บทที่ 328 เปิดเผยความลับ (2)
ผู้ตรวจสอบหันไปมองดูก้อนมนุษย์แล้วส่ายหน้าเล็กน้อย โดนพระจีวรดำกอดรัดห่อหุ้มไว้แบบนี้ ต่อให้เป็นเขาคิดจะดิ้นให้หลุดก็ยังลำบาก
เขาหมุนตัวก่อนจะค่อยๆ เดินไปยังที่ไกล ลู่เซิ่งจะตายหรือไม่ เขาไม่ใส่ใจ นั่นไม่ใช่ความรับผิดชอบของเขา คำพูดก่อนหน้านี้ก็แค่หลอกอีกฝ่ายเท่านั้น
ทึบ!
ทันใดนั้นมีเสียงทึบดังมาจากด้านหลัง
ผู้ตรวจสอบหันไปมอง
ไม่ทราบว่าผิวด้านนอกของก้อนมนุษย์แยกเป็นรอยแตกสีขาวสายหนึ่งตั้งแต่เมื่อไหร่
‘นี่มัน…!?’ เขาหรี่ตา
ตูม
เกิดเสียงดังสนั่นอย่างฉับพลัน ก้อนมนุษย์ระเบิดออก พระจีวรดำหลายสิบรูปหลงเหลือกลายเป็นเงา จากนั้นก็กระเด็นออกไปชนกับกำแพงและพื้นดินที่อยู่รอบๆ อย่างหนักหน่วง ฝุ่นผงตลบอบอวลไปทั่ว รอบๆ บริเวณกลายเป็นซากกรวดหินและสีกำแพงที่หลุดร่วง
ควันสีขาวที่เกิดจากปราณจริงแท้การะจายออกมาเป็นปริมาณมาก ลู่เซิ่งกำดาบด้วยสองมือและค่อยๆ ยืดตัวขึ้นตรงตำแหน่งของก้อนมนุษย์ในตอนแรก เสื้อบนร่างฉีกขาด เผยให้เห็นเส้นสายกล้ามเนื้ออันน่ากลัวที่กำยำบนแผ่นหลังบึกบึนของเขา ลวดลายสภาพตาข่ายสีแดงเลือดจำนวนมากแผ่กระจายอยู่บนกล้ามเนื้อ ดูแปลกประหลาดและดุร้าย
ตอนแรกลู่เซิ่งอยู่ในขนาดร่างของคนธรรมดา แต่เวลานี้กลับขยายใหญ่ขึ้นถึงสองหมี่โดยประมาณ ผมสีดำยุ่งเหยิงพัดกระพือไปด้านหลังราวแผงคอของสิงโต
หลังจากฟันก้อนมนุษย์ออกมา ลู่เซิ่งก็มองตำแหน่งของไพลินในตอนแรก ค่อยพบว่าอัญมณีหายไปแล้ว
พลังงานแปลกประหลาดซึ่งแตกต่างไปจากเดิมกระจายอยู่ในอากาศของโลกด้านนอก ทำให้การรับรู้พลังงานของเขาไม่ได้ว่องไวเท่าก่อนหน้า ดังนั้นจึงไม่พบว่าอัญมณีถูกเอาไปแล้ว
“อัญมณีถูกคนฉวยโอกาสเอาไปเมื่อครู่” ผู้ตรวจสอบกล่าวอย่างราบเรียบ
“ข้าเป็นคนหาเจอก่อน” ลู่เซิ่งพูดอย่างสงบนิ่ง
“ข้าเป็นแค่ผู้ตรวจสอบ ไม่สนหรอกว่าใครเจอก่อน ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับข้า” ผู้ตรวจสอบยังคงแสดงสีหน้าสงบนิ่ง “ข้าขอเตือนให้เจ้ารีบออกไปดีกว่า ต่อให้เจ้ามีพลังส่วนตัวแข็งแกร่งกว่านี้ แต่คนตีระฆังกลางคืนจะมาแล้ว”
ลู่เซิ่งจ้องมองคนผู้นี้เงียบๆ อยู่พักหนึ่ง
“ถ้าหากข้าพบว่าสิ่งที่ท่านพูดเป็นคำลวง ข้าจะฉีกท่านเป็นชิ้นๆ” วังวนที่ล้ำลึกและน่ากลัวไหลเวียนอยู่ในส่วนลึกของสองตาอันเรียบเฉยของเขา
ผู้ตรวจสอบเงียบเสียง
ลู่เซิ่งหมุนตัวแล้วเดินไปยังทิศทางของค้อนวิญญาณมรณะอีกแห่ง เขายังต้องรวบรวมค้อนวิญญาณมรณะให้ครบสามชิ้นเพื่อรีบตีระฆังนรกและออกไปจากที่นี่
“แน่จริงเจ้าก็ลองดูสิ” ทันใดนั้นเสียงทุ้มต่ำของผู้ตรวจสอบก็ดังมาจากด้านหลังเขา
กึก
ลู่เซิ่งชะงักฝีเท้า
พริบตานั้นเขาหมุนตัวกลับ ชักดาบ กระโดด แล้วฟันออกไปในแนวตั้ง
ชิ้ง!
การเคลื่อนไหวมากมายผสานรวมกัน จันทร์เพ็ญสีเงินดวงหนึ่งระเบิดขึ้นกลางอากาศ “ตาย!”
ผู้ตรวจสอบรีบยกแขนขึ้นกันด้านหน้า
เคร้ง!
ระลอกคลื่นสีเทากลุ่มหนึ่งระเบิดขึ้นระหว่างคนทั้งสอง เกราะอ่อนสีขาวหลายชนิดระเบิดพุ่งออกมาแล้วฝังเข้าไปในกำแพงที่อยู่ใกล้ๆ
เสียงแกร๊กดังขึ้นเมื่อพื้นในอาณาเขตหลายหมี่ใต้ฝ่าเท้าผู้ตรวจสอบแตกร้าวจนเหมือนใยแมงมุม
ลู่เซิ่งฟันประดายดาบออกมาติดต่อกัน เกิดเส้นสีเทาหลายเส้นขึ้นระหว่างคนทั้งสอง อานุภาพจากพละกำลังระดับพันธนาการซึ่งมีปราณจริงแท้คอยผลักดันทำให้ผู้ตรวจสอบไม่กล้าดูแคลน
พลังของเขาไปถึงระดับตรีลักษณ์แล้ว แต่เมื่อเผชิญกับมุมการโจมตีอันแยบคาย กับความเร็วในการฟันติดต่อกันที่ว่องไวถึงขีดสุดของลู่เซิ่ง จึงได้แต่หลบหลีกเพียงอย่างเดียว
“มีพลังแค่นี้เองหรือ” ลู่เซิ่งต่อยหมัดใส่ดาบของตัวเองอย่างฉับพลัน
เกิดเสียงดังเพล้ง ตัวดาบระเบิดออก เศษชิ้นส่วนนับไม่ถ้วนกระจายออกไปปักใส่ร่างผู้ตรวจสอบทั้งหมด
“บังอาจมาทำตัวโอหังต่อหน้าข้าหรือ”
เปรี้ยง!
เขาเตะขาขวาใส่ลำตัวของผู้ตรวจสอบอย่างหนักหน่วงเหมือนกับฟาดแส้
เยื่อดำปรากฏบนร่างผู้ตรวจสอบและกระเพื่อมหลายรอบ จากนั้นก็ระเบิดตูม เขากระเด็นออกไปพร้อมเสียงดังสนั่น ศีรษะปักเข้าไปในกำแพงใกล้ๆ ทั่วทั้งตัวโชกเลือด
“ตายซะเถอะ!” ลู่เซิ่งไล่ตามไปติดๆ จากนั้นก็ต่อยหมัดใส่ศีรษะอีกฝ่าย
“หนามหยก!” ผู้ตรวจสอบฟื้นสติขึ้นมา หลังจากโดนกระบวนท่าติดต่อกัน ทั้งแตกตื่นทั้งโมโห เขาพลิกมือสั่งให้หนามแหลมสีเขียวอ่อนสามแท่งพุ่งเข้าหาลู่เซิ่ง
ขณะเดียวกันเขาก็บิดเอวไปด้วย ผ้ามัดเอวหลุดออกมาโดยอัตโนมัติ แล้วยืดกลายเป็นกระบี่ยาว จากนั้นก็ฟันควับๆ ใส่ลู่เซิ่งสิบกระบี่
ประกายกระบี่ผสานกับหนามแหลมสีเขียวแท่งใหญ่สามแท่ง บริสุทธิ์งดงามเหมือนกับบุปผาเขียวที่ค่อยๆ เบ่งบาน
ตูม!
หินก้อนใหญ่สูงเท่าหนึ่งคนครึ่งชนบุปผาเขียวจนกระจัดกระจาย หนามแหลมแหลกสลาย ประกายกระบี่สิ้นสูญ ผู้ตรวจสอบกระอักเลือดพร้อมกับถูกหินยักษ์ที่หมุนด้วยความเร็วสูงชนใส่ใบหน้า
สันจมูกกับปากที่เขาปิดด้วยหน้ากากถูกกระแทกจนแหลกเละ ใบหน้ามากกว่าครึ่งยุบตัวโดยสมบูรณ์และผสมกับเศษผ้าของหน้ากาก
หินยักษ์ดันผู้ทดสอบไปกระแทกกับกำแพง หลังจากทะลุกำแพงไปสองแนว จึงค่อยหยุดลง
ลู่เซิ่งโยนด้ามดาบในมือทิ้งพลางมองดูผู้ตรวจสอบแต่ไกล กำลังจะเข้าไปฟันดาบสุดท้ายใส่
ทันใดนั้นกระดาษบนมือเขาส่องแสงสีขาว เขาลังเลเล็กน้อย ยังคงตัดสินใจหมุนตัวจากไป
ผู้ตรวจสอบฝืนประคองศีรษะขึ้นมองทิศทางที่เขาจากไป ในที่สุดก็ถอนใจแล้วสิ้นสติ ต่อจากนั้นก็ไม่รับรู้อะไรอีก
‘มารดามัน ครั้งนี้ขาดทุนย่อยยับแล้ว!’ นี่คือความคิดสุดท้ายก่อนเขาจะสลบไป ได้เงินของตระกูลซ่งมาแล้วแท้ๆ แต่สุดท้ายกลับดูแลไม่สำเร็จ แถมตัวเองยังเกือบจะ…
ตึง
ตึง
ตึง
ในตอนนี้เอง เสียงฝีเท้าหนักอึ้งก็ดังมาจากด้านหลังไกลๆ
แสงสีเขียวปรากฏบนหน้าผากของผู้ตรวจสอบ เขาลืมตาขึ้นอย่างฉับพลัน มองดูทิศทางที่เสียงดังมาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกเหมือนสลับตัวคน พยายามดิ้นให้หลุดจากก้อนหิน จากนั้นก็ลากซากร่างของตัวเองหนีไปยังที่ไกลด้วยความเร็วสูง
ในตอนที่เขาเพิ่งเลี้ยวเข้าตรอกแห่งหนึ่ง เสียงหายใจดังหนักหน่วงก็แว่วมาจากทิศทางของลานกว้าง
…
ลู่เซิ่งเคลื่อนที่ไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว พอเจอกำแพงก็ทำลายทิ้ง พอเจออาคารก็เดินบนหลังคา พอเจอหอคอยก็เดินอ้อมด้านข้างไป
หลังตัดทะลุบ้านชั้นเดียวบริเวณหนึ่ง เขาพลันหันกลับไปมอง
ครึ่กๆ
สัตว์ประหลาดร่างกำยำที่แบกเสาหินต้นมหึมากำลังเดินไปทั่วบริเวณ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่ซ่อนอยู่ในอาคารล้วนถูกมันจับออกมาบดขยี้เป็นก้อน แล้วยัดเข้าไปเคี้ยวในปาก
สัตว์ประหลาดตนนี้มีรูปร่างเป็นมนุษย์ ร่างสูงห้าหมี่ ทั่วร่างเต็มไปด้วยรอยตราสีแดงก่ำเหมือนกีบม้า พันผ้าสีดำขนาดใหญ่ไว้บนศีรษะ ผ้าสีดำมัดอยู่บนคอของมันเหมือนกับกระเป๋าใบใหญ่
ลู่เซิ่งหยีตา รู้สึกได้ถึงพลังงานประหลาดอันยิ่งใหญ่ชนิดปกคลุมฟ้าดินบนร่างของสัตว์ประหลาดตนนั้น พลังงานนั้นเหนือกว่าระดับพันธนาการแน่ เวลานี้โดยการแสดงออกภายนอกแล้วเขาไม่สมควรจะสู้ไหว
‘คอยกดดันช้าๆ งั้นเหรือ’ เขาสังเกตเห็นว่าสัตว์ประหลาดไม่ได้มีความเร็วมากนัก มันเคลื่อนไหวด้วยความเชื่องช้า
ลู่เซิ่งที่สังเกตเห็นจุดนี้รีบเร่งความเร็วมุ่งหน้าไปหาค้อนวิญญาณมรณะชิ้นต่อไปทันที
มุ่งไปด้านหน้าหลายนาที ลู่เซิ่งก็เห็นรูปแกะสลักที่ขี่ม้า ที่ปากของม้าเปล่งแสงสีฟ้าระยิบระยับ
เขาเดินเข้าไปแล้วปาดมือใส่ หยิบอัญมณีสีฟ้าออกมาจากในปากม้า เขาไม่เหลือบแลรูปปั้นขี่ม้าที่มีควันสีดำจำนวนมากผุดออกมา กระโดดขึ้นหลังคาด้วยความเร็วสูงสุด ก่อนจะพุ่งไปยังค้อนวิญญาณมรณะชิ้นที่สาม
นี่จึงเป็นวิธีรับมือที่ถูกต้อง พอได้ไพลินก็หนีทันที ไม่ใช่รั้งอยู่เพื่อเข่นฆ่าไปช้าๆ หลังจากเข้าใจเรื่องนี้ ลู่เซิ่งก็เร่งความเร็วขึ้นอีกหลายเท่า ไม่นานค้อนวิญญาณมรณะชิ้นที่สามก็ปรากฏขึ้น โดยมีสัตว์ประหลาดร่างคนที่ศีรษะเป็นหมาป่า สวมเกราะหนังสีน้ำตาลและถือค้อนติดโซ่เฝ้าอยู่สามตน
ลู่เซิ่งใช้ปราณจริงแท้เร่งความเร็วใต้ฝ่าเท้าพร้อมกับโยนหินสามก้อนออกไปใส่ร่างของมนุษย์หัวหมาป่าสามตน
โฮก!
มนุษย์หัวหมาป่ายืดตัวขึ้นด้วยความโกรธและค้นหาคนน่าสงสัยไปทั่ว
ลู่เซิ่งฉวยอากาศที่พวกมันไม่สนใจพุ่งออกไปจากด้านข้าง จากนั้นก็ควักไพลินบนกำแพงออกมาอย่างสบายๆ ก่อนจะยกเท้าหนีทันที
มนุษย์หัวหมาป่าสามตนตอบสนองอย่างว่องไว ฟาดค้อนโดนใส่กลางหลังของลู่เซิ่งพอดี
น่าเสียดายที่ถึงแม้มันจะมีพละกำลังแข็งแกร่ง แต่กายเนื้อของลู่เซิ่งน่ากลัวถึงขนาดไหน คุณสมบัติระดับหยกสีชาดที่เสแสร้งถูกฟาดไปซึ่งหน้า บนร่างมีเกราะจากปราณจริงแท้โผล่ออกมาก่อน และหลังจากปราณจริงแท้สลายไป เขาก็ใช้กายเนื้อรับไว้ตรงๆ ไม่ต้องใช้แก่นมารหรือปราณภายในใดๆ ผิวแค่แดงขึ้นมาเล็กน้อย แต่พริบตาเดียวก็กลับเป็นปกติ
ระดับหยกสีชาดหมายถึงไม่ต้องใช้ปราณจริงแท้ก็มีคุณสมบัติร่างกายอันน่ากลัวของระดับพันธนาการ เกิดว่าใช้ปราณจริงแท้เพิ่มพลังให้แก่เลือดเนื้อและพละกำลัง แค่ค้อนที่ฟาดอย่างฉุกละหุกไม่อาจทำนายผลที่เกิดขึ้นได้
ลู่เซิ่งยืมแรงพุ่งไปด้านหน้าระยะหนึ่งแล้วเหยียบลงบนกำแพง จากนั้นก็พุ่งออกไปหลายสิบหมี่เหมือนกับลูกศร พร้อมกับเงยหน้ามองระฆังขนาดยักษ์ที่ดำสนิทเหมือนหมึกที่ด้านหน้า
ระฆังนี้สูงสิบกว่าหมี่ กว้างแปดกว่าหมี่ มันแขวนนิ่งอยู่บนที่ว่างผืนหนึ่งกลางวัด ยันต์สีเหลืองแขวนอยู่เต็มเสาหินที่อยู่รอบๆ
ตอนนี้สี่คนที่เหลือยังมาไม่ถึง ลู่เซิ่งพุ่งไปหาระฆังนรกเป็นคนแรก แล้วเขวี้ยงไพลินสามเม็ดในมืออกไปด้านหน้าอย่างแรง
แกร๊ก!
สายฟ้าสีฟ้าสามสายระเบิดออกอย่างฉับพลัน
ต๊ง! ต๊ง! ต๊ง…!
เสียงระฆังดังขึ้นสามครั้ง สะท้อนไปทั่ววัดตราทมิฬในพริบตาเดียว
ชิ้ง!
วงแสงสายหนึ่งห่อหุ้มลู่เซิ่งกลางอากาศ ก่อนจะทำให้เขาหายไปจากที่เดิมในชั่วอึดใจ
ทุกอย่างเงียบสงัดลงในทันที
ครู่ต่อมา
“การทดสอบนี้ไม่ยากสำหรับเจ้า” เสียงหนึ่งกล่าวอย่างช้าๆ
ลู่เซิ่งหลับตา รอบๆ เป็นแสงสีขาวเจิดจ้า เขาลืมตาไม่ได้ชั่วขณะ ได้แต่รอคอยเงียบๆ พลางฟังเสียงรอบๆ
“ไม่นับว่ายากจริงๆ” เขาตอบ
แสงสีขาวที่อยู่รอบๆ ค่อยๆ หายไป ลู่เซิ่งลืมตาขึ้นมากวาดมองรอบทิศ เขายังอยู่ในวัด เพียงแต่กลับมาอยู่ในวัดของเขตจันทราสารทแล้ว โดยอยู่ในวิหารที่ก่อนหน้านี้ได้เข้ามา รอบๆ คือพระที่กำลังนั่งขัดสมาธิสวดมนต์
บุรุษสูงใหญ่สวมชุดเกราะอ่อนสีขาวไว้ทั้งร่างยืนอยู่ตรงหน้าเขา
“ผลการทดสอบของเจ้ายังจำเป็นต้องตรวจสอบสองรอบ เจ้ากลับไปพักผ่อนรอเถอะ ถ้าผ่านจะมีคนแจ้งเอง” คนสวมเกราะบอก
“รับทราบ”
“อีกอย่าง ต่อจากนี้เจ้าจะยังได้เข้าไปในวัดตราทมิฬอีก ถ้าหากเจ้าพบสิ่งของและปรากฏการณ์ที่ผิดปกติใดๆ ด้านใน อย่าลืมขอให้ผู้อาวุโสบันทึกเอาไว้หลังจากออกมาด้วย นี่มีส่วนช่วยต่อพวกเราอย่างมาก” คนสวมเกราะเตือน
“เพราะอะไร หรือว่าวัดตราทมิฬไม่ใช่โลกด้านนอกที่พวกเราโจมตี” ลู่เซิ่งงุนงง
“ไม่ใช่ พูดให้ถูกต้องคือกำลังผลักดันอยู่ โลกใบนั้นสิ้นหวังยิ่ง ทั้งยังอยู่ในสภาพที่แทบวิบัติ วัดตราทมิฬเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น การตรวจสอบของพวกเราเป็นไปอย่างเชื่องช้า เดิมทีนี้เป็นภารกิจสำรวจของแนวหน้า แต่เนื่องจากทัพมารมีการเคลื่อนไหวผิดปกติ ทัพแนวหน้าจึงต้องยอมทิ้งภารกิจสำรวจเพื่อรวบรวมกำลังในการต่อสู้กับจักรพรรดิมารชั่วคราว” คนสวมเกราะอ่อนอธิบายอย่างอดทน
“เข้าใจแล้ว ขอบคุณสหายเหริน” ลู่เซิ่งประสานมือ
“ไม่เป็นไร ขอแค่วันหน้าเจ้าช่วยสหายของพวกเราให้เยอะๆ ตอนที่มีโอกาสก็พอ” น้ำเสียงของคนสวมเกราะแสดงถึงความเหนื่อยล้าและจนปัญญา
“แน่นอน” ลู่เซิ่งพยักหน้า
“ไปเถอะ ออกไปพักผ่อน สุรา หญิงงาม การพนัน การเข่นฆ่า เจ้าทำทุกอย่างได้ตามต้องการ ไม่อย่างนั้นหากผ่านไปนานเข้า เจ้าจะยิ่งมายิ่งบิดเบี้ยว” คนสวมเกราะเตือน
“ข้าเข้าใจแล้ว…” ลู่เซิ่งพยักหน้า เขาพลันเข้าใจแล้วว่าหัวใจสำคัญของต้าอินอยู่ไหน การค้นคว้าบุกเบิกโลกด้านนอกยังทำไม่สำเร็จ อย่าว่าแต่ถูกจักรพรรดิมารตรึงเอาไว้ กำลังทัพของต้าอินอยู่ในสภาพไม่พอใช้มาโดยตลอด ย่อมไม่มีกำลังบุกประเทศที่อยู่รอบๆ
……………………………………….