ส่วนที่ 8 ภาคตำนานแม่พระแห่งวังหลัง ตอนที่ 23 ตำนานแม่พระแห่งวังหลัง

ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก

การเดินทางไปยังศาลจงเหรินของเสิ่นเฉิงเป่ยไม่ราบรื่นเหมือนอย่างเหยียนอวี่นั่วนก ไป๋เพ่ยได้รับคำสั่งจากซูหว่านมานานแล้วว่าไม่อนุญาตให้ผู้ชายหน้าไหนก็ตามเข้ามา

 

 

เสิ่นเฉิงเป่ยที่ถูกประตูทิ้งให้ยืนด้วยตาละห้อยอยู่นอกศาลจงเหริน ได้แค่มองไปยังกำแพงสูงเบื้องหน้าเขา

 

 

ซูหว่าน เหตุใดเจ้าไม่ยอมออกมาพบข้าเล่า

 

 

เมื่อเสิ่นเฉิงเป่ยจากศาลจงเหรินไปอย่างหมดหวัง ในตอนที่กลับไปถึงค่ายทหารเวรยาม เขากลับเห็นสวีปิงเย่ว์ที่รออยู่ในห้องของเขาเป็นเวลานานแล้ว

 

 

“พี่ใหญ่เสิ่น ท่านออกไปข้างนอกมาหรือ”

 

 

เมื่อนางเห็นใบหน้าของเสิ่นเฉิงเป่ยที่ดูไม่สู้ดีนัก สวีปิงเย่ว์อดไม่ได้ที่จะถามอย่างห่วงใย

 

 

“ข้า…ข้าไปที่ศาลจงเหรินมา”

 

 

เสิ่นเฉิงเป่ยตอบอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด สวีปิงเย่ว์ก็รู้สึกกระวนกระวายใจทันที “พี่ใหญ่เสิ่น แล้วท่าน…ท่านได้พบหน้าพี่ซูหว่านหรือไม่? ”

 

 

เสิ่นเฉิงเป่ยส่ายหน้าแล้วหมุนตัวไปนั่งที่เก้ากี้ด้านข้าง “นางปฏิเสธที่จะพบข้า ปิงเย่ว์ว่านางไม่เชื่อใจข้าหรือ? อันที่จริงข้าเชื่อเสมอว่านางเป็นผู้บริสุทธิ์!”

 

 

“พี่เสิ่น”

 

 

เมื่อได้ยินคำพูดของเฉิงเป่ย ดวงตาของสวีปิงเย่ว์กระพริบเล็กน้อย แสดงความกังวลออกมาบนใบหน้า “พี่ใหญ่เสิ่น บางทีพี่อาจเข้าใจพี่ซูหว่านผิดไป เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น นางอาจจะ…ไม่ต้องการให้พี่ต้องมาลำบากกระมัง ”

 

 

“นั่นสิ!”

 

 

เมื่อได้ยินคำพูดของสวีปิงเย่ว์ ดวงตาของเสิ่นเฉิงเป่ยก็สว่างขึ้น “ปิงเย่ว์เจ้าพูดถูก! เซียวหว่านต้องไม่อยากให้ข้าต้องเหนื่อยแน่ๆ นางช่างจิตใจงดงามจริงๆ ในตอนนี้นางปฏิเสธที่จะพบข้า เช่นนั้นข้าควรแสดงวามรู้ของตนอย่างไรดี?” 

 

 

จากหน้ามุ่ยคิ้วขมวดและลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เสิ่นเฉิงเป่ยก็เงยหน้าขึ้น มองไปที่ซูปิงเย่ว์ที่อยู่ตรงหน้าเขาด้วยดวงตาเป็นประกาย “ปิงเย่ว์ เจ้าช่วยข้าไปพบซูหว่านที่ศาลจงเหรินได้! ถ้าเป็นเจ้า นางจะได้ยอมพบแน่นอน! ถึงตอนนั้นเจ้าก็นำของพูดข้าของส่งให้นาง เพื่อให้นางเชื่อข้ามากพอที่นางจะออกมาพบข้าเป็นอย่างไรเล่า”

 

 

“นี่…”

 

 

เมื่อได้ยินคำขอของเสิ่นปิงเย่ว์ ใบหน้าดวงน้อยของสวีปิงเย่ว์แสดงความลังเลออกมา “พี่ใหญ่เสิ่น พี่ไม่รู้รือ นิสัยของเสี่ยวหว่านนั่นดื้อด้านมากนัก เรื่องใดที่นางตัดสินใจแล้วยากที่จะเปลี่ยนใจ ข้าเกรงว่าไปพูดกับนางเปจะหนื่อยเปล่า นางย่อมไม่เชื่อแน่ เว้นแต่…”

 

 

สายตาของสวีปิงเย่ว์มองไปยังก้มลงที่เอวของเสิ่นเฉิงเป่ย มองหยกที่ห้อยอยู่ที่ดาบของเขา ซึ่งเป็นของแทนใจของเขากับซูหว่าน

 

 

“พี่เสิ่น พี่เอาของแทนใจระหว่างพี่กับพี่ซูหว่านมาให้ข้าสิ ข้าจะนำจี้หยกนี้เพื่อพิสูจน์ให้ได้นางดู นางจะต้องเชื่อในความจริงใจของท่าน!”

 

 

สวีปิงเย่ว์พูดแต่ละคำด้วยความจริงจัง ใบหน้าฉาบไปด้วยความจริงใจ ได้ยินคำพูดของนางแล้วเสิ่นเฉิงเป่ยไร้ซึ้งข้อเคลือบแคลงใดๆ เพียงแค่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เบื้องลึกในใจก็มีความคิดจุกจิก “เช่นนั้นต้องรบกวนปิงเย่ว์แล้ว!”

 

 

หลังจากพูดจบเสิ่นเฉิงเป่ยก็นำจี้หยกที่อยู่ตรงเอว มอบใส่มือให้กับสวีปิงเย่ว์ด้วยความตั้งใจ

 

 

 เมื่อจี้หยกอยู่บนมือ สวีปิงเย่ว์ทั้งตื่นเต้นทั้งประหม่า แต่ใบหน้าของนางกลับยังแสดงท่าทางที่เคร่งขรึมและจริงจังเอาไว้ “พี่เสิ่นวางใจได้! ข้าจะต้องนำจี้หยกนี้มอบให้กับพี่ซูหว่านอย่างแน่นอน”

 

 

นางกระชับจี้หยกที่อยู่ในมือไว้แน่น ดวงตาของสวีปิงเย่ว์ฉายแววชั่วร้ายแว่บหนึ่ง

 

 

จี้หยกประจำตระกูลเสิ่นชิ้นนี้ จะคู่ควรกับคนบาปได้อย่างไร?

 

 

จี้หยกนี้จะเป็นตน จะช้าจะเร็วก็เป็นของตัว!

 

 

 

 

 

วันรุ่งขึ้น ในศาลจงเหริน

 

 

สวีปิงเย่ว์ขอลากับเลี่ยวซืออี๋ตั้งแต่เช้าตรู่ นางถือป้ายคำสั่งออกจากวังหลังและไปยังศาลจงเหริน

 

 

ในตอนนี้ซูหว่านเพิ่งจะตื่นนอน ชีวิตที่อยู่ในนี้ช่างน่าเบื่อ ในห้องขังไม่แยกเวลาเช้าเย็น เมื่อคืนเธอรู้สึกเบื่อ จึงเล่นหมากรุกกับซูรุ่ยในห้องขัง สุดท้ายเล่นไปเล่นมาก็ลืมวันเวลา หากไม่ใช่เพราะวังอี้เตือนความจำในภายหลัง ทั้งสองก็คงลากกันยาวไปถึงเช้า

 

 

หลังจากซูลุ่ยไปที่ท้องพระโรงในยามเช้า ซูหว่านไม่ได้ทานมื้อเช้าตรงเวลากลับยังนอนหลับอย่างสบายใจ ดังนั้นเมื่อสวีปิงเย่ว์เดินเข้ามาก็ได้เห็นซูหว่านที่เพิ่งตื่นนอน อยู่ในสภาพที่เหงาหงอยไม่มีชีวิตชีวา

 

 

 “พี่ซูหว่าน”

 

 

สวีปิงเย่ว์มอบเศษเงินให้กับผู้คุมหญิงของซูหว่าน คนคนนั้นจะรีบเปิดประตูห้องขังให้นางทันที เมื่อเห็นว่าร่างกายของซูหว่านไม่มีบาดแผลใดๆ สวีปิงเย่ว์ก็หลุบตาลง เมื่อเงยหน้าขึ้นดวงตาของนางก็มีน้ำระริ้นออกมาแล้ว “ท่านพี่ ช่วงนี้ท่านช่างทุกข์ทรมารเหลือเกิน! ”

 

 

น้ำตานี้ไหลลงมาอย่างรวดเร็ว!

 

 

เมื่อซูหว่านได้เห็นทักษะการแสดงอันยอดเยี่ยมของสวีปิงเย่ว์ จึงต้องร่วมมือกับนางเพื่อแสดงรอยยิ้มที่ไม่เต็มใจนัก “คดีนี้ยังไม่ได้รับการพิจารณา ตอนนี้นับว่าข้าสุขสบายมากขึ้นแล้วล่ะ”

 

 

“ถ้าอย่างนั้นต่อไป…พี่ซูหว่าน หากพี่ถูกตัดสินว่าผิดจริงๆ จะทำอย่างไรกันเล่า?”

 

 

นางกำนัลคบหากับผู้อื่นเป็นการส่วนตัวนั่นถือเป็นความผิดร้ายแรงนะ! แล้วครั้งนี้ผู้ที่คบหายังเป็นถึงรุ่ยอ๋องอีก

 

 

ที่จริงแล้วสวีปิงเย่ว์ไม่เชื่อว่าซูหว่านจะคบหากับรุ่ยอ๋องอย่างลับๆ

 

 

อย่างไรก็ตามมันจะเกี่ยวอะไรกันเล่า? ไม่ว่านางจะเชื่อหรือไม่เชื่อนั้นไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญก็คือฝ่าบาทจะเชื่อหรือไม่ และที่สำคัญไปกว่านั้นต้องทำให้เสิ่นเฉิงเป่ยเชื่อด้วย!

 

 

“หากมันต้องเป็นโทษประหารชีวิตจริง ๆ ข้าก็ต้องยอมรับ”

 

 

ซูหว่านถอนหายใจ “แค่ทำให้พวกเจ้าเป็นห่วง ข้าก็ลำบากใจมากแล้ว”

 

 

“พี่หว่านท่านพูดอะไร พวกเราเป็นพี่น้องกันนะ ต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันสิ แล้วก็ยังมีพี่เสิ่น…”

 

 

เมื่อพูดถึงเสิ่นเฉิงเป่ย ดวงตาของสวีปิงเย่ว์กระพริบตาอยู่สองสามครั้ง “ท่านพี่ เหตุใดท่านไม่ยอมไปพบพี่เสิ่นเล่า  พวกเราทั้งคู่ล้วนอยากช่วยท่าน อยากจะช่วยให้ท่านได้ออกไปจากที่นี่ยิ่งนัก ท่านไม่พบเขา สองสามวันนี้เขา…เป็นห่วงพี่มาก! ”

 

 

สวีปิงเย่ว์จงใจใช้คำว่า ‘เราสองคน’ เพื่อดึงดูดความสนใจของซูหว่าน

 

 

แน่นอนว่าซูหว่านได้ยินคำพูดของสวีปิงเย่ว์ และดูเหมือนจะลังเลอยู่พักหนึ่งด้วยสีหน้าสงสัย ในเวลานี้สวีปิงเย่ว์จงใจก้าวไปข้างหน้าและจับกระโปรงในวังของตัวเอง “มาเถอะ ท่านพี่ ท่านร่างกายอ่อนแอ ข้าจะพยุงท่านเอง”

 

 

ในขณะที่นางกำลังขยับตัว หยกที่เอวของนางก็ปรากฏออกมาทันที

 

 

เมื่อเห็นจี้หยกที่สวีปิงเย่ว์พกติดตัวมา ซูหว่านก็ตัวแข็งทื่อ เธอค่อยๆ ยกมือขึ้นด้วยสีหน้าที่ซีดเผือด ยื่นมาไปจับจี้หยกบนเอวของสวีปิงเย่ว์ชิ้นนั้นช้าๆ “เย่ว์ปิง หยกชิ้นนี้คือ…”

 

 

“อ๊ะ? จี้หยกนี้หรือ!”

 

 

จู่ๆ สวีปิงเย่ว์ละมือที่ประคองซูหว่านลงทันที ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก “พี่ซูหว่าน พี่เสิ่นไม่ได้ให้จี้หยกนี้กับข้า นี่ของข้า ข้าซื้อมาเอง ข้าก็แค่เห็นว่าจี้หยกชิ้นนั้นของท่านงามมากไม่ใช่รอกหรือ? ดังนั้นข้าจึง…”

 

 

“เลิกโกหกข้าได้แล้ว”

 

 

ใบหน้าของซูหว่านดูซับซ้อนเล็กน้อย “ตรงด้านล่างของจี้หยกนั้นสลักคำว่าเสิ่นไว้ นี่เป็นของตกทอดประจำตระกูลเสิ่น ข้าจำไม่ผิดแน่”

 

 

เมื่อเห็นซูหว่านพูดด้วยความมั่นใจ สวีปิงเย่ว์ที่อยู่ข้างๆ ก็คุกเข่าลงทันที “พี่ซูหว่าน ช้าต้องขอโทษท่านด้วย แต่ข้ากับเฉินเป่ย พวกเรารักกันจากใจจริง! ความจริงข้าอยากจะบอกเรื่องนี้ให้ท่านได้รับรู้ตั้งนานแล้ว แต่…ข้ากลัวว่าท่านพี่จะรับไม่ได้ และตอนนี้ก็ได้เกิดเรื่องนี้ขึ้น ข้ากับเฉินเป่ยต่างก็ทนไม่ได้ที่จะบอกเรื่องนี้กับท่าน ท่านพี่หว่านเรื่องทั้งหมดนี้เป็นความผิดของข้าเอง เป็นเพราะข้าไม่อาจหักห้ามใจตัวเองได้ ท่านอย่าโทษพี่เฉินเป่ยเลย เขาไม่ได้ตั้งใจหลอกพี่นะ ท่านอย่าโทษเขาเลย หากท่านจะโกรธให้โกรธข้า หากท่านก็ให้โทษข้า! ”

 

 

ในขณะที่พูด สวีปิงเย่ว์เงยหน้าขึ้นพร้อมกับน้ำตาบนใบหน้าของนาง จับมือของซูหว่านที่อยู่ในชุดนักโทษไว้แน่น “ท่านพี่ หากท่านจะด่าจะว่า ข้าก็ยอม”

 

 

ซูหว่านหน้าเสียไป และเดินถอยหลังสองสามก้าว และสั่นไปทั้งตัว

 

 

เมื่อเห็นว่านางไม่พูดอะไรเลย สวีปิงเย่ว์จึงทำได้แค่ร้องไห้หนักขึ้นเรื่อย ๆ

 

 

“ช่างเถอะ”

 

 

ซูหว่านค่อยๆ ปัดมือของสวีปิงเย่ว์ที่จับชายเสื้อของนาง “นี่อาจเป็นโชคชะตา เมื่อข้าไม่อยู่แล้ว ยังมีเจ้าที่คอยดูแลเขา ข้าก็สบายใจแล้ว”

 

 

“ท่านพี่ซูหว่าน?”

 

 

เมื่อสวีปิงเย่ว์ได้ยินคำพูดของก็รีบลุกพรวดขึ้น จับมือเธอไว้อย่างดีอกดีใจ “ท่านอภัยให้พวกเราแล้วงั้นหรือ? ”

 

 

“ความรู้สึกมันบังคับกันไม่ได้ ในเมื่อพวกเจ้ารักกันอย่างใจจริง งานแต่งระหว่างข้ากับเขาถือว่าเป็นโมฆะแล้วกัน”

 

 

ในขณะที่พูด ซูหว่านก็หันกลับไปที่เตียงของตนเองและหยิบเอาจี้หยกของตนเองออกมา “เจ้านำสิ่งนี้คืนให้เขา ถือว่าคืนให้เจ้าของเดิมแล้วกัน”

 

 

“ขอบคุณ ขอบคุณ”

 

 

สวีปิงเย่ว์ถือมันไว้ในมือของนาง จี้หยกที่ซูหว่านมอบให้นั้นทำให้ใจลึกๆ นั้นโล่งมากจริงๆ

 

 

คราวนี้ซูหว่านได้ตัดใจกับเสิ่นเฉิงเป่ยไปโดยสิ้นเชิง ต่อให้เสิ่นเฉิงเป่ยจะหาคนมาขอร้องอย่างไร ซูหว่านก็ไม่มีวันพบหน้าเขาอีกแล้ว

 

 

อีกทั้งจี้หยกชิ้นนั้น นางเอาไปคืนต่อหน้าเสิ่นเฉิงเป่ย!

 

 

สวีปิงเย่ว์ที่ได้บรรลุเป้าหมายของตัวเองแล้ว ได้พูดบอกลาสองสามประโยค แล้วรีบกลับไป เห็นเงาที่ค่อยๆ หายไป ซูหว่านก็นึกได้ว่า ใบหน้าของนางในตอนนี้จะต้องเต็มไปด้วยความดีใจเป็นแน่

 

 

สวีปิงเย่ว์ ฉันจะให้เธอดีใจไปก่อนแล้วกัน

 

 

อีกไม่นานเธอก็จะดีใจไม่ออกแล้ว