บทที่ 101 การใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]

บทที่ 101 การใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
บทที่ 101 การใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

ตระกูลหลี่จบสิ้นแล้ว!

ขณะที่ผู้พบเห็นที่อยู่ไกลออกไปจ้องมองไปยังเปลวเพลิงอันร้อนแรงที่ปกคลุมตระกูลหลี่อยู่ ก่อนที่มันจะพวยพุ่งขึ้นไปยังท้องฟ้า ความเยือกเย็นก็ปรากฏขึ้นในหัวใจของพวกเขาอย่างไร้เหตุผลราวกับว่าตกลงไปในธารน้ำแข็ง

ตระกูลอันดับหนึ่งแห่งเมืองหมอกสนที่ปกครองมานับพันปี ได้ถูกทำลายล้างโดยชายหนุ่มเพียงคนเดียวที่เป็นเพียงศิษย์ฝึกหัดสร้างยันต์เมื่อหนึ่งปีก่อน!

ความเป็นจริงนั้นช่างโหดร้ายจนไม่อาจคาดถึง อีกทั้งยังสะเทือนอารมณ์และตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น

ทุกคนรู้ดีหลังจากเผชิญกับการต่อสู้ในครั้งนี้ เฉินซีไม่ใช่เด็กน้อยอ่อนแอที่จะรังแกได้อีกต่อไป และไม่ใช่ทายาทของตระกูลที่ยากจนที่มักถูกเรียกว่า ตัวซวย…

เขาถูกกำหนดให้เป็นดาวรุ่งจรัสแสงที่สุดแห่งเมืองหมอกสน ในช่วงพันปีที่ผ่านมา!

ท่ามกลางเปลวเพลิงที่พวยพุ่ง ฝูงชนที่เงียบสงัดและแสงสียามราตรีที่กำลังล่วงลับ ทำให้บรรยากาศในที่เกิดเหตุเต็มไปด้วยความกดดันอันเข้มข้น

ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะจากไป

“เฉินซี! หยุดนะ!” เสียงตะโกนที่ดังและหนักแน่นราวกับเสียงฟ้าร้องได้ทำลายความเงียบ และมีสายตาหลายคู่จ้องเขม็งมา ผู้ใดกันที่ยังกล้ายั่วโมโหเฉินซีในเวลานี้?

ฟุ่บ! ฟุ่บ!

เงาร่างทั้งสองฉีกผ่านท้องฟ้า ทำให้เกิดลมกระโชกแรง ต่อจากนั้นชายวัยกลางคนในชุดสีม่วงก็เหาะเหินมา เขามีส่วนสูงราวหนึ่งจั้ง รอบกายแผ่กลิ่นอายที่น่าประทับใจและสง่างาม คนผู้นี้คือจอมเผด็จการแห่งจวนแม่ทัพ และเป็นผู้ปกครองที่แท้จริงของเมืองหมอกสน ผู้มีนามว่า ฉินฮั่น

ข้าง ๆ คือผู้บ่มเพาะอันดับหนึ่งในสังกัดของจวนแม่ทัพ ซึ่งมีรูปร่างผอมบางและแขนยาว เขาคือหลัวชง

ฝูงชนที่อยู่ใกล้เคียงอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงเมื่อเห็นสองคนนี้ ก่อนหน้านี้แม่ทัพฉินไม่ได้ปรากฏกาย แต่กลับจงใจปรากฏกายในเวลานี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าต้องการใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น?

นอกจากทะเลเพลิงแล้ว เฉินซีพลันลืมตาขึ้นจ้องมองไปยังฉินฮั่นกับหลัวชง เขาเข้าใจได้ราง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น และหัวใจก็เริ่มดิ่งลงอย่างช่วยไม่ได้ พวกเขาไม่ได้มาดีเป็นแน่!

ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!

หลังจากฉินฮั่นกับหลัวชงเพิ่งมาถึง องค์รักษ์กลุ่มใหญ่ของจวนแม่ทัพได้พุ่งมายังเบื้องหลังของพวกเขาอย่างเป็นระเบียบ เมื่อเหลือบมอง ย่อมสังเกตเห็นได้ว่าพวกเขาปฏิบัติตามระเบียบวินัยทางทหารและกฎเกณฑ์ที่เข้มงวด

“แม่ทัพฉิน ท่านมีธุระอะไรที่นี่” ดวงตาของเฉินซีหรี่ลงเล็กน้อย เขากำลังหมุนเวียนปราณแท้ เมื่อคลื่นความอ่อนล้าปรากฏขึ้นในใจ ทำให้เขารู้สึกวิงเวียนและเปลือกตากระตุก ขณะที่ถูกครอบงำด้วยแรงกระตุ้นจนอยากหลับนอนเพราะอาการง่วงซึม

นี่เป็นเพราะดวงวิญญาณของเขาถูกใช้ไปเยอะเกินไป

ก่อนหน้านี้ เพื่อหลีกเลี่ยงจากการโจมตีของไข่มุกโลหิตประกายทมิฬ ชายหนุ่มจึงใช้ทักษะวิชาสะท้านทวยเทพ เพื่อเขย่าจิตวิญญาณของหลี่เฟิงถูให้ว่างเปล่าไปชั่วขณะ เป็นเพราะเหตุนี้เองจึงทำให้ฆ่าหลี่เฟิงถูได้อย่างง่ายดาย

อย่างไรก็ตาม การดูดกลืนดวงวิญญาณของทักษะวิชาสะท้านทวยเทพนี้น่ากลัวอย่างยิ่ง เพราะโจมตีเพียงครั้งเดียวก็ทำให้ญาณจิตของเขาถูกใช้จนเกือบหมด หากไม่ใช่เพราะญาณจิตของเขาแข็งแกร่งพอละก็ คงได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีครั้งนี้

ที่สำคัญที่สุด เนื่องจากการต่อสู้ครั้งก่อน ปราณแท้ของเฉินซีเกือบถูกใช้ไปหมดสิ้น ในตอนนี้ไม่ต้องกล่าวถึงการต่อสู้กับใคร แม้แต่การควบคุมกระบี่บินก็ยากเย็นยิ่ง

เป็นเพราะเหตุนี้เอง เมื่อเฉินซีเห็นฉินฮั่นกับหลัวชงและผู้คุ้มกันจำนวนมากจากจวนแม่ทัพ ชายหนุ่มก็ประจักษ์ทันทีว่าคนเหล่านี้ต้องการคว้าโอกาสที่เขาไม่มีอำนาจจะต่อสู้ และใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น!

“เฉินซี เจ้ารู้ความผิดของตัวเองหรือไม่!?” ฉินฮั่นไขว้มือไว้ด้านหลังและกล่าวเสียงเรียบ

“ข้าก่อความผิดอะไร” ชายหนุ่มกล่าวด้วยท่าทางไร้อารมณ์

“หลัวชง บอกเขาซะ!” ฉินฮั่นดูเหมือนจะรู้สึกว่าการอธิบายให้เฉินซีฟังเองนั้นเสียศักดิ์ศรี ดังนั้นจึงสั่งให้หลัวชงที่อยู่ใกล้เคียงอธิบาย

ใบหน้าของหลัวชงเคร่งขรึม ขณะที่เขากล่าวอย่างเย็นชาว่า “จวนแม่ทัพกำหนดไว้ว่าห้ามต่อสู้หรือก่อความวุ่นวายภายในเมือง เจ้าละเมิดกฎเหล็กของจวนแม่ทัพทุกข้อ และตามกฎที่กำหนดไว้…” เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องยากสำหรับหลัวชงที่จะกล่าวต่อ

“หลัวชง ถอยไปซะ” ฉินฮั่นเชิดหน้าเลิกคิ้วขึ้นสูงอย่างเย่อหยิ่ง จากนั้นก็กล่าวว่า “ตามกฎแล้ว เจ้าควรถูกประหารชีวิต หากยอมให้ตัวเองถูกจับกุมแต่โดยดี และก้มหน้ายอมรับความผิดที่ก่อ เช่นนั้นอาจหลีกเลี่ยงโทษตาย และหนทางการบ่มเพาะของเจ้าจะถูกตัดขาด ก่อนที่จะถูกเนรเทศไปที่เหมืองเพื่อเป็นทาสไปตลอดชีวิต”

“เฉินซี เจ้ายังหนุ่มยังแน่นนัก อย่าได้ทำลายอนาคตตัวเอง จวนแม่ทัพของข้าเป็นตัวแทนของราชวงศ์ซ่ง อีกทั้งกฎเหล็กของราชวงศ์ก็จะไม่ยอมให้มีการละเมิด ส่วนเจ้าฆ่าล้างตระกูลหลี่อย่างเปิดเผยและละเมิดกฎเหล็ก ถ้ายอมแต่โดยดี ข้าจะรับประกันความปลอดภัยให้ได้” หลัวชงที่อยู่ใกล้เคียงได้กล่าวเสริม

“ข้าสร้างปัญหา? ข้าละเมิดกฎเหล็กของจวนแม่ทัพ? ถ้าไม่ยอมรับความผิด เจ้าก็จะฆ่าข้า และหากยอมรับความผิด เจ้าก็จะทำลายการบ่มเพาะของข้า และส่งไปเป็นแรงงานทาสในเหมืองแร่…” เฉินซีก้มหน้าพึมพำครู่หนึ่งและโกรธจนถึงขั้นปวดหัวใจ จากนั้นเขาก็ค่อย ๆ เงยหน้าพลางกล่าวเสียงเย็นยะเยือกระคนไม่แยแส “ให้ข้าถามพวกเจ้าสองคน จวนแม่ทัพอยู่ที่ใด เมื่อคนกว่าหนึ่งหมื่นคนในเขตสามัญชนเสียชีวิตอย่างน่าสังเวชภายใต้คมกระบี่ของตระกูลหลี่? แล้วพวกเจ้าอยู่ที่ใด เมื่อร้านค้าของตระกูลจางและร้านอาหารนทีกระจ่างถูกทำลายจนกลายเป็นซากปรักหักพัง? ในปีนั้น เมื่อตระกูลเฉินของข้าถูกทำลายล้าง เจ้าสองคนไปมุดหัวอยู่ที่ใดกัน?”

“ท่านทั้งสองปิดหูปิดตาเพิกเฉยต่อการกระทำชั่วช้า แต่ผู้คนที่มีจิตใจดีและกล้าหาญต้องขอรับความกรุณาจากพวกเจ้าที่เหยียบย่ำและทำให้อับอาย? คนชั่วที่น่ารังเกียจเช่นเจ้าทั้งสองรังแกผู้อ่อนแอและเกรงกลัวต่อผู้แข็งแกร่ง เช่นนั้นจะมีคุณสมบัติอะไรที่จะเป็นตัวแทนของราชวงศ์ซ่ง?

“เจ้าพล่ามอะไร?” ฉินฮั่นเหลือบมองที่เฉินซี กลิ่นอายและแววตาเต็มไปด้วยจิตสังหาร

คำพูดของชายหนุ่มกระตุกต่อมโทสะเข้าให้แล้ว และทำให้เขาไม่อาจหาอะไรมาหักล้างได้ เพราะทุกคนในเมืองหมอกสนรู้ถึงสิ่งเหล่านี้ดี แต่ไม่มีใครกล้ากล่าวถึงอย่างเช่นเฉินซีที่หาได้มีความเกรงกลัว

นี่คืออานุภาพแห่งจวนแม่ทัพ ซึ่งไม่อนุญาตให้ใครก็ตามขัดต่อคำสั่ง ในเวลาเดียวกันกับที่จวนแม่ทัพดำเนินการตามกฎเกณฑ์ จวนแม่ทัพเองก็กำลังเหยียบย่ำกฎเกณฑ์ คอยข่มเหงคนดีและประจบประแจงคนชั่ว

ดังคำกล่าวที่ว่า …กฎถูกตั้งไว้เพื่อผูกมัดและกักขังผู้อ่อนแอ ในขณะที่ผู้แข็งแกร่งยืนอยู่เหนือทุกสิ่ง และไม่มีผู้ใดที่กล้าวิจารณ์ ยามพวกเขาแหกกฎซะเอง

นี่เป็นกฎที่ไม่ได้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร กฎที่ซ่อนอยู่ไม่สามารถประกาศด้วยปากเปล่าได้ เนื่องจากเป็นสิ่งที่ขัดต่อกฎที่มีอยู่ แต่กฎเหล่านี้มีอยู่ทุกหนทุกแห่งในโลก

ในขณะนี้ คำกล่าวของเฉินซีได้เปิดเผยทุกอย่างแล้ว และมันก็เหมือนการตบหน้าฉินฮั่นดังฉาด!

“ข้าพล่ามอะไรน่ะหรือ? ในหมู่คนที่อยู่ด้วย ข้าเกรงว่ามีแต่เจ้าที่แสร้งทำเป็นไม่รู้จึงถามแบบนี้” เฉินซีพร้อมที่จะเสี่ยงทุกอย่างแล้ว จวนแม่ทัพแล้วอย่างไร ราชวงศ์ซ่งนับเป็นอันใด? เฉินซีจะต้องสนใจด้วยหรือ? เขาไม่ใช่คนอ่อนแอเฉกเช่นเมื่อก่อนที่ต้องอยู่ใต้เงาความเมตตาของผู้อื่น เมื่อต้องเผชิญกับความยั่วยุขนาดนี้ ความกลัวและการยอมจำนนย่อมไม่อาจรักษาชีวิตของเขาไว้ได้!

“ไร้สาระ! จวนแม่ทัพได้จับกุม พิพากษาและประหารชีวิตฆาตกรเพื่อชดใช้โทษแด่ผู้เสียชีวิต เพียงแค่เจ้าไม่เห็นมัน” ฉินฮั่นสามารถเป็นผู้นำจวนแม่ทัพได้ ดังนั้นจึงไม่ใช่คนธรรมดาสามัญ จากนั้นเขาก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนกล่าวเสียงเย็นเยียบ “เจ้าฆ่าสมาชิกตระกูลหลี่อย่างโจ่งแจ้ง และไม่เพียงแต่ไม่สำนึกผิด ทว่ายังกล่าวหาว่าจวนแม่ทัพไม่ดำเนินการอย่างสันติ ดูเหมือนว่าการฆ่าคนร้ายเช่นเจ้าในวันนี้เท่านั้นที่จะทำให้ข้าปกป้องศักดิ์ศรีของจวนแม่ทัพได้”

“ช่างเป็นอุบายที่ดียิ่งนัก หลังจากจัดการข้าแล้ว เจ้าทั้งคู่ก็ไปรายงานตระกูลซูแห่งเมืองทะเลสาบมังกร ว่าทำภารกิจนี้สำเร็จแล้วใช่หรือไม่” เฉินซีขมวดคิ้วและหลุบตาลงต่ำขณะที่กล่าวด้วยเสียงเบา “ดูเหมือนว่าเรื่องภายในวันนี้จะแก้ไขได้เพียงการนองเลือดเท่านั้น”

“นองเลือด?” ฉินฮั่นเยาะเย้ย “เจ้าประเมินตัวเองสูงเกินไป นี่หาใช่การการนองเลือด แต่เป็นจวนแม่ทัพที่จับกุมและลงโทษคนร้าย!”

ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!

ในเวลานี้เองที่คลื่นเสียงบางสิ่งพลันพุ่งผ่านท้องฟ้าอันไกลโพ้น และประกายแสงทั้งเจ็ดสายตัดผ่านนภาก่อนที่จะมาถึงอย่างรวดเร็วและเกิดเสียงดังสนั่น

“ผู้อาวุโส ดูเถิด! เจ้าเด็กคนนั้นคือเฉินซี!”

“โอ้ เขาคือผู้ที่ได้รับมรดกจากที่พำนักของเซียนกระบี่อย่างนั้นหรือ? ฮึ่ม! เขากล้ายึดสิ่งของที่เป็นของตระกูลซูของข้าหรือ? ข้าจะให้เขาคายมันออกมาให้หมด!”

“ฮ่า ๆๆๆ! ข้าจำได้ว่าเราเคยมาที่เมืองหมอกสนครั้งหนึ่ง ตอนที่ช่วยเสี่ยวเจียวฉีกสัญญาแต่งงานของนางเมื่อหลายปีก่อน ตอนนี้เรากลับมายังที่อันคุ้นเคยและพบกับสหายเก่าราวกับโชคชะตาอย่างแท้จริง!”

“จับกุมเขาซะ! ถ้าไม่มอบสมบัติจากที่พำนักของเซียนกระบี่มาก็ฉีกเขาให้เป็นเศษเนื้อ!”

พร้อมกับเสียงดังจอแจ ชายหญิงเจ็ดคนในชุดหรูหราปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ กลิ่นอายน่าเกรงขามราวกับมหาสมุทรกว้างใหญ่

ชายร่างสูงและทรงพลังเป็นผู้นำ เขามีจมูกโด่งกับแววตาที่จ้องมองมานั้นลึกล้ำ อีกทั้งยังสะพายกระบี่ไว้บนแผ่นหลังกว้าง ขณะนี้มีชายอีกสามคนและผู้หญิงสองคนยืนอยู่เคียงข้าง พวกเขาทั้งหมดมีกลิ่นอายน่าเกรงขามและท่าทางที่สง่างามอย่างหาที่เปรียบมิได้

มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีรูปร่างหน้าตาอ่อนเยาว์ ใบหน้าใสซื่อยืนอยู่ข้าง ๆ ด้วยความเคารพ กลิ่นอายที่แผ่ออกมาเห็นได้ชัดว่าด้อยกว่าอีกหกคนอย่างมาก แต่ยามมองไปที่ฉินฮั่นกับคนอื่น ๆ แล้ว แววตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความเย่อหยิ่งยิ่งนัก

“ผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำหกคนของตระกูลซู!”

“ตระกูลซูแห่งเมืองทะเลสาบมังกร! เฉินซีได้สมบัติอะไรมาจากที่พำนักของเซียนกระบี่? จนถึงขั้นดึงดูดผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำทั้งหกคนจากตระกูลซูออกมาพร้อมกัน!”

“นี่มันอย่างกับหนีเสือปะจระเข้ แม้ว่าเฉินซีจะไม่ถูกจวนแม่ทัพสังหารในครั้งนี้ แต่จะถูกผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำทั้งหกคนจับกุมอย่างแน่นอน เขาไม่อาจหนีหายนะครั้งนี้ไปได้”

เมื่อเห็นเหล่าผู้บ่มเพาะชายหญิงทั้งเจ็ดคนนี้ที่มีท่าทางไม่ธรรมดา ผู้ชมที่อยู่ห่างไกลก็รู้สึกสั่นสะท้าน และดวงตาเผยให้เห็นถึงความนับถืออย่างสุดซึ้ง

สิบปีที่แล้ว… หรือกล่าวอีกอย่างก็คือปีสี่หลังจากที่ตระกูลเฉินถูกทำลายล้าง ชายหญิงเหล่านี้เคยมาที่เมืองหมอกสนพร้อมกับผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำอีกสองสามคน

ในเวลานั้นได้ฉีกสัญญาแต่งงานกับบุตรคนโตของตระกูลเฉิน นั่นก็คือเฉินซี พวกเขาฉีกสัญญาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยต่อหน้าธารกำนัลในเมืองหมอกสน

ในขณะนี้ เมื่อเหล่าผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ผู้คนที่อยู่ที่นั่นจะจำพวกเขาไม่ได้อย่างไร?

มันคือพวกเขาจริง ๆ!

ดวงตาของเฉินซีสะท้อนภาพในอดีต เมื่อครั้งอายุสี่ขวบ ความเกลียดชังในหัวใจดวงน้อยก็แผ่ซ่านไปทั่วกายา

ฤดูร้อนในปีนั้น เขาทนต่อความร้อนจัดเพื่อบ่มเพาะอย่างแสนสาหัสภายใต้ดวงอาทิตย์แผดเผา และท่านปู่ของเขาก็นอนอยู่ใต้ชายคาขณะที่สอนเฉินฮ่าวให้อ่านตำรา ลมร้อนพัดผ่าน ใบไม้พลิ้วไหว และทุกอย่างก็สงบสุขนัก

ทว่า ในยามพลบค่ำ ดวงไฟนับสิบได้ทำลายความสงบสั้น ๆ นี้ และคนที่ยืนอยู่บนอากาศนี้เองที่ก้มมองลงมาที่เขากับท่านปู่ด้วยท่าทางหยิ่งยโสและดูถูกเหยียดหยาม

พวกมันเยาะเย้ยท่านปู่เหมือนเดรัจฉาน

พวกมันเยาะเย้ยตัวเขาเปรียบเหมือนเหมือนคางคกที่อยากกินเนื้อหงส์

พวกมันฉีกสัญญาการแต่งงานของเขาต่อหน้าต่อตาทุกคนในเมืองหมอกสน!

เฉินซีอายุเพียงสี่ขวบเท่านั้น เขาไม่รู้ว่าความอับอายและการเย้ยหยันคือสิ่งใด เขาไม่รู้ว่ามันเจ็บปวดแค่ไหนเมื่อมีอีกคนมาที่บ้านของเจ้าและทำให้ต้องอับอายขายขี้หน้า

เฉินซีเห็นเพียงน้องชายที่กลัวจนร้องไห้อยู่บนพื้น เขาเห็นร่างกายของท่านปู่สั่นเทาด้วยโทสะ เห็นความเศร้าโศกแสดงผ่านใบหน้าอันเหี่ยวย่น และการจ้องมองที่สิ้นหวังทำให้เขารู้สึกถึงความกลัว หมดหนทาง และรู้สึกว่าแผ่นฟ้าคล้ายจะถล่มพังลงมา…

ฉากนี้ทำให้ความอาฆาตปะทุขึ้นทั้งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในหัวใจของเขา และมันตราหน้าเขาด้วยความเจ็บปวดที่ไม่อาจลบเลือน

ฟู่!

เฉินซีส่ายศีรษะอย่างแรง จากนั้นเขาก็สูดลมหายใจเข้าลึกซ้ำ ๆ เพื่อระงับความเกลียดชังและความกระสับกระส่ายที่เกิดขึ้น เขารู้ดีว่าด้วยสภาพปัจจุบัน มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะรับมือกับคนใดคนหนึ่งในหมู่พวกเขา

…และการหลบหนีเป็นหนทางเดียวที่จะอยู่รอด!!

ลูกผู้ชายสิบปี ล้างแค้นก็ยังไม่สาย …ถ้าต้องการชดใช้ความอัปยศทั้งหมดที่ได้รับ เขาต้องแน่ใจว่าต้องมีชีวิตรอดไปให้ได้เสียก่อนและมันยังเป็นหนทางสู่ความแข็งแกร่งในอนาคตอีกด้วย เมื่อนั้นทุกสิ่งจะทำได้ดั่งใจปรารถนา!

“แม่ทัพฉิน ผู้บ่มเพาะกายาเหล่านี้อยากต่อสู้ในเมืองหมอกสน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นการยั่วยุศักดิ์ศรีและเจตจำนงของจวนแม่ทัพ ท่านจะเข้ามายุ่งหรือไม่” เฉินซีเหลือบไปที่ฉินฮั่นและคนอื่น ๆ จากนั้นเขาก็กล่าวออกไป

ก่อนหน้านี้ ฉินฮั่นเปี่ยมไปด้วยโทสะและความขุ่นเคืองใจหมายจะสังหารเฉินซี โดยแสร้งทำเป็นปกป้องศักดิ์ศรีของจวนแม่ทัพและเป็นตัวแทนของราชวงศ์ซ่ง

ตอนนี้เมื่อต้องเผชิญกับผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำของตระกูลซูแห่งเมืองทะเลสาบมังกร เฉินซีได้ให้พวกมันลิ้มรสยาพิษ อีกทั้งการเหน็บแนมและเยาะเย้ยในคำพูดของชายหนุ่มเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถตระหนักได้เอง