขึ้นยืน และกล่าวกับสาวใช้ของตนว่า “เสี่ยวเซวี๋ย เตรียมรถ”

“คุณหนูจะไปที่ใดเจ้าคะ ?”

“ไปเยือนจวนฟู่”

ภายในห้องหนังสือของเยี่ยนเป่ยซี ต้วนหยุนโฉวได้เดินเข้ามา “นายท่านขอรับ คุณหนูเสี่ยวโหลวออกไปแล้วขอรับ”

เยี่ยนเป่ยซีมิได้รู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใด แม้แต่สายตาของเขาก็ยังคงอ่านหนังสือในมือ มิแม้แต่จะเหลือบสายตาขึ้นมา เขากล่าวเรียบ ๆ ว่า “เจ้าตามนางไปเถอะ คอยจับตาดูไว้”

…..

ค่ำคืนนี้จวนผู้ว่าเขตจินหลิงไฟสว่างโร่

หลังจากที่กลองด้านนอกของศาลาว่าการดังขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง หนิงหยู่ชุนเดินเข้าไปในศาลาว่าการ ท่ามกลางเสียงทรงอำนาจของหัวหน้าศาล เขานั่งอยู่บนแท่น

“ผู้ใดมากัน ? เหตุใดจึงได้มาตีกลองค่ำมืด ?”

“เรียนท่านขุนนาง ข้า เจียงหยู ข้าเป็นคู่หมั้นคู่หมายของหลิวซิวผิง ในวันนี้เขาถูกคนชั่วอย่างหยูจิ่งฟ่านทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ในวันนี้ข้าเองก็เกือบถูกคนชั่วหยูจิ่งฟ่านทำให้อับอาย โชคดีที่ฟู่เสี่ยวกวนผ่านมาเจอความอยุติธรรมนี้และชักดาบเข้ามาช่วย มิเช่นนั้นข้าคงประสบเคราะห์จากเงื้อมมือของชายชั่วร้ายผู้นั้น ข้าครุ่นคิดถึงฟ้าดินที่สดใส หยูจิ่งฟ่านอาศัยอำนาจที่ล้นฟ้าของตระกูลก่อกรรมทำชั่วโดยมิสนกฎบ้านกฎเมือง… ข้ายากที่จะสงบใจได้ ดังนั้นข้าจึงมาตีกลองร้องทุกข์ หวังว่านายท่านจะนำคนชั่วผู้นั้นเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้ เพื่อปกป้องความเป็นธรรม และคนดีอย่างฟู่เสี่ยวกวน ! ”

เจียงหยูคุกเข่าอยู่ที่พื้น พร้อมร้องทุกข์ทั้งน้ำตา

“มีเรื่องจะร้องทุกข์เยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“มีเจ้าค่ะ นายท่านโปรดอ่านด้วยเจ้าค่ะ ! ”

หนิงหยู่ชุนเดินลงไป รับคำร้องมาอ่าน และเอ่ยถาม “หยูจิ่งฟ่านผู้นี้คือโอรสคนที่สามของฮุ่ยชินอ๋องเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ใช่เจ้าค่ะ ! ”

“โอ้… เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชินอ๋อง และจะเกี่ยวข้องกับเกียรติของราชวงศ์ หากคำร้องของเจ้าเป็นเท็จ เจ้าทราบถึงโทษใช่หรือไม่ ? ”

“ทุกคำที่ข้าได้กล่าวไปเป็นความจริง ในเวลานั้นเพื่อนบ้านและคนข้างถนนที่ร้านอู่เว่ยจายของข้ามีผู้คนอยู่มากมาย นายท่านสามารถสอบถามได้เจ้าค่ะ”

“อือ…เตรียมกำลังคน และรีบไปจับกุมผู้ต้องหา หยูจิ่งฟ่าน มา ! ”