ตอนที่ 1406 เทพแห่งโรคระบาด (1) / ตอนที่ 1407 เทพแห่งโรคระบาด (2)

ยอดชายาจักรพรรดิปีศาจ

ตอนที่ 1406 เทพแห่งโรคระบาด (1)

 

 

หวงอิงอิงกำหมัดแน่นจนสั่นไปทั้งตัว นางใช้ดวงตาที่เต็มไปด้วยความแค้นเคืองจ้องหน้าที่กำลังแสดงการเยาะเย้ยของโอวหย่า

 

 

“โอวหย่า ข้ามาที่นี่เพื่อแก้แค้นให้ครอบครัวและเอาของดูต่างหน้าท่านแม่คืน เอาปิ่นอัญมณีบนหัวเจ้าคืนมา!”

 

 

ดวงตาโอวหย่าฉายแววปั่นป่วนแต่ไม่นานนางก็สงบได้แล้วส่งยิ้มเหยียดหยามให้หวงอิงอิง “หวงอิงอิงปิ่นอัญมณีเป็นของข้าต่างหาก เจ้าพยายามจะขโมยมันแต่ผลาด เจ้ากล้าพูดว่าปิ่นอัญมณีนี่เป็นของที่ได้จากแม่เจ้าได้อย่างไร”

 

 

“เจ้า…” หวงอิงอิงโกรธจนหน้าแดง ความเกลียดชังในดวงตานางยิ่งเข้มขึ้น

 

 

“ผู้คุ้มกัน จับหัวขโมยพวกนี้!” โอวหย่าสะบัดแขนเสื้อแล้วออกคำสั่งอย่างเย็นชา

 

 

ผู้คุ้มกันมองหน้ากันแต่ไม่ยอมทำตามคำสั่งนาง

 

 

โอวหย่าหน้าบึ้ง “เจ้าหูหนวกหรือ จับพวกมัน เดี๋ยวนี้!”

 

 

“เอ่อ…” หนึ่งในผู้คุ้มกันลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยรายงานนาง “บุรุษผู้นี้คือเจ้าสำนักจีจิ่วเทียนจากสำนักศึกษาเมืองประจิม”

 

 

จีจิ่วเทียนเป็นบุรุษที่เคยทำเมืองประจิมทั้งเมืองสั่นสะเทือน เขาคนเดียวก็สังหารยอดฝีมือเกือบทั้งเมืองประจิมแล้ว หลังจากนั้นความแข็งแกร่งของเมืองประจิมก็ค่อยๆ ลดลง แล้วสุดท้ายก็ตามหลังเมืองอื่นๆ อยู่หลายปี

 

 

ใครจะกล้ามีเรื่องกับคนน่ากลัวขนาดนี้เล่า

 

 

“สำนักศึกษามืองประจิมงั้นหรือ” โอวหย่าหัวเราะเยาะอย่างเหยียดหยาม “เขาพูดกันว่าเมืองประจิมอ่อนแอที่สุดในบรรดาเมืองทั้งเจ็ด แล้วพวกเราเผ่าผู้ใช้เวทจะกลัวอำนาจจากเมืองประจิมไปทำไม”

 

 

หลังโอวหย่ามาที่แคว้นเจ็ดเมือง นางก็เรียนรู้เรื่องขั้วอำนาจภายใน ดังนั้นนางจึงรู้ว่าเมืองประจิมอ่อนแอที่สุดในแคว้นเจ็ดเมืองอย่างไม่ต้องสงสัย แล้วเมืองที่อ่อนแอแบบนี้จะเทียบกับเมืองอื่นๆ ได้อย่างไร นั่นเป็นเหตุผลที่นางไม่สนใจจีจิ่วเทียน

 

 

“เจ้าน่ารำคาญจริงๆ”

 

 

รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏบนใบหน้าทรงเสน่ห์ของจีจิ่วเทียน เขาโบกมือ และก่อนที่โอวหย่าจะได้ทันตั้งตัว พลังก็พุ่งมากระแทกนางจนทำให้ร่างนางลอยไปไกลก่อนจะร่วงลงพื้นจนเกิดเสียงดัง

 

 

โอวหย่าเบิกตากว้างด้วยความตะลึง นางไม่คิดเลยว่าชายคนนี้จะกล้าโจมตีนางภายในเผ่าผู้ใช้เวท

 

 

“ข้าเกลียดสตรีน่ารำคาญ หากเจ้าไม่ใช่นักบุญหญิงของเผ่าผู้ใช้เวท ข้าคงตัดลิ้นเจ้าออกมาแล้ว”

 

 

ชายหนุ่มดูสง่างามสูงส่งแต่กลับพูดเรื่องโหดร้ายโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า ทันใดนั้นโอวหย่าก็รู้สึกเหมือนหัวใจนางถูกปกคลุมด้วยหมอกจากนรก

 

 

“ใครกล้าโจมตีนักบุญหญิงของพวกเราที่นี่” ตอนนั้นเองเสียงเย็นเยียบก็ดังไปทั่วฟ้าให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเสียงจากอีกโลกหนึ่ง

 

 

เมื่อโอวหย่าได้ยินเสียงนี้ ดวงตานางก็เป็นประกายดีใจก่อนนางจะรีบตะโกน “หัวหน้าเผ่า ช่วยข้าด้วย!”

 

 

ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีขาวค่อยๆ ร่อนลงมาจากฟ้า บุรุษผู้นี้ดูสง่างามเหมือนเทพเซียน เส้นผมสีดำสนิทปลิวไปตามลมสองมือไพล่ไว้ด้านหลัง เขาส่งสายตาเย็นชาไปที่คนที่อยู่นอกประตู

 

 

โอวหย่าลุกขึ้นจากพื้น ถึงแม้ว่าจีจิ่วเทียนจะแทบไม่ได้ออกแรง นางก็ยังรู้สึกว่าภายในนางได้รับการกระทบกระเทือนเหมือนมีกระแสพลังวิ่งผ่านร่าง

 

 

“หัวหน้าเผ่า ผู้หญิงคนนั้นคืออวิ๋นลั่วเฟิงที่ข้าเคยพูดถึง ข้าไม่คาดว่านางจะกล้ามาที่นี่”

 

 

โอวหย่ากัดฟัน “ผู้หญิงที่อยู่ข้างนางคือหวงอิงอิง ข้าเคยเป็นคู่หมั้นพี่ชายนาง! แต่นางเป็นโจรแล้วพยายามขโมยปิ่นอัญมณีของข้า ถึงแม้ว่าข้าจะจับได้แต่ตระกูลหวงก็ปกป้องนาง ข้าโกรธมากก็เลยถอนหมั้น”

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 1407 เทพแห่งโรคระบาด (2)

 

 

“เจ้าพูดบ้าอะไร!” หวงอิงอิงตะโกนอย่างเดือดดาล “ข้าได้รับปิ่นอัญมณีมาจากท่านแม่ข้า เจ้าขโมยไปจากข้า แต่ตอนนี้มาเรียกข้าว่าขโมยงั้นหรือ” นางไม่เคยคิดว่าโอวหย่าจะไม่ได้เป็นแค่ขโมย แต่ยังเป็นนางสารเลวหน้าไม่อายด้วย!

 

 

โอวหย่าเอาอะไรมากล่าวหาว่าข้าเป็นขโมย ท่านพ่อท่านแม่ต้องตาบอดแน่ที่เลือกคนแบบนี้มาเป็นคู่หมั้นท่านพี่

 

 

“ฮึ่ม!” หัวหน้าเผ่าส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชา “สาวน้อย ข้าแปลกใจจริงๆ ที่เจ้าอายุเพียงเท่านี้ก็ชั่วร้ายได้ขนาดนี้! เจ้ากล้าขโมยของศักดิ์สิทธิ์จากนักบุญหญิงของพวกเราได้อย่างไร ปิ่นอัญมณีนี้เป็นสัญลักษณ์ของนักบุญหญิงของพวกเรา ทำไมเจ้าถึงพยายามจะขโมยมัน หรือว่าเจ้าอยากจะปลอมตัวเป็นนักบุญหญิง”

 

 

โอวหย่าเชิดคางขึ้นอย่างเหนือกว่าแล้วมองหวงอิงอิงอย่างดูถูก นางเป็นนักบุญหญิงของเผ่าผู้ใช้เวท ไม่มีใครเปลี่ยนมันได้ ส่วนหวงอิงอิง…

 

 

นางไม่ควรทำท่าทางคุกคามใส่ข้า!

 

 

“ท่านแม่ให้ปิ่นอัญมณีกับข้า” หวงอิงอิงกัดปากน้ำตาจวนเจียนจะไหล “มันไม่ใช่สัญลักษณ์ของนักบุญหญิงแต่เป็นของดูต่างหน้าท่านแม่ข้า”

 

 

“ไร้สาระ!” หัวหน้าเผ่าหัวเราะเยาะ “ในเมื่อเจ้าบอกว่าปิ่นอัญมณีเป็นของเจ้า แล้วเจ้ามีรอยสักจันทร์ครึ่งเสี้ยวอยู่ที่อกหรือไม่ล่ะ”

 

 

โอวหย่าคิดไว้แล้วว่าหัวหน้าเผ่าจะถามคำถามนี้ นางเลยเตรียมข้อแก้ตัวไว้แล้ว นางก็แค่บอกหัวหน้าเผ่าว่าหวงอิงอิงบังเอิญเห็นรอยสักจันทร์ครึ่งเสี้ยวบนตัวนางแล้วเห็นว่าสวยดี ดังนั้นเลยไปทำแบบเดียวกันบนหน้าอกของตัวเอง

 

 

แน่นอนว่ายังมีอีกวิธีที่พิสูจน์ความเป็นนักบุญหญิง นั่นก็คือพิธีสืบทอด!

 

 

แต่หัวหน้าเผ่าไม่มีทางยอมให้หวงอิงอิงเข้าพิธีสืบทอดจนกว่าเขาจะมั่นใจว่าหวงอิงอิงเป็นนักบุญหญิงตัวจริง ดังนั้นก่อนที่เรื่องนั้นจะเกิดขึ้น นางก็มีวิธีเป็นพันที่จะใช้วิชาเปลี่ยนเลือดกับหวงอิงอิง

 

 

“ท่าน…ท่านรู้ได้อย่างไร” หวงอิงอิงหยุดแล้วมองหน้าผู้นำเผ่าด้วยความงุนงง “ข้ามีรอยสักอยู่บนอกจริงๆ แต่ไม่นานมานี้ข้าโดนสัตว์อสูรวิญญาณโจมตีแล้วกรงเล็บของมันก็เฉือนเนื้อบนอกข้าออกไปจนเห็นกระดูก ตอนนี้แผลข้ายังไม่หาย ดังนั้นรอยสักจึงมองไม่เห็น”

 

 

หัวหน้าเผ่าตะลึง เขาไม่คิดว่าหวงอิงอิงจะมีรอยสักจันทร์เสี้ยวอยู่บนอกเหมือนกัน!

 

 

ตอนที่เขากำลังคิดอยู่ เสียงเยาะเย้ยของโอวหย่าก็ดังขึ้น “หวงอิงอิง เจ้ารู้ว่าข้าเป็นนักบุญหญิงของเผ่าผู้ใช้เวทแล้วก็รู้ด้วยว่าปิ่นอัญมณีและรอยสักจันทร์เสี้ยวเป็นสัญลักษณ์ของนักบุญหญิง เจ้าก็เลยพยายามขโมยปิ่นอัญมณีแล้วสร้างเรื่องโกหกเพราะฝันอยากจะแทนที่ข้าสินะ! โชคร้ายที่เจ้าดูถูกเผ่าผู้ใช้เวทเกินไป หัวหน้าเผ่าของพวกเราไม่ใช่คนโง่! เขาไม่ถูกเจ้าหลอกหรอก”

 

 

เผ่าผู้ใช้เวทติดต่อกับคนด้านนอกน้อยมาก ทำให้พวกเขามีความคิดง่ายๆ ดังนั้นเมื่อได้ยินคำพูดใส่ไฟของโอวหย่า ผู้นำเผ่าก็เดือดดาล

 

 

“เจ้าคิดว่าเจ้าจะหลอกข้าได้หรือ ทำไมเจ้าถึงโดนโจมตีที่หน้าอก แล้วทำไมต้องโดนต้องรอยสักจันทร์เสี้ยวพอดี เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อเรื่องไร้สาระแบบนี้หรือ ล้อข้าเล่นแล้ว!”

 

 

ถ้าหวงอิงอิงมาหาหัวหน้าเผ่าพร้อมปิ่นอัญมณีก่อนหน้าโอวหย่า ผู้นำเผ่าก็คงเชื่อนางแม้รอยสักจันทร์เสี้ยวบนอกจะถูกทำลาย แต่ว่าเขามีอคติที่แรงกล้ามาก โอวหย่ามาหาเขาก่อน ดังนั้นเขาจึงไม่เชื่อคำพูดของหวงอิงอิง

 

 

เมื่อไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าปิ่นอัญมณีและรอยสักจันทร์เสี้ยวบนอกเป็นของนาง หวงอิงอิงก็เงียบแล้วจ้องโอวหย่าด้วยความโกรธและเกลียดชัง ถ้าสายตาสามารถสังหารคนได้โอวหย่าคงถูกฉีกเป็นชิ้นๆ แล้ว

 

 

“ดูเหมือนว่าจะที่นี่จะมีเรื่องน่าสนใจนะ” ดวงตาเรียวของจีจิ่วเทียนเป็นประกายยากคาดเดา เขายกยิ้มมีเลศนัยแล้วก้มหน้าไปกระซิบกับอวิ๋นลั่วเฟิง “เจ้าอยากดูการแสดงดีๆ หรือไม่”