“ได้เวลาออกจากฌานแล้ว” หลิวหลีกล่าว หอกาลเวลาดูเหมือนไม่อาจอยู่ได้นานเกินไป นางแอบรู้สึกได้ว่าต้องบำเพ็ญเพียรเพื่อบรรลุขั้นพลังแล้ว
“ได้” หนานกงเวิ่นเทียนเองก็เช่นกัน เหมือนเขากำลังจะสัมผัสปราการนั้นเช่นกัน
“ท่านน้าหลิวหลี น้าเขย จะได้ออกไปแล้วหรือ ดีเหลือเกิน” แม้จะมีท่านน้ากับน้าเขยอยู่เป็นเพื่อน แต่พวกเขาก็รู้สึกเบื่อเล็กน้อย ตอนนี้เด็กทั้งสองมีพลังบำเพ็ญเพียรขั้นเซียนสุวรรณนภา หากรวมร่างกัน เซียนนภานพเก้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้พวกเขา แต่ราชาเซียนทั่วไปก็พอจะสู้ได้อยู่
“ใช่แล้ว คาดว่าท่านพ่อท่านแม่ของพวกเจ้าก็คงออกจากฌานแล้วเช่นกัน” หลิวหลีพยักหน้า
“เช่นนั้นหรือ?” เมื่อพูดถึงบิดามารดาขึ้นมา สีหน้าของเด็กทั้งสองก็ไม่ค่อยสู้ดีนัก พวกเขารู้สึกแปลกหน้ากับพวกเขาแต่ก็คาดหวังรอคอยไปพร้อมๆกัน เป็นความรู้สึกขัดแย้งที่เกิดขึ้นอยู่ในใจ
“วางใจเถอะ พวกเขารักพวกเจ้ามาก แต่เรื่องที่พวกเจ้ารวมร่างกันได้นั้นต้องเก็บเป็นความลับ จะบอกเรื่องท่าไม้ตายนี้กับใครไม่ได้ทั้งนั้น จำไว้ว่าห้ามใช้มันง่ายๆ นอกเสียจากจะมีภัยอันตรายถึงชีวิตพวกเจ้าเท่านั้น” หลิวหลีพูดกับเด็กทั้งสองอย่างเคร่งครัด
“พวกข้าเข้าใจแล้ว ท่านน้าหลิวหลี” เด็กทั้งสองพูดพร้อมกัน พวกเขายิ่งรู้ใตกันมากขึ้นจากการฝึกฝนของทั้งสองคน
ส่วนที่ด้านนอก เมื่อเอ๋าเลี่ยก็ได้ยินมาว่าตอนที่เด็กทั้งสองเกิดมา มีเพียงหลิวหลีและหนานกงเวิ่นเทียนที่ยืนหยัดถึงที่สุด ส่วนคนอื่นนั้นเห็นเด็กทั้งสองเป็นมังกรและนก คิดว่าพวกเขาเป็นตัวประหลาด จึงเดินหนีไป สีหน้าของเอ๋าเลี่ยแย่ลงทันที ในตอนแรกตนก็โดนปฏิบัติแบบนี้เช่นกัน ลูกของเขาก็ต้องเจอกับเรื่องแบบนี้เช่นกัน ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจจริงๆ อิงเสวี่ยเองก็ไม่สบายใจ หากไม่ใช่เพราะมีหลิวหลีอยู่ ไม่แน่พอตอนนางออกจากฌานมาอาจไม่รู้เลยว่าลูกเอาไปทิ้งที่ไหน
จื่อฉีปลอบโยนคนทั้งคู่ ท่านพี่หลิวหลีลงโทษพวกเขาไปแล้ว ทั้งสองคนไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนี้ จึงเล่าเรื่องตลกๆทั้งหลายของเด็กๆให้พวกเขาฟังเพื่อดึงดูดความสนใจ
“อาเลี่ย พวกเราพลาดอะไรไปมากมาย” การเติบโตที่จำเป็นที่สุดของลูก และต้องการการเอาใจใส่จากบิดามารดา พวกเขาพลาดมันไปแล้ว
“ใช่ แต่ก็เป็นเพราะมีนังหนูอยู่ พวกเราถึงได้กล้าวางใจไปบำเพ็ญเพียรจนบรรลุเป็นราชาเซียนแล้วออกจากฌาน” เอ๋าเลี่ยพูด เพราะเขาเชื่อใจหลิวหลี ดังนั้นพ่อแม่อย่างพวกเขาถึงได้กล้าทำตัวไร้ความรับผิดชอบได้อย่างสบายใจ
“คิดไม่ถึงว่าพวกท่านจะรู้เรื่องด้วย ไม่ง่ายเลยจริงๆ หากท่านพี่หลิวหลีได้ยินคำนี้จะต้องปลื้มใจแน่ ใช่สิ ชื่อจริงของเด็กทั้งสองยังไม่ได้ตั้ง นางแค่ตั้งชื่อเล่นให้พวกเขาเท่านั้น มังกรน้อยนามจ๋ายจ่าย ส่วนหงส์น้อยนามเจี๋ยนเจี่ยน” จื่อฉีกล่าว
“จ๋ายจ่าย เจึ๋ยนเจี่ยน” จำง่ายดี เด็กๆจำเป็นต้องมีชื่อเล่นจริงๆ
“อยากเจอพวกเขาจริงๆ” คาดว่าออกมาคงเป็นเด็กหนุ่มกันหมดแล้ว
“อืม คุณสมบัติร่างกายของพวกเขาดีมากทีเดียว มังกรน้อยเป็นมังกรเหมันต์สะท้าน ส่วนหงส์น้อยเป็นหงส์ม่วงหมื่นอัสนี สายเลือดดีจริงๆ” จื่อฉีแนะนำ
“ถูกต้อง ถึงสายเลือดจะไม่ดีแล้วอย่างไร มีพ่อแม่อย่างพวกข้า แถมยังมีท่านอาหลิวหลีกับอาเขยของพวกเขาอีก บวกกับท่านอาเล็กอย่างเจ้า สุดท้ายพวกเขาต้องบรรลุได้แน่นอน” เอ๋าเลี่ยพูดโดยไม่ถ่อมตัว ลูกของพวกเขาคุณสมบัติร่างกายไม่ดีแล้วอย่างไร ในเมื่อเบื้องหลังพวกเขายิ่งใหญ่ขนาดนี้ ไม่เห็นต้องหลัวอะไร
“แค่กๆ เรื่องนั้น ท่านพี่อาเลี่ย ตอนนั้นท่านพี่ทำเพื่อให้เด็กๆรู้สึกอบอุ่น นางจึงรู้สึกว่าเป็นญาติทางแม่จะดีกว่า จึงให้เด็กทั้งสองเรียกท่านน้ากับน้าเขยมาตลอด” จื่อฉีเพิ่งมาเข้าใจว่าควรจะเป็นท่านอา ไม่ใช่ท่านน้า
เอ๋าเลี่ยพูดไม่ออก อิงเสวี่ยก็ตกตะลึงไปเช่นกัน สมแล้วเป็นนังหนูที่พวกเขารู้จัก ไม่ได้สนใจเรื่องลำดับอาวุโสใดๆ ถึงแม้คำเรียกทั้งสองจะมีศักดิ์เทียบเท่ากันก็ตาม
“ที่หอกาลเวลามีความเคลื่อนไหว” จื่อฉีขยับหู แล้วทั้งสามก็มาปรากฏตัวอยู่ที่นั่นในชั่วพริบตา
จึงเห็นหลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนออกจากฌานพอดิบพอดี ข้างๆยังมีเด็กแปลกหน้าอีกสองคน จากสัมผัสทางสายโลหิต ทั้งสองก็รู้ได้เลยว่านี่คือลูกของพวกเขา อดตื้นตันไม่ได้
“อ้าว อาเลี่ย อิงเสวี่ย พวกเจ้าออกจากฌานแล้ว บังเอิญจริงๆ เป็นราชาเซียนกันหมดแล้ว คิดว่าร่างกายของพี่อิงเสวี่ยคงจะฟื้นฟูกลับมาสมบูรณ์แล้ว ดีมากเหลือเกิน” หลิวหลีเห็นคู่รักที่จับมือกันแน่นด้วยความตื่นเต้น
“จ๋ายจ่าย เจี๋ยนเจี่ยน นี่ ท่านพ่อท่านแม่ของพวกเจ้า ไปสิ” หลิวหลีพูดกับจ๋ายจ่ายและเจี๋ยนเจียนที่อยู่ข้างกายนาง
เด็กทั้งสองมองคู่สามีภรรยาที่มีใบหน้าตื่นตันด้วยความสงสัยใคร่รู้ นี่คือพ่อแม่ของพวกเขาหรือ? เหมือนว่าตั้งหน้าตั้งตาคอยจะได้เจอพวกเขา
เด็กทั้งสองสบตากัน แล้วเดินออกจากข้างกายพวกเขาสองคน เดินไปตรงหน้าเอ๋าเลี่ยกับอิงเสวี่ยอย่างเก้อเขิน แต่มากไปกว่านั้นคือความคาดหวัง
“ท่านพ่อ ท่านแม่” เด็กทั้งสองตะโกน
“เด็กดี พ่อกับแม่ไม่ดีเอง ให้กำเนิดพวกเจ้าแต่กลับไม่เคยดูแลพวกเจ้าเลยสักวัน” ทั้งสองคนกอดลูกทีละคน น้ำตาเปรอะเปื้อนเสื้อผ้าของเด็กทั้งสอง ทั้งสองร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ เป็นน้ำตาแห่งความดีใจ พ่อแม่ของพวกเขารักพวกเขา ดีจริงๆ
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกข้ารู้ว่าเพราะท่านคลอดพวกข้าทำให้ลมปราณเสียหาย ท่านน้าหลิวหลีดูแลพวกข้าเป็นอย่างดี” จ๋ายจ่ายพูด
“ข้าเชื่อใจท่านน้าหลิวหลีของเจ้าว่าจะสามารถดูแลพวกเจ้าได้เป็นอย่างดีถึงกล้าวางใจ ไปเข้าฌานเพื่อรักษาแม่ของเจ้าแทน พวกเจ้าโตเป็นหนุ่มกันหมดแล้ว ดีจริงๆ แข็งแรงกำยำจริงๆ มีพลังบำเพ็ญเพียรขั้นเซียนสุวรรณนภาแล้ว ไม่เลวๆ” เอ๋าเลี่ยพอใจอย่างมาก ฝากเด็กๆไว้กับหลิวหลีนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องจริงๆ
“ท่านน้าหลิวหลีสอนได้ดี” เด็กทั้งสองคนประสานเสียง
“ถูกต้อง อาจื่อฉีของพวกเจ้านั้น ก้ได้ท่านน้าหลิวหลีเลี้ยงจนโต พวกข้าถึงได้ไว้วางใจฝากพวกเจ้าไว้กับนาง แต่พวกข้าก็ยังติดค้างพวกเจ้าอยู่ น่าเสียดาย” ไม่ได้ร่วมเห็นการเติบโตของลูกๆ พวกเขารู้สึกเสียดายมากจริงๆ
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” เด็กทั้งสองทั้งรักและชื่นชมบิดามารดาของตนเอง
“เด็กดีๆ” เอ๋าเลี่ยไม่รู้จะพูดอะไร ทำได้เพียงชมพวกเขาไม่ขาดปาก
“หลิวหลี เวิ่นเทียน ขอบใจมาก” อิ่งเสวี่ยไม่รู้จะพูดอย่างไรจริงๆ ทำได้เพียงใช้คำว่าขอบคุณแสดงออก
“ระหว่างเจ้ากับข้าไม่จำเป็นต้องพูดเช่นนี้” หลิวหลีส่ายหน้า พวกเขาเป็นถึงเพื่อนรักกัน จะมาพูดขอบคุณกันทำไม
“หลิวหลี ข้าได้ยินเรื่องมาหมดแล้ว โชคดีที่มีเจ้า เพียงแต่ข้าผิดหวังมาก ตอนนั้นข้าก็ถูกพวกเขาเข้าใจว่าเป็นมังกรแดงธรรมดา สมัยเด็กต้องโดนเหยียดหยาม ข้าบอกว่าข้ามีความทรงจำกับเคล็ดวิชาที่สืบทอดมา พวกเขาก็หัวเราะเยาะว่าเข้าคิดไปเอง เมื่อลูกชายของข้าก็ต้องมาเจอเช่นนี้อีก จึงชวนให้เศร้าใจนัก” เอ๋าเลี่ยรู้สึกละเหี่ยใจจริงๆ ตอนนั้นตนเองโดนกลั่นแกล้งอย่างไร ไม่ได้รับความไว้วางใจอย่างไรนั้น เหมือนภาพยังคงติดตา แต่ตอนนี้พวกเขายังมาปฏิบัติต่อลูกของเขาเช่นนี้อีก ทำให้เขารู้สึกเศร้าใจอย่างมากจริงๆ
“อาเลี่ย ตอนนี้เจ้าเป็นราชาเซียนแล้ว ควรจะปล่อยวางเรื่องพวกนี้ อย่างไรเสียการที่เจ้าบรรลุเซียนได้ก่อนพวกเขาทำให้พวกเขาอับอาย ที่สำคัญก็คือหากเด็กสองคนบรรลุเซียนได้ก่อนหน้าพวกเขาล่ะ” หลิวหลีหัวเราะอย่างมีเลศนัย ไม่มีการฉีกหน้าอะไรที่รุนแรงไปกว่าความสามารถที่เหนือกว่าอีกแล้ว
“ที่ท่านน้าหลิวหลีพูดก็ถูก ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกข้าจะตั้งใจ” จ๋ายจ่ายพูด
“ฮ่าๆ ลูกชายข้ามีความทะเยอทะยาน ดีจริงๆ” เอ๋าเลี่ยพอใจถึงกับพูดว่าดีครั้งติดต่อกัน
“ดังนั้นนะ อาเลี่ย คนเอย อสูรเทพเอยล้วนต้องเดินต่อไปข้างหน้า เจ้าเป็นถึงราชาเซียนแล้ว ถือว่าเอาชนะอสูรเทพที่บรรลุเซียนไปตั้งมากมาย” หลิวหลีบอกว่ามีต้นทุนเป็นชนชั้นสูง หากว่าถึงเวลาต้องใช้อำนาจก็ควรต้องใช้ แม้ว่าควรถ่อมตัวก็ตาม แต่เมื่อต้องให้คนรับรู้ได้ถึงความสามารถก็จำเป็นต้องทำ
“นั่นสิ เป็นอสูรเทพก็ต้องมองอนาคตเข้าไว้” เอ๋าเลี่ยคิดได้ ทำให้ขอบเขตจิตใจสูงขึ้นไม่น้อย
“สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ของคนที่เป็นพ่อคนอย่างเจ้าคือควรจะตั้งชื่อให้เด็กทั้งสองหน่อยดีไหม” หลิวหลีบอกว่าเรื่องใหญ่ที่สุดคือตั้งชื่อให้เด็กสองคน โตขนาดนี้แล้ว จะเรียกจ๋ายจ่ายกับเจี๋ยนเจี่ยนต่อไปก็คงไม่ดีนักหรอก