ตอนที่ 136-2 ฮวงจุ้ยอันโหดร้าย ได้บันทึกลึกลับ

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

อวิ๋นหว่านซิ่นกระซิบ “องค์ชายสามหมายถึงฮองเฮา…ใช้วิธีนี้กับมเหสีหยวนเช่นนั้นหรือเพคะ” 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงจ้องหน้านางไว้ และไม่ได้พูดว่าใช่หรือไม่ใช่ แต่สายตาเขาได้ตอบคำถามนั้นแล้ว 

 

 

เป็นเช่นนี้เอง! ถ้ารัชทายาทรู้เรื่องนี้ อย่าว่าแต่เคืองแค้นฮองเฮา เกลียดเข้ากระดูกดำก็เป็นไปได้ ถึงว่า ต้องวางป้ายวิญญาณของมเหสีหยวนไว้ที่วัดอีกหนึ่งอัน ส่วนพระศพที่ฝังไว้สุสานหลวง ไม่อาจย้ายออกมาได้ รัชทายาททนไม่ได้หรอก เมื่อครั้นยังมีชีวิต แต่ก็ถูกฮองเฮาปองร้ายจนสิ้นชีพ เมื่อครั้นตายไป ยังต้องถูกคุมขังไว้ที่ขุมนรก เขาจึงต้องกราบไหว้บูชาอีกที่หนึ่ง เพื่อให้มารดาอยู่สุขสบายขึ้น 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงเห็นนางกลัว “ภายนอก รัชทายาทแลดูเป็นคนนิ่ง แต่ความจริง เป็นคนเอาแต่ใจ มีไฟก้อนใหญ่ลุกอยู่ในใจ ไม่มีใครหยั่งรู้ได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่ ส่วนฮองเฮาก็ใช่ว่าจะรับมือได้ง่าย ถ้าทรงรู้ว่ารัชทายาทเกลียดชัง คิดเปลี่ยนใจ เจ้าคิดว่าฮองเฮาจะทรงให้รัชทายาทดำรงตำแหน่ง ขึ้นเป็นกษัตริย์ เพื่อให้การแก้แค้นเพื่อมารดานั้นง่ายขึ้นเช่นนั้นหรือ” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นนึกถึงเรื่องหนึ่ง นางขยับก้น นั่งเข้าไปใกล้อีกหลายนิ้ว “หม่อมฉันคิดว่า ฮองเฮาอ่านใจของรัชทายาทออก องค์ชายสามจำเรื่องหอละครว่านฉ่ายได้หรือไม่เพคะ” 

 

 

เดิมทีซย่าโหวซื่อถิงไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องสกปรกในวังกับนางสักเท่าไหร่ หากได้ฟังแล้ว ก็ว้าวุ่นใจเปล่าๆ รอเพียงแต่งเข้าตำหนักหลวง เป็นนายหญิงผู้หวานแหววอย่างสงบสุขก็เพียงพอแล้ว เมื่อเห็นนางเข้าใกล้ตน เขาก็ลดมาดลง คิ้วดกขยับเล็กน้อย “อืม”  

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นมุ่งความสนใจไปที่รัชทายาทจนไม่ทันสังเกตท่าทางของเขา “หอละครระเบิด หากเว่ยอ๋องไม่ได้เป็นคนทำ” ใช้หางตามองเขาหนึ่งที “ท่านก็ไม่ได้เป็นคนทำ แล้วท่านว่า ฮองเฮาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังหรือไม่เพคะ” 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงถูแหวนหัวแม่มือ “เจ้ามีหลักฐานหรือ” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นตอบ “หลังจากเกิดเรื่อง หม่อมฉันเคยถามท่านพ่อเรื่องระเบิด ได้ข่าวว่าเป็นยาดำ จิ่นจ้งบอกว่า ยาดำเป็นสิ่งที่หายากและแพง ชาวบ้านทั่วไปซื้อไม่ไหว ส่วนใหญ่มีแต่ข้าราชการชั้นสูงซื้อมาเพื่อทำยา ฝึกพลังวิชา ตอนแรกก็ไม่มีอะไรน่าสงสัย แต่เมื่อครู่ หม่อมฉันคิดถึงคนๆ หนึ่ง เจี่ยงกั๋วจิ้ว หอละครเกิดเหตุ เป็นช่วงเวลาที่เขาถูกเชิญให้เข้าพำนักในพระราชวังพอดี หลายปีที่ผ่านมา เขาฝึกพลังวิชามาโดยตลอด ไม่เคยหยุดพัก แม้จะพำนักในวังเพียงเวลาสั้นๆ แต่ก็เรียนวิชาเต๋าทั้งวันทั้งคืนอย่างสม่ำเสมอ แล้ววิชาผสมยา ก็เป็นวิชานึงในลัทธิเต๋า ฮองเฮากับเจี่ยงกั๋วจิ้วเป็นพี่น้องกัน หากสั่งให้คนหยิบยาดำที่พี่ชายผสมไว้ไปเสียหน่อย เวลาไปเยี่ยมที่ตำหนัก ก็คงไม่มีใครรู้ ภายหลัง หากทางวังจะตรวจสอบที่มาของยาดำ ในเมื่อฮองเฮาไม่ได้ผสมยา นางก็บอกปัดได้” 

 

 

พูดจบ ปฏิกิริยาของฉินอ๋อง เหมือนคิดตาม แต่ไม่ตกใจ นางเข้าใจทันทีว่าเขาคงรู้แต่แรกแล้ว ส่วนรัชทายาทเอง ก็รู้แล้วเหมือนกัน แต่จะทำอะไรได้ ไม่มีหลักฐาน ทำได้เพียงทอดถอนใจ 

 

 

ผ่านไปครู่หนึ่ง ซย่าโหวซื่อถิงกลอกตาไปมา “ฉะนั้น นี่เป็นเหตุผลที่เหตุใดข้าถึงพูดว่า รัชทายาทเองก็ไม่เบา ข้าบอกเจ้าแล้ว ว่าอย่าใกล้เขามาก ภัยจะได้ไม่ตกมาถึงเจ้า” 

 

 

พอประโยคนี้กล่าวออกไป ต่างฝ่ายต่างเงียบไปครู่หนึ่ง 

 

 

หากเป็นเช่นนี้จริง ต่อหน้า รัชทายาทกับฮองเฮา คนหนึ่งกตัญญู อีกคนหนึ่งเมตตา แต่ลับหลัง ต่างฝ่ายต่างเกลียดชัง แทบจะอยากเฉือนเลือดเฉือนเนื้อกัน 

 

 

หลังจากนั้นเพียงครู่เดียว อวิ๋นหว่านชิ่นจ้องหน้า “รัชทายาทไม่เบา แล้วท่านอ๋องละ เก็บความลับไว้มากมายเพียงนี้ มีแผนการอะไรหรือไม่เพคะ” นี่เป็นครั้งแรกที่นางถามคำถามนี้ออกไปตรงๆ ในเมื่อจะปรองดองกันแล้ว เขาก็คือสามีในอนาคตของตัวเองนั่นแหละ แล้วมีเรื่องอะไรที่ห้ามถามเช่นนั้นหรือ ถึงแม้ว่า การกระทำของเขา บ่งบอกแล้วว่ามีความทะเยอทะยาน แต่นางอยากฟังจากปากเขามากกว่าว่า เขาคิดจะแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทจริงหรือไม่ 

 

 

ใช่ นางเตรียมใจไว้แล้ว เขาจะเปลี่ยนประเด็นหรือปฏิเสธทันที ก็นางยังไม่ออกเรือนกับเขา แม้จะออกเรือนแล้ว สำหรับท่านอ๋อง นางก็เป็นแค่ชายาเอกในจวน ไม่อาจทำให้ท่านอ๋องเชื่อใจ ในเรื่องสำคัญได้หรอก 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงไม่รอช้า ยื่นมือกุมหมัดของนางเอาไว้ ส่วนสายตายังคงจ้องอยู่ “แผนการของข้า ก็คือสิ่งที่ใจเจ้าคิดอยู่นั่นแหละ” ความร้อนของฝ่ามือ ซึมเข้าร่างกายนางอย่างช้าๆ กลายเป็นความอบอุ่นของฤดูหนาว เขาไม่รู้จะทำให้นางสบายใจอย่างไร จึงนั่งใกล้ๆ และโอบนางไว้จากด้านหลังอีกครั้ง “ไม่ว่าตัวข้าจะอยู่แห่งหนใด คนที่อยู่เคียงบ่าเคียงไหล่ข้า มีเจ้าคนเดียวเท่านั้น”  

 

 

แสงแดดสีทองส่องเข้ามา รวมเป็นหนึ่งเดียวกับร่างกายเขาสองคน กลิ่นอำพันทะเลกับลมหายใจแรง ลอยมาจากด้านหลัง อวิ๋นหว่านชิ่นยื่นริมฝีปากออกไป หันแก้มไปครึ่งหน้า “จะมีหม่อมฉันเพียงคนเดียวจริงหรือเพคะ หม่อมฉันไม่เชื่อ” 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงรู้ว่านางหยั่งเชิงตนอยู่ แอบเคืองเล็กน้อยหน้าตาเขาก็ใช่ว่าจะเจ้าชู้ ออกจะดูซื่อด้วยซ้ำ เหตุใดนางถึงไม่เชื่อใจตน เขาจะบอกนางอย่างไรดี ตั้งแต่คืนนั้น ที่ฝันเรื่องไม่บริสุทธิ์เกี่ยวกับนาง แล้วก็ฝันแบบเดียวกันอยู่บ่อยครั้ง…ทั้งร่างกายและหัวใจ ถูกนางปีศาจในฝันครอบครองจนหมดสิ้น ได้แต่คิด ว่าจะทำให้ฝันเป็นจริงได้อย่างไร แล้วยังจะมีคนอื่นได้อย่างไรกันเล่า! 

 

 

พอคิดถึงตรงนี้ ตัวเขาเริ่มร้อนรุ่มผิดแผก จนต้องยับยั้งความคิดนั้นไว้ก่อน ค่อยรู้สึกดีขึ้นหน่อย 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นสัมผัสความร้อนนั้นได้ อาการกำเริบหรือ แปะๆ ปัดมือเขาออกอย่างเกรงใจ ไล่ให้กลับไปนั่งที่เดิม จึงเห็นแก้มที่แดงระเรื่อของเขา นางรีบเปลี่ยนเรื่อง “องค์ชายสามมาได้อย่างไรเพคะ” 

 

 

เปลี่ยนเป็นเขา ที่ทำหน้าไม่ถูก 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นขมวดคิ้ว ซย่าโหวซื่อถิงเห็นนางแลดูไม่สบอารมณ์ จึงกล่าวว่า “เหยาอันบอกว่า จูซุ่นมาเชิญเจ้าที่จวนอวิ๋น เพื่อเข้าไปปรนนิบัติรับใช้ไทเฮาในวัง ข้าเห็นว่าอากาศดี ออกมารับลมชมวิว ผ่านพระราชวัง ก็เลยรอเจ้าออกมา แล้วส่งเจ้ากลับจวน” 

 

 

อากาศดี บังเอิญผ่านพระราชวัง อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ทำให้เขาเสียหน้า แค่ยิ้ม 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงเห็นหน้ายิ้มแปลกๆ คิ้วดกสองเส้นกระตุกสองที หน้ายิ่งตึงและแดงระรื่อ จึงหลบหน้าอันหล่อเหลา หันไปชมวิวนอกหน้าต่างแทน 

 

 

ด้านนอกรถม้า ซือเหยาอันเห็นองค์ชายสามตอบแบบไม่ตั้งตัว เขาอดใจไม่ไหว จึงหันไปมองแวบหนึ่ง เมื่อครั้นฤดูใบไม้ร่วง ฤดูกาลล่าสัตว์ ฮ่องเต้เรียกคุณหนูอวิ๋นเข้าพบที่หอชมจันทร์ คนอื่นอาจไม่รู้เรื่องนี้ แต่องค์ชายสามกลับไม่มีวันลืม ตราบใดที่ยังไม่แต่งเข้าเรือน ไม่มีวันใดที่เขาจะวางใจได้เลย ก็เหมือนเมื่อครู่ ที่รอคุณหนูอวิ๋นอยู่นอกกำแพง รอแล้วรอเล่าไม่ออกมาสักที องค์ชายสามจึงสั่งให้คนไปสืบ ได้ความว่าคุณหนูอวิ๋นออกจากตำหนักฉือหนิงแล้ว แต่ก็ไม่เห็นนางเดินออกมาสักที จึงเตรียมพร้อมเพื่อเข้าวังทุกเมื่อ 

 

 

เรื่องที่เกิดขึ้นตอนฤดูกาลล่าสัตว์ สำหรับองค์ชาย เขายอมไม่ได้ หากมันจะเกิดขึ้นอีกครั้ง 

 

 

รถม้าแล่นมาถึงจวนอวิ๋นแล้ว ครั้งนี้ไม่ได้หยุดหน้าประตูรอง แต่หยุดหน้าประตูหลักของจวนเจ้ากรมเลย 

 

 

ซือเหยาอันลงจากรถม้า วางเก้าอี้ลง เปิดผ้าออก และเชิญอวิ๋นหว่านชิ่งลงมา 

 

 

บ่าวใช้หน้าประตูเห็นว่าเป็นรถม้าของตำหนักฉินอ๋อง และเห็นคุณหนูของตนลงจากรถม้า ลูกปัดผ้าม่านพลิ้วสไว ข้างในนั้น เหมือนมีชายหนุ่มรูปงามนั่งอยู่ สวมใส่เสื้อคลุมลายมังกรห้าเล็บ พอเห็นชุด ก็รู้ทันทีว่าเป็นองค์ชายสาม บ่าวจึงรีบพาคุณหนูเข้าไปก่อน 

 

 

รถม้าหยุดอยู่หน้าประตูหลักจวนเจ้ากรมครู่เดี๋ยว พออวิ๋นหว่านชิ่นก้าวข้ามประตู ร่างและเงาเลี้ยวเข้ากำแพงผนังกั้นจ้าวปี้จนหายไป รถม้าจึงหันกลับ และวิ่งออกไปทางทิศเหนือ 

 

 

คนในจวนเจ้ากรมต่างรู้ว่าคุณหนูเข้าวัง แต่ผู้ที่มาส่งกลับเป็นฉินอ๋องเสียเช่นนั้น ต่างพากันซุบซิบ อันที่จริง อีกไม่กี่วัน พวกเขาสองคนจะป็นสามีภรรยากันแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องผิดแผกอะไร ซุบซิบกันครู่หนึ่งจากนั้นก็แยกย้าย 

 

 

ก่อนที่จะเดินเข้าจวน อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นบ่าวใช้สวมเสื้อสีดำ ไม่ใช่บ่าวในเรือนตน คงมีแขกมาเยือนกระมัง นางไม่ได้ถาม และเดินตรงเข้าเรือนหยิงฝูทันที จากนั้นทำการเปลี่ยนชุดหลวมที่ใส่สบายกว่า