ตอนที่1249 เปิดใช้งานตรามังกรศักดิ์สิทธิ์!

 

“ต้นกำเนิดแห่งอัตลักษณ์สี่สัตว์เทวะ?”

สีหน้าการแสดงออกของเย่หยวนพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมในทันใด ไม่คาดไม่ฝันเลยว่า นี่จะเป็นคำตอบทั้งหมดที่เขาสงสัย

หลังจากที่ศาสตร์แห่งสวรรค์สาบสูญหายไป เผ่าอสูรในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ลดน้อยลงอย่างรวดเร็ว

หลังจากมหาศึกสัประยุทธ์เมื่อห้าหมื่นปีก่อน เผ่าสี่สัตว์เทวะสูญเสียกำลังพลไปเป็นจำนวนมหาศาล

แม้ว่าตอนนี้ยังมียอดเซียนรุ่นลายครามอย่างหลงหมิ่นอยู่ ทว่าโดยรวมแล้วเดผ่าอสูรยังคงอ่อนแอกว่าเผ่ามนุษย์อยู่ดี

กาลเวลาที่เวียนไหลดุจสายวารีนี้ ยังมีเบื้องลึกเบื้องหลังอีกมากมายที่เร้นซ่อนและรอวันเปิดเผยอยู่

และเย่หยวนมิอาจทราบได้เลยว่า แท้ที่จริงแล้วต้นกำเนิดแห่งอัตลักษณ์สี่สัตว์เทวะคืออะไรกันแน่

เผ่าสัตว์เทวะทั้งสี่ล้วนมีบรรพชนต้นกำเนิดผู้เป็นตำนาน พละกำลังฝีมือควบคุมฟ้าดินได้ดั่งใจนึก กระนั้นเอง…บรรพชนต้นกำเนิดเหล่านี้มาจากที่แห่งหนใดกัน?

 

ท่านบรรพบุรุษกล่าวตอบอย่างแช่มช้าว่า

“เผ่ามังกรฟ้าแห่งทิศตะวันออก เผ่าพยัคฆ์ขาวแห่งทิศตะวันตก เผ่าวิหคเพลิงแห่งทิศใต้ และเผ่าเต่าดำแห่งทิศเหนือ นี่คือสัตว์เทวะผู้ยิ่งใหญ่แห่งจตุทิศ ในครั้นบรรพกาลท่านบรรพชนต้นกำเนิดทั้งสี่มีหน้าที่ปกปักรักษาทั้งสี่ทิศในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ พวกท่านทั้งสี่ผนึกกำลังช่วยเหลือซึ่งกันและกันมาโดยตลอด ยามใดผนึกกำลังเข้าผสานสัประยุทธ์ ยามนั้นแม้กระทั้งยอดเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้ายังไร้ต้าน! ฟังว่า ภายใต้ยอดสัประยุทธ์ผสาน,ค่ายกลสี่อัตลักษณ์เทวะ โบกมือสะบัดหนึ่งครา ยอดเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชีพวายนับร้อยพัน!”

 

 

เพียงได้ยินดังนั้นกระจิตกระใจของเย่หยวนถึงกับปั่นปวนหนัก

การดำรงอยู่ในระดับชั้นยอดเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าทรงพลังเพียงใด กระทั้งเย่หยวนยังไม่สามารถจิตนาการถึงได้

แต่นี่…เพียงโบกมือปัดออกไป ก็สามารถสังหารยอดเซียนระดับชั้นนี้นับร้อยพันชีวิต!

เหล่าบรรพชนต้นกำเนิดแห่งเผ่าสี่สัตว์เทวะคือสิ่งมีชีวิตแบบใดกันแน่?

 

“ท่านบรรพชนต้นกำเนิดทั้งสี่คือใครกันแน่?”

เย่หยวนอดเอ่ยปากถามมิได้

 

ทว่าท่านบรรพบุรุษกลับส่ายหัวและกล่าวว่า

“ข้าก็ไม่ทราบเช่นกัน! แค่ทราบเพียงว่า พวกท่านแกร่งกล้าหาผู้ใดทัดเทียมไม่! ความทรงพลังของพวกท่านทั้งสี่มิใช่สิ่งที่พวกเราสามารถจินตนาการได้แม้แต่เศษเสี้ยว! ถามว่าแกร่งกล้าเพียงใด คงมีแค่ทั้งสี่เท่านั้นที่ทราบกันและกัน!”

 

 

เย่หยวนสูดไอเย็นแช่มเต็มปอดอย่างตื่นตะลึง ภายในจิตใจช่างรู้สึกโกลาหลอย่างไม่เคยสัมผัสมาก่อน

เหล่าบรรพชนต้นกำเนิดทั้งสี่ดำรงอยู่มานานกว่าล้านปีแน่นอน

ถ้าเช่นนั้นแล้ว แสดงว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เก่าแก่กว่าเท่าใด?

แต่ไฉนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในปัจจุบันถึงตกต่ำถึงจุดนี้ได้?

 

เย่หยวนพบว่า ยิ่งตนรู้มากเท่าใด ความจริงกลับยิ่งหยั่งลึกลงไปมากขึ้นเท่านั้น

ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เขาเคยรู้จักกลับเป็นเพียงผิวเผินเท่านั้น

 

“วรยุทธต่อสู้ของเผ่าสี่สัตว์เทวะได้ถูกถ่ายทอดลงมาจากรุ่นสู่รุ่น และเมื่อทั้งสี่เผ่าผนึกกำลังรวมกัน พวกเขาจะสามารถปลุกกระตุ้นพลังที่แฝงซ่อนในสายเลือดออกมา ในเวลานั้นจะสามารถเพิ่มพูนความแกร่งกล้าได้เป็นเท่าทวีในช่วงระยะเวลาหนึ่ง”

ท่านบรรพบุรุษกล่าวขึ้น

 

“เป็นเช่นนี้นี่เอง!”

เย่หยวนที่ได้ฟังเช่นนั้นจึงเข้าใจได้ทันที

ความแข็งแกร่งของผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสี่เผ่าอยู่ต่ำกว่าสิบจอมราชันย์อย่างเห็นได้ชัด

แต่เมื่อทั้งสี่ผนึกพลังโจมตีร่วมกัน นั้นกลับทรงอนุภาพเสียยิ่งกว่าระเบิดเวทย์สวรรค์ของจอมราชันย์แห่งความมืด,ซือกงซ่าง

นี่มิจำเป็นฝึกปรือร่วมกันใดๆ มันคล้ายสัญชาตญาณที่อยู่ในสายเลือดในกายของพวกเขา

 

“หุหุ เพียงว่าทั้งสี่อ่อนแอเกินไปจึงไม่สามารถปลดปล่อยพลังที่แท้จริงออกมาได้ หากเป็นการผสานโจมตีระหว่างเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้า นั้นสามารถสัประยุทธ์ข้ามระดับได้อย่างมิใช่ปัญหา!”

ท่านบรรพบุรุษกล่าวอธิบาย

 

ม่านตาดำเย่หยวนหดเล็กเท่ารูเข็มในทันใดที่ได้ยินวาจาคำกล่าวของท่านบรรพบุรุษ

สำหรับเซียนอาณาจักรพระเจ้าด้วนกันแล้ว การสัประยุทธ์ข้ามระดับนับเป็นเรื่องยากเกินจินตนาการได้

แม้จะเป็นถึงเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าขั้นสุด แต่นั้นก็เป็นไปไม่ได้เช่นกันที่จะเข้าคู่กับเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้า

ไม่ว่าจะเป็นเคล็ดวิชาศาสตร์ลับใด ก็ไม่มีทางชดเชยความแตกต่างระหว่างอาณาจักรพระเจ้าได้

 

ทันทีทันใด ราวกับเย่หยวนนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้จึงเอ่ยปากถามขึ้นทันทีว่า

“ค่ายกลเจ็ดพิชิตจอมทัพพยัคฆ์ขาวของเผ่าพยัคฆ์ขาว… ค่ายกลจอมทัพเจ็ดเซียนดาราของเผ่ามังกรฟ้า… ค่ายกลทั้งสองชนิดคือการอัญเชิญจิตวิญญาณผู้พิทักษ์ออกมาเหมือนกัน เช่นนั้นข้าสงสัยว่า หากทั้งสี่เผ่าอัญเชิญจิตวิญญาณผู้พิทักษ์ออกมาพร้อมกัน นั้นจะสามารถผนึกกำลังโจมตีผสานได้หรือไม่?”

หากย้อนกลับไปในตอนนั้น จี้ฉางหลานเองก็ต้องการจับจิตวิญญาณพยัคฆ์ขาวกลับไปเช่นกัน ทว่ากลับถูกขัดขวางโดยเย่หยวนเสียก่อน

เป็นที่ชัดเจนว่า เป้าหมายของมันคือจิตวิญญาณพยัคฆ์ขาวเท่านั้น มิใช่ต้องการล้างบางเผ่าพยัคฆ์ขาวแต่อย่างใด

ที่เย่หยวนเอ่ยถามออกไปแบบนี้ก็เพราะพลันนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้นได้

 

ท่านบรรพบุรุษพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวว่า

“ค่ายกลเจ็ดจอมทัพของเผ่าสี่สัตว์เทวะ แต่เดิมเมื่อผสานรวมกันเป็นหนึ่งจะถูกเรียกว่า ค่ายยี่สิบแปดจอมทัพสวรรค์ ค่ายกลทั้งสี่ถูกสร้างขึ้นโดยบรรพชนต้นกำเนิดทั้งสี่ท่าน โดยที่พวกท่านได้ทิ้งร่องรอยพลังเอาไว้เพื่อปกปักรักษาเผ่าของตน และนั้นยังได้ชื่อว่าค่ายกลพิทักษ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในปัจจุบัน ทว่ายามนี้ศาสตร์แห่งสวรรค์ได้สูญสิ้น จิตวิญญาณที่หลงเหลืออยู่จึงอ่อนแอลงอย่างมาก อย่างไรก็ตาม…หากจิตวิญญาณทั้งสี่ได้ผนึกกำลังรวมกันเป็นหนึ่ง พลานุภาพที่ก่อเกิดย่อมเกินจินตนาการแน่นอน”

 

เย่หยวนลดสายตาลงเล็กน้อย จนถึงตอนนี้ เขาก็รู้สึกได้ลางๆว่า เป้าหมายที่แท้จริงของข่าวนั่วกลับมิใช่การยึดครองดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด

ข่านนั่วเคยกล่าวถึงสถานที่บางแห่งมีนามว่า‘ดินแดนพฤกษานิรันดร์’ ดูเหมือนว่านั้นจะมีความเกี่ยวข้องกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้

 

เย่หยวนมักค้นพบเรื่องราวแปลกประหลาดและยากจะหาคำตอบได้อยู่เสมอ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เอง แม้แต่ฟางเทียนก็ไม่สามารถให้คำตอบได้เช่นกัน

ทว่าสิ่งเหล่านี้ก็หาได้สำคัญไม่ สิ่งที่สำคัญที่สุดในปัจจุบันคือ การกำจัดข่านนั่ว!

ตราบใดที่เขาสามารถบรรลุขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้ ยามนั้นเพียงอาศัยเสียงแห่งจอมเทพมังกรก็สามารถดับชีพข่านนั่วได้ตลอดกาลแน่นอน

แม้ความแข็งแกร่งของเย่หยวนจะพัฒนาอย่างก้าวกระโดเพียงใด แต่หากมิใช่เซียนอาณาจักรพระเจ้า ผลลัพธ์ที่ได้กลับไม่ต่างจากมหาศึกที่ผ่านมาในกาลอดีตเลย

 

“เจ้ากำลังจะไปแล้ว?”

ท่านบรรพบุรุษเอ่ยถามขึ้น

 

เย่หยวนกลับมาได้สติอีกครั้งหลังจากฟังเรื่องเหลือเชื่อมามากมาย เขาพยักหน้ากล่าวตอบว่า

“ข้าจำต้องเข้าสำรวจในเขตพระเจ้าต้องห้าม เพื่อเสาะหาโอกาสที่จะบรรลุขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้า!”

 

สายตาของท่านบรรพบุรุษหรี่แคบลงคล้ายมีดคม สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นหลายส่วนก่อนกล่าวขึ้นว่า

“เขตพระเจ้าต้องห้ามเป็นสถานที่ที่แม้แต่เซียนอาณาจักรพระเจ้ายังไม่กล้าย่างกรายเข้าไป!”

 

เย่หยวนพยักหน้าพลางกล่าวตอบว่า

“แต่นั้นเป็นสถานที่เดียวที่จะทำให้ข้ากลายเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้าได้! ท่านบรรพบุรุษ,บางทีข้า…ข้าอาจสามารถพาพวกท่านออกไปพบแสงตะวันอีกครั้งได้!”

 

ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ทั่วทั้งร่างของท่านบรรพบุรุษพลันสั่นเทาในบัดดล พร้อมแววตาที่สาดสะท้อนความตื่นตกใจออกมา

จิตวิญญาณของเย่หยวนเชื่อมต่อกับฤทัยแห่งฟ่านจู่หลงโดยตรง เขาย่อมพึงกระทำในสิ่งที่เหมาะที่ควรตามสัญชาตญาณ

แต่ปัจจุบันศาสตร์แห่งสวรรค์ได้หายไปหมดสิ้น และนี่…ไม่ต่างอะไรกับฝันลมๆแห้งๆ!

เว้นเสียว่า…ไฉนเขาถึงรู้สึกตื่นเต้นขนาดนี้กัน?

 

“เฮ้ออ… จุนเอ๋อ,การที่เจ้าให้กำเนิดบุตรชายที่ประเสริฐเช่นนี้นับเป็นพรจากสรวงสวรรค์โดยแท้! หยุนเอ๋อ,เนื่องจากเจ้ามีฤทัยแห่งฟ่านจู้หลงอยู่แล้ว เช่นนั้น ด้วยภูมิความรู้อันน้อยนิดของข้าเองก็ไม่มีอะไรจะสอนเจ้าเช่นกัน แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่ง ที่ข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องสนใจเป็นอย่างมากแน่นอน!”

ท่านบรรพบุรุษกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม

 

ดวงเนตรคู่นั้นของเย่หยวนพลันส่องประกายขึ้นทันที พร้อมยืนรอท่านบรรพบุรุษกล่าวต่ออย่างเงียบๆ

 

ท่านบรรพบุรุษกล่าวถามขึ้นว่า

“ตรามังกรศักดิ์สิทธิ์นั้น เจ้ายังไม่สามารถสำแดงใช้พลังที่แท้จริงออกมาได้ใช่หรือไม่?”

 

เย่หยวนอุทานตอบด้วยความประหลาดใจทันที

“ท่านทราบได้อย่างไร?”

 

ท่านบรรพบุรุษร่วนหัวเราะเล็กน้อยและกล่าวตอบว่า

“ศาสตร์แห่งสวรรค์สูญสิ้น ศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์เหลือเพียงตำนาน ย่อมไม่มีใครทราบวิธีดึงพลังที่แท้จริงของตรามังกรศักดิ์สิทธิ์ออกมาอีกแล้วโดยธรรมชาติ ทว่าอย่าลืมเสีย ในกาลอดีต ข้าเองก็เป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้าแห่งเผ่ามังกรคนหนึ่ง! ถึงไม่เคยเห็นตรามังกรศักดิ์สิทธิ์ของจริง แต่วิธีใช้งานย่อมทราบ!”

 

“ข้า…ข้าพยายามสื่อจิตกับมันด้วยชีพจรมังกรระดับศักดิ์สิทธิ์หลายต่อหลายคราแล้ว แต่ก่อนข้าเองก็เคยเปิดใช้งานมันด้วยพลังปราณเทวะ รวมถึงโลหิตมังกรในกายข้า ทว่านั้นกลับไม่สามารถดึงพลังที่แท้จริงออกมาได้เลย”

เย่หยวนกล่าวขึ้นอย่างสิ้นหวัง

ตรามังกรศักดิ์สิทธิ์อันนี้เป็นถึงเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์สวรรค์ ขุมพลังความแกร่งกล้าของมันมีระดับชั้นเหนือกว่าดาบพิชิตมารฟ้า

ดังนั้นแล้ววิถีทางใดที่เคยใช้ได้ผลกับดาบพิชิตมารฟ้าหรือของวิเศษชนิดอื่นๆ กลับเคยใช้ได้ผลกับตรามังกรศักดิ์สิทธิ์อันนี้เลย ทั้งหมดล้วนจบลงด้วยความล้มเหลว

ไม่ว่าจะพยายามเพียงใดกลับไร้ประโยชน์ เย่หยวนจึงจำต้องยอมแพ้ไป

 

แต่เขาไม่คิดไม่ฝันจริงๆว่า วันนี้กลับมีเรื่องไม่คาดฝันเช่นนี้เกิดขึ้นจริงๆ ปรากฏว่าท่านบรรพบุรุษกลับทราบวิธีใช้งานตรามังกรศักดิ์สิทธิ์!

 

 

“หุหุ ตรามังกรศักดิ์สิทธิ์คือสุดยอดมรดกประจำเผ่ามังกรตั้งแต่สมัยบรรพกาล มันถูกสร้างขึ้นโดยท่านบรรพชน ผู้ที่มีคุณสมบัติสำแดงใช้พลังที่แท้จริงได้มีแค่ประมุขเผ่าเพียงคนเดียว มิฉะนั้นแล้วใครได้ไปก็มิใช่ว่าสำแดงใช้กันว่าเล่น?”

ท่านบรรพบุรุษกล่าวขึ้น

 

“จริงอย่างที่ท่านกล่าว”

เย่หยวนกล่าวตอบพร้อมพยักหน้า

 

 

“ตรามังกรศักดิ์สิทธิ์ถูกสร้างขึ้นโดนโลหิตพลังชีพของท่านบรรพชน ผนวกกับศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์แขนงลับ นั้นจึงทำให้ท่านบรรพชนสามารถนำวิธีใช้งานตรามังกรศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงสลักลงในความทรงจำสืบทอดได้ และผู้ที่สามารถปลุกความทรงจำสืบทอดในส่วนนี้ได้ก็มีแต่ยอดเซียนของเผ่ามังกรที่สามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้าได้ แน่นอนว่าแค่‘รู้จักวิธีการใช้’ แต่จะได้การยอมรับจากตรามังกรศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง ดังนั้นแล้วจึงมีคำกล่าวสืบต่อกันจากรุ่นสู่รุ่นว่า : ผู้ใดครอบครองตรามังกรศักดิ์สิทธิ์ ผู้นั้นคือประมุขเผ่ามังกร ต่อให้เป็นถึงยอดเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าขั้นสุด แต่หากมิได้การยอมรับจากตรามังกรศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่สามารถสำแดงใช้ได้เช่นกัน!”

ท่านบรรพบุรุษกล่าวขึ้น

 

“เป็นเช่นนี้นี่เอง! มีเพียงเซียนอาณาจักรพระเจ้าของเผ่ามังกรเท่านั้นที่ทราบวิธีใช้ แต่หากต้องการสำแดงใช้ตรามังกรศักดิ์สิทธิ์ จำต้องได้รับการยอมรับจากมันเสียก่อน?”

เย่หยวนโพล่งกล่าวขึ้นด้วยความประหลาดใจ

ไม่แน่แปลกใจเลยที่เย่หยวนหยิบนำกลเม็ดทุกอย่างออกจากแขนเสื้อ แต่นั้นก็ยังไม่สามารถสำแดงใช้พลังที่แท้จริงของตรามังกรศักดิ์สิทธิ์ได้อยู่ดี

หากมิบังเอิญลี้ภัยเข้ามาในดินแดนเนรเทศแห่งนี้ เย่หยวนคงไม่มีทางดึงพลังที่แท้จริงของตรามังกรศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้แน่นอน จนกว่าจะบรรลุอาณาจักรพระเจ้า!