ตอนที่ 310 ไม่สบาย

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

เจอเรื่องที่ทำให้ตกใจกลัวอย่างนั้นหรือ!

เจอเรื่องที่ทำให้ตกใจกลัวได้อย่างไรกัน

เฉิงเจียคุยกับอะไรกับเด็กน้อยกันแน่

เฉิงฉือขมวดคิ้วมุ่น

ท่านหมอโจวกับโจวเหนียงจื่อแลกเปลี่ยนสายตากันครั้งหนึ่ง

ก่อนหน้านี้เห็นซอยจิ่วหรูส่งพ่อบ้านผู้หนึ่งมารับพวกเขาสองสามีภรรยาไปตรวจดูอาการ พวกเขาสองสามีภรรยายังคาดเดากันว่าอาจจะเป็นนายหญิงผู้เฒ่าสักท่านของตระกูลเฉิงที่ไม่สบาย แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อเข้าเรือนหานปี้ซานมาแล้ว กลับเป็นการมาตรวจดูอาการให้คุณหนูรองตระกูลโจวที่มาอาศัยอยู่ที่จวนสี่ เวลานั้นทั้งสองต่างลอบประหลาดใจอยู่ในใจ ไม่ได้เจอกันเพียงหนึ่งปี คุณหนูรองตระกูลโจวก็ได้รับความโปรดปรานจากฮูหยินผู้เฒ่ากัวจวนหลักเสียแล้ว

ไม่คาดคิดว่าคุณหนูรองผู้นี้ไม่เพียงได้รับความโปรดปรานจากฮูหยินผู้เฒ่ากัวเท่านั้น ยังมีน้ำหนักในสายตาของนายท่านสี่อีกด้วย!

ภรรยาที่เข้าออกแต่เรือนชั้นในอาจไม่รู้ แต่ท่านหมอโจวที่เข้าออกตระกูลใหญ่ตระกูลโตของเมืองจินหลิงมานานหลายปีกลับกระจ่างอยู่ในใจเป็นอย่างดี นายท่านสี่ของตระกูลเฉิงผู้ที่ได้รับการขนามว่า ‘เทพเจ้าแห่งความร่ำรวย’ ผู้นี้ถึงแม้จะมีจิตใจดี ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยสนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในเรือนหลังของตระกูลเฉิงมาก่อน หรือว่านายท่านใหญ่ของตระกูลโจวผู้นั้นกำลังจะได้เข้ารับตำแหน่งใหญ่โต?

แต่นี่ก็ไม่ถูกต้องนัก!

นายท่านใหญ่จิงของตระกูลเฉิงเป็นหนึ่งในเก้าเสนาบดี ต่อให้นายท่านใหญ่ตระกูลโจวก้าวหน้าได้รวดเร็วเพียงใด ด้วยระยะเวลาอันสั้นนี้ก็ยากที่จะก้าวข้ามนายท่านใหญ่จิงของตระกูลเฉิงไปได้!

เรื่องนี้ให้เขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ตก แต่ในใจกลับเข้าใจดีว่าคนไข้รายนี้ต้องตรวจให้ดีที่สุด จะตรวจอย่างส่งๆ ไม่ได้เป็นอันขาด

ดังนั้นตอนที่โจวเหนียงจื่อไปเขียนเทียบยานั้น เขาจึงคอยดูอยู่ข้างๆ โดยตลอด ยังปรึกษาเรื่องปริมาณยากับโจวเหนียงจื่อด้วยบ่อยๆ กระทั่งเขียนเทียบยาเสร็จแล้ว ท่านหมอโจวก็ยื่นใบเทียบยาส่งให้เฉิงฉือ

หากเป็นขุนนางช่วยประเทศชาติไม่ได้ ก็ไปเป็นหมอรักษาชีวิตคนก็ได้

คนที่มีการศึกษาดีอย่างเฉิงฉือนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ไปตรวจรักษาคน แต่ก็รู้หลักทางการแพทย์ดี

เป็นไปตามที่คาด เฉิงฉือหยิบเทียบยาไปพิเคราะห์อยู่ครู่ใหญ่ กล่าวขึ้นว่า “โสมคนนี้ต้องลดปริมาณลงสักหน่อยหรือไม่ นางร่างกายอ่อนแอ เกรงว่าจะรับไม่ไหว”

ท่านหมอโจวหันไปมองโจวเหนียงจื่อ

เขาไม่ได้เป็นคนตรวจชีพจร ดังนั้นจึงไม่อาจพูดอะไรมาก

ทว่าโจวเหนียงจื่อกลับรู้สึกว่าชีพจรของคุณหนูรองตระกูลโจวดูเหมือนจะแข็งแรงดี เพียงแต่ว่าเต้นไม่ค่อยเป็นจังหวะเล็กน้อยเท่านั้น มิใช่คนร่างกายอ่อนแอขนาดนั้น การเติมโสมคนเข้าไปก็เพียงเพื่อบำรุงร่างกายเท่านั้น รู้สึกว่าของจำพวกโสมคน โสมตังกุยและเขากวางแห้งนั้นหากยิ่งมากก็ยิ่งดี แต่ในเมื่อเจ้าบ้านกล่าวเช่นนี้แล้ว นางย่อมไม่อาจคัดค้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอีกฝ่ายเป็นถึงจิ้นซื่อขั้นสอง เป็นคนที่มีความรู้ความสามารถยอดเยี่ยมผู้หนึ่ง

“นายท่านสี่กล่าวได้ถูกต้องยิ่งนัก” โจวเหนียงจื่อกล่าวยิ้มๆ “ตอนที่ข้าใช้ยาประเภทนี้ก็คิดมากเหมือนกันเจ้าค่ะ”

เฉิงฉือถึงได้พยักหน้าอย่างพึงพอใจ ส่งเทียบยาให้ไหวซานนำไปจัดยา จากนั้นสั่งให้สาวใช้เด็กไปเชิญซางมามาเข้ามาช่วยต้มยา แล้วไปส่งสองสามีภรรยาตระกูลโจวที่ประตู

ฝานหลิวซื่อมองแล้วอดหวาดกลัวไม่ได้

คิดว่านี่เป็นการที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวสองแม่ลูกกำลังตำหนินางอยู่เงียบๆ ที่ไม่ดูแลโจวเสาจิ่นให้ดี จึงตำหนิปี้เถาที่เฝ้าเวรยามว่า “เจ้าไม่ได้ยินว่าคุณหนูเจียกับคุณหนูรองคุยอะไรกันแม้แต่นิดเดียวเลยหรือ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวทิ้งปี้อวี้ไว้ที่นี่อยู่เป็นลูกมือให้ซางมามา ส่วนพวกนางที่รับใช้อยู่ที่นี่ประจำถูกต้อนออกไปทั้งหมด เกรงว่าลำดับถัดไปคงต้องถูกขับไล่ไปอยู่ที่ไหนสักแห่งเป็นแน่

“ข้าไม่ได้ยินจริงๆ เจ้าค่ะ!” นางกล่าวด้วยสีหน้างอง้ำ “หากข้าได้ยิน คงบอกฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปนานแล้ว”

ฝานหลิวซื่อได้แต่ถอนหายใจ พวกนางหลายคนเฝ้าอยู่ใต้ทางเดิน มองปี้อวี้และซางมามาที่วุ่นเข้าวุ่นออก กระวนกระวายใจประหนึ่งตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไร้ทางออก

ส่วนเฉิงฉือเร่งเร้าให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปกินมื้อเย็น “…ข้าเฝ้าอยู่ที่นี่ก็พอแล้วขอรับ!”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วก็กล่าวยิ้มๆ ว่า “มีเหตุใดอันใดให้เจ้าเฝ้าอยู่ที่นี่กัน ให้ข้าเฝ้าอยู่ที่นี่ดีกว่า เจ้าไปกินมื้อเย็นเถิด!”

เฉิงฉือไม่มีอารมณ์กินอะไรจริงๆ แต่ก็รู้ว่าการที่ตนเฝ้าอยู่ที่นี่นั้นไม่เหมาะสมนัก จึงกล่าวขึ้นว่า “ท่านอายุมากแล้ว ร่างกายไหนเลยจะทนต่อความลำบากนี้ได้ หากท่านป่วยไปด้วยอีกคน ข้าจะทำอย่างไร”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกลัวว่าบุตรชายจะเป็นกังวลใจ จึงสั่งให้สาวใช้ตั้งโต๊ะอาหารเย็นในห้องโถงของโจวเสาจิ่น

หลังจากที่เฉิงฉือกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวรับประทานอาหารเย็นอย่างลวกๆ ไปแล้ว ยาก็ต้มเสร็จพอดี

โจวเสาจิ่นตัวสั่นไปทั้งร่าง ยังคงไม่รู้สึกตัว ซางมามากับปี้อวี้ขยับเข้าไปเรียกตั้งหลายครั้งก็ไม่รู้สึกตัวตื่น

ปี้อวี้เข้าไปประคองโจวเสาจิ่น ให้นางเอนตัวนอนอยู่บนร่างของตัวเอง ให้คนนำตะเกียบเงินเข้ามาสำหรับเตรียมสอดเข้าไปง้างฟันของโจวเสาจิ่นเอาไว้เพื่อป้อนยาให้นาง

ซางมามาครุ่นคิดครู่หนึ่ง กระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “คุณหนูรองยังไม่รู้สึกตัว เกรงว่าจะต้องใช้แรงมากในการง้างฟันให้เปิดออก ข้าว่าเรื่องนี้ไปรายงานให้นายท่านสี่ทราบจะดีกว่า!”

คุณหนูรองตัวบอบบางประหนึ่งเครื่องกระเบื้อง หากมีตรงไหนแตกหักไป คงจะรับผิดชอบไม่ไหว

ปี้อวี้ประหลาดใจ เอ่ยขึ้นว่า “เรื่องนี้ก็ต้องไปรายงานให้นายท่านสี่ทราบด้วยหรือ”

ในยามปรกติหากป้อนยาไม่ได้ ก็มักจะทำเช่นนี้กันอยู่แล้วมิใช่หรือ

ซางมามากล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าเชื่อข้าเถิดไม่ผิดอย่างแน่นอน” ด้วยกลัวว่าแม่นางผู้นี้จะเป็นคนเถรตรงเกินไปผู้หนึ่ง จึงกล่าวอีกว่า “นายท่านสี่กับฮูหยินผู้เฒ่ากัวต่างนั่งอยู่ด้านนอกนี้เอง อย่างไรก็ไม่เสียเวลาอยู่แล้ว เจ้าว่าอย่างไร”

ปี้อวี้เองก็เป็นคนที่ใช้ได้ผู้หนึ่ง ได้ยินแล้วก็พยักหน้า

ซางมามาจึงไปรายงานฮูหยินผู้เฒ่ากัว ทว่าดวงตาทั้งคู่กลับมองไปที่เฉิงฉือ

เฉิงฉือไม่รอให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้สัญญาณก็ลุกขึ้นตรงเข้าไปในห้องชั้นใน

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตะลึงงัน ให้หม่าเหน่าประคองแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นมาอย่างช้าๆ

เฉิงฉือเลิกผ้าม่านขึ้นเดินเข้าไป

ปี้อวี้รีบลุกขึ้นไปยืนข้างๆ

บนเตียงลงรักสีดำหลังใหญ่ โจวเสาจิ่นนอนขดตัวกลม จึงยิ่งดูตัวเล็ก อ่อนแอและไร้เรี่ยวแรง

เฉิงฉือพลันรู้สึกแน่นหน้าอกและกระวนกระวายใจ

“เสาจิ่นๆ” เขาโน้มตัวเข้าไปกระซิบเรียกโจวเสาจิ่น

ดวงตาทั้งคู่ของโจวเสาจิ่นปิดแน่นสนิท ใบหน้าแดงก่ำ มีเหงื่อผุดขึ้นมาเต็มหน้าผาก ปากพึมพำกล่าวอะไรบางอย่าง

ช่างสมควรตายจริงๆ!

นี่คือสภาพของคนที่เจอเรื่องที่ทำให้ตกใจกลัวอย่างนั้นหรือ

เห็นๆ อยู่ว่าไข้ขึ้นจนเพ้อไม่ได้สติแล้ว

เฉิงฉือนั่งลงข้างเตียง ประคองตัวโจวเสาจิ่นมาพิงอยู่บนร่างของตัวเอง

ตัวของโจวเสาจิ่นประเดี๋ยวร้อนประเดี๋ยวเย็น

ประเดี๋ยวก็เป็นสายตาดูแคลนของเฉิงฉือ ประเดี๋ยวก็เป็นพวกบ่าวรับใช้ที่กำลังชี้ไม้ชี้มือ อีกประเดี๋ยวก็เป็นสีหน้าเหยียดหยันของหยวนซื่อ มีเสียงระงมอย่างเผ็ดร้อนที่แฝงความสะใจเอาไว้ของบรรดาภรรยาดังมาให้ได้ยินอยู่ข้างหูอย่างรางๆ

ช่างเป็นนังปีศาจจิ้งจอกผู้หนึ่งจริงๆ อายุน้อยเพียงนี้ก็รู้จักล่อลวงพวกคุณชายทั้งหลายแล้ว!

เห็นนางอย่างนั้น เอวบางหน้าอกอิ่มเต็ม เวลามองผู้คนดวงตาคู่นั้นสุกใส สง่างามเป็นหญิงสาวจากตระกูลผู้ดี แต่เหตุใดถึงเติบโตมาเป็นเช่นนี้ไปได้!

เจ้าบอกว่าฮูหยินจวงเป็นคนอ่อนโยนและจิตใจดี แต่เหตุใดถึงให้กำเนิดบุตรสาวเช่นนี้ออกมาได้ ถ้าหากฮูหยินจวงยังมีชีวิตอยู่ มิต้องมีชีวิตอยู่อย่างโมโหจนอยากตายไปเสียหรอกหรือ!

นางไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ในห้องของตัวเองที่เรือนฝูชุ่ยหรือว่าอยู่ในห้องข้างขนาดเล็กที่หยวนซื่อให้นางพักอยู่ที่เรือนอวิ้นเจินกันแน่

โจวเสาจิ่นส่ายศีรษะด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ตะโกนแย้งออกไปเสียงดังว่า “ข้าไม่ได้เป็นอย่างนั้น” แต่ดูเหมือนว่าลำคอกลับตีบตัน ไม่ว่าอย่างไรก็เปล่งเสียงออกมาไม่ได้

น้ำตาของนางไหลลงมาเป็นสาย

แล้วก็ไถลเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่นหนึ่ง

กลิ่นจางๆ เป็นกลิ่นหอมจางๆ ที่เหมือนกับกลิ่นของน้ำหอมดั่งที่ได้ยินมา

เป็นท่านน้าฉือ

เป็นท่านน้าฉือที่อยู่ข้างๆ นาง

คอยดูว่าพวกภรรยาใจร้ายเหล่านี้มีใครบ้างยังกล้ารังแกนางอีก!

นางเอนตัวเข้าหาทิศทางที่มีกลิ่นหอมนั้น พยายามลืมตาขึ้นด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี

ดวงหน้าดั่งรูปวาดและสีหน้าที่อบอุ่น

เป็นท่านน้าฉือจริงๆ ด้วย!

นางร้องไห้ออกมาอย่างทุกข์ระทม

เฉิงฉือรู้สึกหัวใจแหลกสลายไปหมด

เด็กน้อยมองเขาอย่างหวาดกลัว ดวงตาที่เคยสุกใสแดงก่ำ ประหนึ่งกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง นี่ไปเผชิญกับความเจ็บปวดที่หนักหนาเพียงใดมานะ!

เขาอดไม่ได้ที่จะกระชับอ้อมแขน กระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “เสาจิ่น รู้หรือไม่ว่าข้าคือผู้ใด”

“ท่านน้าฉือเจ้าค่ะ!” นางหน้างอง้ำ น้ำตาไหลลงมาไม่หยุด

นี่นางกำลังฝันอยู่หรือ

ท่านน้าฉือมากอดนางได้อย่างไร

นางหันมองไปรอบๆ

ในแจกันดอกไม้สีฟ้ามีดอกทับทิมสีแดงปักอยู่

นางกำลังฝันอยู่จริงๆ ด้วย!

นี่นางอยู่ในห้องชั้นในของเรือนฝูชุ่ย ท่านน้าฉือจะเข้ามาในห้องชั้นในของนางได้อย่างไร

นางวางใจลง ขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของเฉิงฉือ

เฉิงฉือโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง สั่งปี้อวี้ว่า “ยกยามา”

ปี้อวี้มองอย่างตกตะลึงไปแล้ว

คุณหนูรองนั้นไม่ว่าจะปลุกอย่างไรก็ไม่ตื่น แต่พอนายท่านสี่กอดเอาไว้ในอ้อมแขนก็ตื่นขึ้นมา…คราวก่อนเจินจูเองก็เป็นเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็รักษาไม่หาย แต่พอใช้วิธีการักษาของนายท่านสี่ก็หายเป็นปลิดทิ้ง…ที่แท้นายท่านสี่ก็เก่งกาจถึงเพียงนี้!

นางรีบยื่นยาส่งไปให้อย่างรีบร้อน

เฉิงฉือใช้ผ้าเช็ดหน้ารองใต้คางของโจวเสาจิ่นเอาไว้ หยิบช้อนมาตักยาป้อนให้โจวเสาจิ่นดื่ม

ทว่าโจวเสาจิ่นกลับเม้มริมฝีปากเอาไว้ กล่าวขึ้นอย่างอ่อนแรงว่า “ยาขม ข้าอยากจะดื่มให้หมดในคำเดียว”

หากป้อนให้ดื่มทีละช้อนทีละช้อน ช่วงเวลาที่ต้องรับสัมผัสความขมของยาก็จะเชื่องช้าและยาวนานมากขึ้น

เฉิงฉือยิ้มน้อยๆ นัยน์ตาเผยแววชมเชยออกมา

โจวเสาจิ่นจึงรู้สึกอิ่มเอมและหวานอยู่ในใจประหนึ่งได้ดื่มน้ำผึ้งก็ไม่ปาน

แต่หลังจากนั้นสีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก

นึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ขึ้นมา…

ถ้าหากถูกผู้อื่นจับได้ว่านางชอบท่านน้าฉือจะทำอย่างไร

หากคนเหล่านั้นจะด่านางก็ให้ด่านางก็พอ แต่นางไม่อาจให้ชื่อเสียงของท่านน้าฉือต้องมาแปดเปื้อนไปกับนางด้วยได้

เขาเป็นคนที่ดีมากดั่งสายลมอ่อนและดวงจันทร์กระจ่าง หากถูกพวกภรรยาที่ชอบนินทาเหล่านั้นเอ่ยถึงจะต้องกลายเป็นความอับอายขายหน้าเป็นแน่!

นางไม่อาจทำให้ท่านน้าฉือลำบากไปด้วยได้

โจวเสาจิ่นพยายามดิ้นรนขัดขืนขึ้นมา

เพียงแต่ว่านางกำลังป่วยอยู่ อาการดิ้นรนขัดขืนดังกล่าวจึงเป็นเพียงการบิดร่างกายไปมาเท่านั้น ไม่เพียงไม่ทำให้หลุดพ้นออกมาจากอ้อมกอดของเฉิงฉือเท่านั้น ในทางตรงกันข้ามกลับทำให้เฉิงฉือเข้าใจว่าอ้อมกอดของตัวเองทำให้ไม่สบายตัว จึงปรับเปลี่ยนท่วงท่าใหม่ แล้วยกถ้วยยาขึ้นจ่อที่ปากของนาง กล่าวเสียงนุ่มว่า “เด็กดี! ดื่มยาแล้วกินลูกกวาดสักสองสามเม็ดก็ไม่ขมแล้ว!”

เสียงที่บอกว่า ‘เด็กดี’ ราวกับกำลังหลอกล่อเด็กเสียงนั้นทำให้นางสะเทือนใจ โจวเสาจิ่นรู้สึกปวดใจราวกับกำลังถูกบดสับด้วยมีด

ต่อไปท่านน้าฉือจะพูดเช่นนี้กับผู้ใดบ้าง

หากนางตายเสียตั้งแต่ตอนนี้ จะได้ไปเกิดใหม่เป็นบุตรสาวของท่านน้าฉือหรือไม่

นางร้องไห้โฮออกมา

เฉิงฉือมองว่าเป็นเพราะนางกำลังเจ็บปวดด้วยพิษไข้ จึงหลอกล่อโจวเสาจิ่นอย่างใจเย็น

โจวเสาจิ่นดื่มยาถ้วยนั้นจนหมดไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

เฉิงฉือรู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง ป้อนลูกกวาดให้โจวเสาจิ่นหนึ่งเม็ด ค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างแผ่วเบา ช่วยกระชับผ้าห่มและจัดผมที่กระจัดกระจายเล็กน้อยนั้นให้โจวเสาจิ่น จากนั้นถึงได้ลุกยืนตัวตรงขึ้นมา

เมื่อไร้ซึ่งอ้อมกอดอันอบอุ่นและกลิ่นหอมที่คุ้นเคยแล้ว ร่างกายของโจวเสาจิ่นพลันรู้สึกเหน็บหนาวขึ้นมา

นางมองเฉิงฉือ สายตาทั้งระแวดระวังและเอาจริงเอาจัง ท่าทางราวกับว่าหากนางกระพริบตาแล้วเขาจะหายไปอย่างไรอย่างนั้น

เฉิงฉือสะท้านอยู่ในใจ ครู่ใหญ่กว่าจะได้สติคืนกลับมา แต่เมื่อได้สติคืนกลับมาแล้วกลับโน้มตัวลงไปลูบศีรษะของนางอย่างห้ามไม่อยู่ กระซิบกล่าวเสียงค่อยว่า “เด็กดี! กินยาแล้วก็นอนพักผ่อนดีๆ สักตื่นหนึ่ง เมื่อตื่นขึ้นมาก็หายดีแล้ว”

จากนั้นให้ปี้อวี้ไปจุดธูปหอมคลายความเครียด

ปี้อวี้รับคำแล้วถอยออกไป

อาจจะเป็นเพราะพิษไข้ทำให้คนงุนงงสับสน หรืออาจจะเป็นเพราะฤทธิ์ยากล่อมประสาทกับผลข้างเคียงของธูปหอม ใบหน้าของเฉิงฉือที่อยู่ในสายตาของโจวเสาจิ่นจึงค่อยๆ เลือนรางหายไปในที่สุด

นางจมเข้าสู่ดินแดนแห่งความฝันอันไกลโพ้น

เฉิงฉือถอนหายใจอย่างโล่งอก

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยืนอยู่ด้านนอกของผ้าม่านในห้องชั้นใน มองเหตุการณ์นี้อยู่เงียบๆ ร่างกายพลันรู้สึกราวกับแก่ขึ้นอีกสิบปีก็ไม่ปาน จับขอบประตูเอาไว้แน่น

สื่อมามารีบกระซิบถามว่า “ท่าน…ท่านเป็นอะไรหรือเจ้าคะ”

“เปล่า ข้าไม่ได้เป็นอะไร!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพึมพำกล่าว ยืดตัวขึ้นตรง สายตาจับจ้องอยู่ที่ร่างของบุตรชายคนเล็ก ประสานสายตากับบุตรชายคนเล็กที่หมุนกายกลับมาพอดี

เฉิงฉือตะลึงงัน

มองตรงมาที่มารดา ทว่ากลับยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อนกว่าครู่ใหญ่

ทั้งด้านนอกและด้านในของผ้าม่าน ต่างนิ่งสงบและเงียบเชียบดุจเดียวกัน