Ch.99 – โจมตีก่อนได้เปรียบ

Translator : Muntra / Author

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.99 – โจมตีก่อนได้เปรียบ

 

ฮั่นเจียนแสดงออกชัดเจนว่ายืนอยู่ฝ่ายฉินเฟิง

 

“อะไรกัน? จู่ๆตอนนี้ก็ดันมาต้องการเครดิตซะได้ ทั้งๆที่พวกเราไม่ได้ฆ่ามันแท้ๆ ตอนนี้พวกเรามีกัน 5 คนนะ ต่อให้แบ่งรางวัลกันมันก็คนละ 1/5 มากสุดแค่ไม่กี่สิบล้าน เงินแค่นี้จิ๊บจ๊อยสำหรับบิดา ไม่พอใช้เลี้ยงครอบครัวด้วยซ้ำ!” แม้ปากของฮั่นเจียนจะกำลังกล่าวถึงเรื่องเงิน แต่ก็ยังไม่วายเสียดสีเหล่าตัวตนทรงพลังที่เหลือ

 

“ฮั่นเจียน อย่าลืมว่าคุณเองก็เป็นคนหนึ่งที่ร่วมปิดล้อมราชันย์อัศวินเหมือนกัน!” หลิวบาคำราม แม้ฮั่นเจียนจะเอ่ยลอยๆออกมา ไม่ได้กล่าวถึงตนเอง แต่หลิวบาก็เป็นคนที่ทะนงในศักดิ์ศรีมาก เขารับไม่ได้!

 

“ก็แล้วยังไง? อย่างน้อยครั้งนี้ ผลจากการฆ่าของราชันย์อัศวิน ก็เป็นเขตเฉิงเป่ยของฉันที่ได้เครดิตมากที่สุดไปอยู่ดี!”

 

ในทั้ง 5 คน มีฉินเฟิงกับฮั่นเจียน 2 คนที่มาจากชุมชนทางตอนเหนือ ส่วนอีก 3 คนมาจากชุมชนคนละเขต ดังนั้นจึงเป็นที่ชัดเจน ว่าผลงานในครั้งนี้ เขตใดได้รับเครดิตไปมากที่สุด

 

ฉินเฟิงอดไม่ได้ที่จะเปล่งเสียงหัวเราะขบขันในเวลานี้

 

“ถ้าหากผมเป็นพวกคุณ ผมจะไม่เสียเวลาเถียงกันที่นี่ อย่าลืมสิว่าชุดคลุมดำกระหายเลือดยังมีชีวิตอยู่นะ”

 

ทันทีที่ประโยคนี้หลุดออกมา สีหน้าของหลายคนก็เปลี่ยนไป

 

“ไม่ดีแล้ว!”

 

ก่อนหน้านี้ มีเฉพาะหลินเซิงคนเดียวเท่านั้น ที่แยกออกไปจัดการชุดคลุมดำกระหายเลือด แต่พวกเขาที่เหลือไม่ยินดีที่จะร่วมมือกำจัดมัน เพราะการกำจัดราชันย์อัศวินดูเหมือนจะเป็นงานง่ายกว่า

 

แต่ไม่คาดคิดเลย ว่าเครดิตจากการสังหารราชันย์อัศวินจะถูกฉกชิงไปโดยฉินเฟิง และตอนนี้ ก็เหลือเพียงชุดคลุมดำกระหายเลือดเท่านั้น มันครอบครองสถานะที่สามารถเปิดช่องว่างมิติได้ ดังนั้นจึงเป็นตัวเครดิตมหาศาลตัวเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่!

 

เมื่อได้สติ ทั้งหมดก็หันหลังวิ่งกลับไปอย่างรวดเร็ว ฉินเฟิงกับฮั่นเจียนเองก็ตามไปเช่นกัน

 

เมื่อมาถึง แท้จริงแล้วทุกคนกลับพบว่า สถานการณ์ทางฝั่งชุดคลุมดำกระหายเลือดเองก็ไม่ได้เลวร้ายไปกว่าที่คิด

 

เนื่องจากชุดคลุมดำกระหายเลือดครอบครองพลังซ่อนเงา ดังนั้นการจะกำจัดมันจึงยากเย็นยิ่งกว่าราชันย์อัศวิน ไหนจะเรื่องที่มันมีภูมิปัญหาหลักแหลม ฉลาดพอๆกับมนุษย์อีก -เมื่อหลุดจากการไล่ล่าของฉินเฟิง ชุดคลุมดำกระหายเลือดก็ใช้ซ่อนเงา และพุ่งไปหลบอยู่ท่ามกลางกองทัพซากศพทันที

 

หลังจากชุดคลุมดำกระหายเลือดเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในกองทัพซากศพเหล่านั้น ก็ไม่มีใครสามารถหามันพบได้อีกเลย

 

ปัจจุบัน สีหน้าของหลินเซิงไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะเมื่อเขารู้ว่าราชันย์อัศวินถูกสังหารลงโดยฉินเฟิง สีหน้าของเขาก็น่าเกลียดยิ่งกว่าเดิม

 

ในเวลานี้ เหล่าผู้ใช้อบิลิตี้ที่ตามมาสมทบภายหลังก็เกิดความสับสนขึ้นเช่นกัน

 

ณ จุดนี้ นอกจากเติ้งเหนียนแล้ว ก็ยังมีผู้ใช้อบิลิตี้ดินและไฟในเลเวล E ที่ตามเข้ามา

 

พวกเขามาที่นี่ได้ เพราะเห็นว่าสถานการณ์ค่อนข้างมั่นคงแล้ว ต้องไม่ลืมนะว่าการดำรงอยู่ของผู้ใช้อบิลิตี้คือสมบัติของชาติ พวกเขาไม่สามารถตกตายได้ แม้แต่ละคนจะครอบครองความแข็งแกร่งมากก็ตาม แต่ก็ไม่เหมาะสมที่จะบุกเข้ามาเพียงลำพังโดยไร้ซึ่งผู้ใช้วรยุทธโบราณคอยคุ้มกัน

 

“สถานการณ์ตอนนี้ ดูท่าว่ายังไงก็คงจะไม่สามารถหาชุดคลุมดำกระหายเลือดเจอ”

 

 

“ปัจจุบันมีซากศพมากมายมากองรวมกันอยู่บนยอดเขา กรณีนี้น่าจะฝากมือปืนจัดการคงเหมาะกว่า ให้พวกเขาระดมขีปนาวุธลงมา ล้างบางพวกมันให้หมดไปเลย!”

 

“หลังจากนั้น ถึงพวกเรายังหาชุดคลุมดำกระหายเลือดไม่เจอ แต่ราชันย์อัศวินก็ตายไปแล้ว นั่นหมายความว่า ต่อให้ชุดคลุมดำเปิดช่องว่างมิติอีกครั้ง ก็จะไม่มีใครมาช่วยปกป้องมันอีกต่อไป”

 

“ถูกต้องที่สุด!”

 

ชัยชนะอยู่แค่เอื้อมแล้ว ดังนั้นมนุษย์ทุกคนย่อมไม่ยอมปล่อยโอกาสนี้ไป!

 

แล้วพวกเขาก็ส่งผ่านข้อมูลให้แก่มือปืน

 

แต่ข้อมูลที่ถูกส่งกลับมา ทำให้ทุกคนแทบจะกลายเป็นใบ้

 

“อะแฮ่ม ฉินเฟิง มานี่ซิ!” เติ้งเหนียนเป็นคนแรกที่เอ่ยปากเรียกฉินเฟิง

 

“ผู้อำนวยการ!” ฉินเฟิงก้าวมาข้างหน้า “ผู้อำนวยการอยากให้ผมคอยคุ้มครองระหว่างล่าถอยใช่ไหมครับ?”

 

เติ้งเหนียนอายุมากแล้ว ดังนั้นการต่อสู้ในแนวหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งลึกเข้ามาในแนวทัพศัตรูแบบนี้ เป็นเรื่องอันตรายเกินไปจริงๆ

 

“มันไม่ใช่เรื่องนั้น ฉินเฟิง ตอนนี้พลังสมาธิของเธอกำลังล็อคตำแหน่งของมือปืนอยู่ใช่ไหม? คือว่าพวกเรากำลังวางแผนที่จะถล่มภูเขาแม่อยู่น่ะ เธอช่วยถอนพลังสมาธิที่คอยสะกดข่มพวกเขาออกให้หน่อยสิ!”

 

เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ เติ้งเหนียนก็มองฉินเฟิงด้วยความชื่นชมในจิตใจ คลื่นลูกใหม่นี่ร้ายกาจสุดๆไปเลย! เขาเกิดความรู้สึกว่าตัวเองแก่แล้วอีกครั้ง

 

พรสวรรค์ที่ฉินเฟิงแสดงมันออกมาช่างแข็งแกร่งอย่างแท้จริง!

 

ถึงขั้นครอบครองพลังสมาธิที่สามารถต่อกรกับมือปืนเลเวล E ได้!

 

ยิ่งไปกว่านั้น ฉินเฟิงเพิ่งต่อสู้มา แต่ดูจากท่าทีของเขาแล้ว ยังไม่เหนื่อยเลย มันเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง -ใครจะสามารถจินตนาการได้กันว่าเขาทรงพลังเพียงใด

 

“ตราบใดที่พวกเขาใช้อาวุธปืนในมืออย่างรอบคอบ ไม่กระทบมาถึงตัวผม แล้วผมจะไปวุ่นวายกับพวกเขาทำไม?” ฉินเฟิงกล่าวประชดประชัน

 

อันที่จริง หลังจากการดวลปืนครั้งแรกจบลง หากฉินเฟิงไม่ได้ล็อคพลังสมาธิสะกดข่มการรับรู้ของพวกเขาเอาไว้ล่ะก็ อีกฝ่ายคงช่วยกันระดมยิงใส่เขาจนไม่เหลือซากไปแล้ว

 

นี่แหละคือวิธีการของพวกมือปืน ไม่คิดใช้พละกำลังเผชิญหน้ากันตรงๆ แต่คอยจู่โจมระยะไกลแล้วได้รับเครดิตไปเต็มๆ

 

“เอาล่ะ ฉันจะแจ้งคำพูดของเธอให้พวกเขาทราบเอง และอีกอย่าง เธอไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องที่เธอไปทำร้ายลู่เหิงหรอกนะ หึหึ .. เพราะเขาสมควรแล้วที่จะโดนแบบนั้น!” เติ้งเหนียนกล่าว

 

ลู่เหิงคือมือปืนที่ร่วมมือกับหลิวบากำจัดศัตรูในครั้งแรกที่ฉินเฟิงมาที่นี่ และเขาคือคนๆเดียวกับที่รับประทานกระสุนสามนัดของฉินเฟิงไป

 

อย่างไรก็ตาม พวกมือปืนน่ะเป็นเศรษฐี ดังนั้นแน่นอนว่าย่อมสวมใส่อุปกรณ์รูนบางอย่างเพื่อปกป้องชีวิต เลยเป็นเรื่องปกติที่เขาจะไม่ตาย

 

“ครับ ผมไม่สนใจเรื่องนั้นเลย!”

 

ฉินเฟิงพยักหน้า

 

หลังจากสนทนากันจบ ทุกคนก็ถอยกลับไปตั้งหลักกันที่ตีนภูเขาแม่ ทางฝั่งมือปืนก็ร่วมมือกัน ระดมยิงเข้าใส่ยอดเขาทันที

 

ไม่นานเกินรอ กองทัพซากศพจำนวนมากก็พินาศสิ้น

 

ครึ่งชั่วโมงต่อมา การระดมปืนใหญ่ก็หยุดลง ทั้งผู้ใช้วรยุทธโบราณและผู้ใช้อบิลิตี้ต่างก็พากันขึ้นไปบนยอดเขาแม่อีกครั้ง

 

ทั้งหมดตระหนักดีว่าชุดคลุมดำกระหายเลือดใกล้ถึงแก่วาระแล้ว นั่นหมายความว่าหากใครก็ตามในที่นี้เป็นคนค้นพบตัวมัน และสามารถโค่นมันลงได้ ก็จะได้ครอบครองสถานที่แห่งนี้ในอนาคต!

 

เติ้งเหนียนอาสาเป็นผู้นำเปิดการโจมตี

 

“จงเฉิดฉาย!”

 

รูนอบิลิตี้วสาดแสงพรั่งพรูออกมา เปลี่ยนยอดเขาจนเต็มไปด้วยรังสีแสงสว่าง สาดส่องดั่งดวงตะวันร่วงตกลงมายังโลก ความมืดมิดใดๆ ก็ไม่อาจหลบซ่อนได้อีกต่อไป

 

เติ้งเหนียนเร่งพุ่งตรงไปยังสถานที่ที่มีรูนมืดกระจุกตัวอยู่เข้มข้นที่สุดทันที เพราะนั่นน่าจะเป็นสถานที่ซึ่งชุดคลุมดำกระหายเลือดซ่อนตัวอยู่

 

ในขณะที่บางคนก็กระจัดกระจายกันออกไป และบางคนก็ตัดสินใจตามเติ้งเหนียน

 

ต้องบอกว่าเติ้งเหนียนยังคงมีไม่ตก เพราะสถานที่ๆเขามุ่งไป มันคือจุดที่ชุดคลุมดำกระหายเลือดซ่อนตัวอยู่จริงๆ

 

ฉินเฟิงตามเติ้งเหนียนไปติดๆ สายตาคอยสอดส่องผู้ใช้พลังเลเวล E คนอื่นๆอย่างระแวดระวัง แต่ในจิตใจของเขาบังเกิดความคิดที่ว่า หากในบรรดาคนเหล่านี้ มีใครเสียชีวิตลง เขาก็จะดูดกลืนพลังงานมา ไม่ปล่อยไปอย่างเปล่าประโยชน์

 

กลุ่มผู้ใช้พลังทั้งหมดในที่นี้ ไม่รู้ตัวเลยว่ามีคนจ้องจะเขมือบพวกเขาอยู่ พวกเขาเพียงตามเติ้งเหนียนมาโดยไม่สนไม่แคร์สิ่งใด

 

“ฮี่ฮี่ เสี่ยวไป๋ จัดการมันซะ!” ฉินเฟิงไม่ได้เอ่ยมันออกมา แต่ถ่ายทอดความคิดผ่านทางสัญญา ส่งหาเสี่ยวไป๋โดยตรง ให้มันลงมือทันที

 

คนเหล่านี้กำลังทำตัวเปรียบดั่งสำนวน ‘螳螂捕蝉 黄雀在后’ (ตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง) จ้องแต่จะรับผลประโยชน์จากผู้อื่น โดยไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองก็กำลังถูกผู้อื่นจ้องจะเอาผลประโยชน์เช่นกัน

 

และฉินเฟิงรู้ดีถึงความคิดของพวกเขา ดังนั้นเจ้าตัวเลยตัดสินใจชิงลงมือก่อน

 

ด้วยพลังมิติของไป๋หลี ทำให้เธอสามารถปรากฏกายขึ้นและหายวับไปอย่างลับๆได้ ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ก่อนหน้านี้ฉินเฟิงทุ่มทุนซื้อแก่นพลังงานระดับราชันย์สัตว์ร้ายให้เป็นอาหาร ปัจจุบันเธอเลยยกระดับเป็นราชันย์สัตว์ร้ายเลเวล F2 แล้ว –นี่แทบจะไม่แตกต่างไปจากเลเวลของชุดคลุมดำกระหายเลือดเลย

 

สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ชุดคลุมดำกระหายเลือดได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

ไป๋หลีปรากฏกายขึ้นราวกับภูติผีเบื้องหลังชุดคลุมดำกระหายเลือด

 

“ใบมีดมิติ!”

 

รังสีแสงสีเงินพลันเปล่งประกาย พร้อมกับรอยแยกปรากฏขึ้นใจกลางพื้นสีดำสนิท ส่งผลให้บริเวณรอยแยกกลายเป็นช่องว่างมิติ

 

และตำแหน่งที่ไป๋หลีซัดใบมีดลงไป มันคือส่วนหัวของชุดคลุมดำกระหายเลือดพอดิบพอดี

 

ฉัวะ!

 

ชุดคลุมดำกระหายเลือดเดิมเตรียมการที่จะลอบจู่โจมมนุษย์ ทั้งร่างของมันเริ่มซวนเซ หัวร่วงกลิ้งลง

 

ไม่รอช้า ไป๋หลียื่นแขนออกไป และพรึบ! แก่นพลังงานสีดำสนิทก็ปรากฏขึ้นในมือ จากนั้นเด็กสาวก็หายวับไปทันที

 

ในเวลานี้ ฝูงชนต่างหลบเลี่ยงสิ่งกีดขวาง และมาถึงตำแหน่งของชุดคลุมดำกระหายเลือดกันในที่สุด

 

-ทุกสายตาพบเห็นถึงร่างของมัน

 

ฉินเฟิงก้าวออกไปสองสามก้าว แสร้งทำเป็นว่าจะสำรวจตรวจสอบ แต่ความจริงเขากำลังดูดกลืนพลังงานและพลังสมาธิที่กระจายไปในอากาศมาเป็นของตนเอง

 

เมื่อทุกอย่างไหลวนเข้าสู่ร่างกายตัวเอง จิตสำนึกของฉินเฟิงก็กลายเป็นคึกคัก พลังสมาธิของเขายกระดับขึ้นอีกครั้ง

 

อบิลิตี้ก้าวขึ้นสู่เลเวล F3!