บทที่ 35 พ่ายแพ้เสียหายกันทั้งสองฝ่ายและการตายของซูหลิน (1) Ink Stone_Romance
“หลัวซื่อจื่อ ท่านจะไปแล้วรึ?” เหยียนหลิงจวินเลิกคิ้วขึ้น แล้วรีบฟาดแส้ลงบนตัวม้าเคลื่อนตัวตามไป “อุตส่าห์มาทั้งที ไม่อยู่พูดคุยกันอีกสักพักล่ะ?”
หลัวเถิงเม้มปาก มองใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มอันสดใสของอีกฝ่าย มันช่างรู้สึกตงิดเสียเหลือเกิน
เขาเลยเบนสายตาออก จากนั้นยิ้มแล้วพูดตอบว่า “ยังมีเวลาอีกมาก ไว้วันหลังข้าแวะมาเยี่ยมเยียนบ่อยๆ ก็ได้ ไม่เห็นจำเป็นต้องรีบร้อนเลย”
ความหมายจากประโยคที่เขาพูดนั้น หรือว่าเขาไม่ยอมถอยทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าตนมีความสามารถไม่พองั้นรึ?
เหยียนหลิงจวินกระตุกมุมปาก ก้มหน้าเล่นแส้ในมือ ทำหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้ม
หลัวเถิงปรายตามองเขาหนึ่งที จากนั้นก็หันหลังไปแล้วกล่าวว่า “ผู้เป็นสาวงามนั้นเป็นที่หมายปองของชายหนุ่ม อีกอย่างหากครั้งนี้ต้องพูดเรื่องความรักครั้งนี้ขึ้นมาจริงๆ ดูท่า…ก็ไม่เกี่ยวกับการที่ใครมาก่อนมาหลังหรอกกระมัง?”
แววตาของเหยียนหลิงจวินชำเลืองมอง จู่ๆ เขาก็รู้สึกเหมือนกำลังฟังเรื่องตลกอยู่ จึงแค่นหัวเราะออกมา จ้องมองไปที่แผ่นหลังของเขาแล้วพูดลอยๆ ขึ้นว่า “ท่านต้องทำความเข้าใจใหม่นะ! ข้อหนึ่งอย่าได้พูดว่าเป็นสาวงามเลย หากท่านยังไม่รู้จักนิสัยของนางดี ข้อสอง ท่านพูดถูก เรื่องความรักแบบนี้มันไม่เกี่ยวกับการที่ใครมาก่อนมาหลัง แต่หากท่านคิดเออเองอยู่ฝ่ายเดียวมันก็ไม่นับว่าใช่หรอก!”
เขาพูดขึ้นอย่างลื่นไหลไม่สะดุด จากนั้นพูดย้ำเสียงดังว่า “ข้าแนะนำว่าให้ท่านยอมถอยแต่โดยดีเสียจะดีกว่า ทำไมต้องทำให้ตัวเองลำบากแบบนี้ด้วยเล่า?”
หลัวเถิงหันกลับมามองอย่าโกรธแค้น ใบหน้าไม่หลงเหลือความสง่างามอยู่บนนั้นแม้แต่น้อย เขาพูดเสียงทุ้มต่ำ “งั้นท่านคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน? ท่านมีสิทธิ์อะไรมาพูดเรื่องพวกนี้กับข้า?”
เหยียนหลิงจวินมองเขา แต่สีหน้าและท่าทางกลับแสดงออกมาให้อีกฝ่ายรับรู้อย่างชัดเจน
“ท่านบอกว่าข้าคิดเออเองอยู่ฝ่ายเดียวงั้นรึ? แล้วท่านก็เป็นเหมือนกันไม่ใช่เหรอไง? อย่างน้อย…” หลัวเถิงแสยะยิ้ม มองแววตาอันเฉียบคมของอีกฝ่าย จากนั้นชายตามองกำแพงวังบูรพาที่อยู่ไกลๆ “ความสัมพันธ์ครอบครัวสกุลหลัวของพวกข้ากับวังบูรพานั้น เรียกได้ว่าเป็นคู่หูกิ่งทองใบหยกเชียวนะรู้ไหม!”
“หึ…” เหยียนหลิงจวินแค่นหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ สีหน้าเต็มไปด้วยความเยาะเย้ยประชดประชัน เขากระตุกมุมปากขึ้นเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้ม มองอีกฝ่ายที่กำลังโมโหเกรี้ยวกราด แล้วถามกลับไปว่า “ท่านคงไม่ได้ไม่รู้หรอกใช่ไหมว่าท่านหญิงสวินหยางเป็นใครน่ะ? ถึงได้กล้าเอาสถานะครอบครัวมาเป็นตัวเชื่อมสัมพันธ์? แต่หากท่านคิดว่าไม่เป็นไร จะลองดูก็ได้นะ!”
ทุกคนต่างรู้ดีว่าฉู่อี้อันเอ็นดูรักและหวงแหนฉู่สวินหยางมากขนาดไหน ขนาดการแต่งงานของฉู่สวินหยาง…
ขอเพียงแค่นางไม่อยาก ขนาดฉู่อี้อันก็ยังฝืนใจนางไม่ได้
รอยยิ้มค่อยๆ หายไปจากใบหน้าของหลัวเถิง
เหยียนหลิงจวินถอนหายใจออกมา จากนั้นบังคับม้าให้เดินเข้าไปตรงหน้าเขา มองหน้าอีกฝ่ายแล้วพูดกับเขาว่า “อีกอย่างดูท่าหลัวซื่อจื่อจะลืมอะไรไปนะขอรับ…ตอนนี้คนที่เป็นใหญ่ตัดสินใจทุกสิ่งทุกอย่างในจวนหลัวกั๋วกงคือท่านพ่อของท่านนะ ไม่ใช่ตัวท่านสักหน่อย!”
หากหลัวเถิงคิดจะใช้สถานะทางครอบครัวเป็นข้ออ้างในการเข้าใกล้ฉู่สวินหยาง อย่างน้อยเขาควรต้องแสดงความจริงใจที่แท้จริงออกมาก่อน
ร่วมมือเป็นพันธมิตรกับวังบูรพางั้นรึ?
ถึงแม้ตอนนี้จวนอ๋องหนานเหอไม่ได้มีความเคลื่อนไหวอะไรแล้ว แต่ทว่านิสัยขี้สงสัยของฮ่องเต้นั้นกลับมีมากขึ้นกว่าปกติ…
หลัวเหว่ยไม่มีทางกล้าต่อกรกับฉู่อี้อันในเวลานี้เป็นแน่
แต่จะไม่พูดก็ไม่ได้เลยว่า คำพูดของเหยียนหลิงจวินประโยคนั้นช่างทิ่มแทงใจเขาเสียเหลือเกิน อีกทั้งยังพูดโจมตีอย่างไม่ไว้หน้าเขาอีกต่างหาก
ใบหน้าของหลัวเถิงมืดมน เขาเม้มปากแน่น มองอีกฝ่ายด้วยแววตาเย็นยะเยือก
เหยียนหลิงจวินยักไหล่ ยิ้มเยาะเย้ยขึ้นอย่างชอบอกชอบใจ
เดิมทีหลัวเถิงโดนเขาแย่งชิงดีชิงเด่นจนน่าโมโห แต่เมื่อเห็นเขายิ้มยั่วอารมณ์เขาแบบนี้ จู่ๆ เขาก็คิดออก จากนั้นไม่นานก็หัวเราะเยาะแล้วพูดขึ้นว่า “อุตส่าห์พูดมาตั้งเยอะ แต่ทั้งหมดคงเปล่าประโยชน์นะขอรับ พฤติกรรมของท่านตอนนี้นี่เป็นเพราะ…ท่านไม่มั่นใจในความสามารถของตัวเองมิใช่หรือ? ท่านอยากให้ข้าถอยเพื่อให้ท่านทำมันสำเร็จงั้นหรือ? ใต้เท้าเหยียนหลิง ท่านนี่เป็นเจ้าแผนการจริงๆ นะขอรับ แต่ว่านะ…ท่านคงหาเรื่องผิดคนแล้วล่ะ!”
หากสิ่งที่เหยียนหลิงจวินพูดคือความจริง งั้นเขากับฉู่สวินหยางทั้งสองฝ่ายต่างคิดเห็นตรงกันพอดี ไม่เห็นจำเป็นต้องใช้แผนชั่วร้ายทำให้ตัวเองลำบากเลยนี่?
หลัวเถิงคิดแล้วก็เห็นว่าไม่มีอะไรเสียหายเลยปล่อยวางไป จากนั้นเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชาว่า “ข้ายังคงยืนยันคำเดิม พวกเราสองคนอย่าได้มาพูดเกทับใส่กันแบบนี้เลย ใช้ความสามารถพิสูจน์ก็พอ!”
ขอเพียงแค่งานแต่งงานของฉู่สวินหยางยังไม่ถูกกำหนดขึ้น เขาก็ยังมีโอกาส!
ถึงแม้เหยียนหลิงจวินจะมาก่อนแล้วมันจะทำไม? อย่างน้อยดูจากสถานการณ์ตรงหน้าแล้ว ฉู่สวินหยางเองก็ไม่ได้เกลียดชังเขา แถม…
เขายังได้เปรียบกว่าอีกฝ่ายเพราะสถานะทางครอบครัวอีกต่างหาก!
หากบอกว่าก่อนหน้านี้หลัวเถิงเพียงแค่มีความรู้สึกดีๆ ให้ฉู่สวินหยางแค่นั้น งั้นที่วันนี้เขาถูกเหยียนหลิงจวินพูดถากถางใส่ มันกลับทำให้เขารู้ใจตัวเองมากขึ้น
เขาเองก็มองว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นคนที่ตนหมายปอง เพียงแค่มองนางเฉยๆ เขาก็รู้สึกมีความสุขแล้ว
นี่เป็นครั้งแรกที่เขามีความรู้สึกแบบนี้ ความรู้สึกที่เขาคิดถึงผู้หญิงคนหนึ่งตลอดเวลา ทั้งหน้าตาและรอยยิ้มของนาง มันช่างสวยงามจนทำให้เขาใจเต้น
เขาควบคุมสติ จากนั้นเบนสายตาออก แล้วบังคับม้าให้เดินจากออกไป
เหยียนหลิงจวินนั่งบนหลังม้าอยู่ที่เดิม มองไปยังแผ่นหลังของอีกฝ่ายหน้านิ่ง จากนั้นสบถออกมาหนึ่งที แล้วหันหลังจากออกไปเช่นกัน
หลังจากที่ทั้งสองคนจากออกไปได้ไม่นานนัก ก็มีม้าเร็ววิ่งเข้าไปในตรอกที่วังบูรพาตั้งอยู่ไกลๆ
เวลาผ่านไปยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งถ้วยชา[1]ดี ฉู่อี้อันก็ออกมาในชุดพร้อมรบพร้อมกับขบวนทัพถือคบเพลิงมุ่งหน้าไปยังวังหลวงอย่างเร่งรีบ
กว่าคนแซ่ฟางจะตื่น เวลาก็ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม[2] ให้แล้ว
เมื่อฉู่ฉีเฟิงและฉู่สวินหยางทราบข่าวก็รีบเข้ามาหานาง แม่นมฉางช่วยพยุงตัวนางให้ลุกขึ้นมาทานยา
นางสลบติดต่อกันไปหลายวันนัก ทำให้สีหน้าของนางซีดเซียวต่างจากปกติอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าซูบผอมไร้ชีวิตชีวาเหลือเกิน ร่างกายอ่อนปวกเปียกราวกับแผ่นกระดาษบางๆ
“อาการของท่านแม่ดีขึ้นหรือยังเจ้าคะ? รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?” ฉู่สวินหยางเอ่ยถามขึ้น
คนแซ่ฟางไม่ชอบนาง แต่ก็คร้านที่จะตอบโต้ เลยไม่ได้ปฏิเสธการช่วยเหลืออันนั้น
คนแซ่ฟางลืมตามองนางเล็กน้อย จากนั้นส่ายศีรษะ “ไม่เป็นอะไรหรอก แค่รู้สึกล้าน่ะ แล้วองค์รัชทายาทเล่า? หลายวันมานี้ข้าทำให้เขาลำบากมากเลย!”
“เกิดเรื่องนิดหน่อยน่ะขอรับ ท่านพ่อถูกเรียกตัวให้เข้าวัง” ฉู่ฉีเฟิงตอบ เขาเพียงยืนมือไพล่หลังอยู่ข้างเตียง ไม่มีความคิดความตั้งใจที่จะเข้าไปช่วยป้อนยาให้คนแซ่ฟาง
คนแซ่ฟางเองก็ไม่รู้สึกแปลกใจ นางดื่มยาเข้าไปแล้วพูดว่า “ท่านหมอบอกว่าอย่างไรบ้าง? อาการของข้าต้องเฝ้าระวังเรื่องใดเป็นพิเศษไหม? หากไม่ต้องฝังเข็มแล้ว ก็ให้แม่นมฉางเก็บของให้เรียบร้อยเถิด เดี๋ยวอีกสองวันข้าก็จะกลับแล้ว”
แม่นมฉางตกใจ ขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้นว่า “อาการของท่านเพิ่งหายดีไม่นาน ทำไมไม่นอนพักที่จวนต่ออีกสักหน่อยล่ะเจ้าคะ รอให้หายดีก่อนค่อยกลับก็ได้นี่!”
เมื่อก่อนคนแซ่ฟางถูกหลัวฮองเฮาบีบกดดันให้ออกไปจากที่นี่ แต่ในเมื่อตอนนี้หลัวฮองเฮาไม่อยู่แล้ว นางก็ใช้ชีวิตอยู่ต่อที่นี่อย่างเปิดเผยเลยก็ได้
แม่นมฉางไม่เข้าใจจริงๆ ว่านางคิดอะไรอยู่กันแน่
ฉู่ฉีเฟิงเอ่ยขึ้นเสียงเบาว่า “ตอนนี้ร่างกายของท่านแม่ยังอ่อนแออยู่ นอนพักต่ออีกสักสองสามคืนเถิด ที่จวนมีท่านหมออยู่ จะได้ตรวจดูอาการได้สะดวกขึ้น รออีกสักสองวัน หากร่างกายของท่านแม่ดีขึ้นแล้ว เดี๋ยวข้าไปส่งท่านแม่เองนะขอรับ!”
แม่นมฉางรู้สึกไม่ชอบใจสักเท่าไร นางยังขมวดคิ้วมุ่น จากนั้นหันไปมองฉู่สวินหยางแล้วพูดว่า “ท่านหญิงเจ้าคะ ท่านช่วยพูดกับพระชายารองหน่อยเถอะเจ้าค่ะ อาการป่วยครั้งนี้ทำให้ร่างกายนางอ่อนแอกว่าเมื่อก่อนเยอะเลยนะเจ้าคะ จะไม่สนใจใยดีมันเหมือนก่อนไม่ได้หรอก”
สถานที่อย่างอารามเมตตานั้นมันลำบาก ถึงแม้ข้าวของเครื่องใช้รวมถึงของกินทุกสิ่งทุกอย่าง วังบูรพาจะเป็นคนส่งไปให้ ไม่ปล่อยให้พวกนางอดอยาก แต่ถ้าเทียบกันแล้ว…
ช่วงเวลาที่อยู่ที่นั่น มันจะเทียบกับความสะดวกสบาย อยู่เป็นเจ้านายคนในวังบูรพาแบบนี้ได้เยี่ยงไร?
ฉู่สวินหยางยิ้ม แต่นางเองก็ทำได้แค่คล้อยตามคำพูดของท่านพี่กับท่านแม่นาง “แล้วแต่ท่านแม่เขาเถิด แม่นมฉางเองก็รู้จักนิสัยท่านแม่ดีนี่เจ้าคะ ยิ่งรั้งนางไว้ นางก็ยิ่งไม่ชอบใจ อาการป่วยก็ยิ่งสาหัสเข้าไปอีก!”
ฉู่สวินหยางรู้เหตุผลที่คนแซ่ฟางยืนยันจะกลับไปอารามเมตตาให้ได้นั้นดี…
นางเป็นคนลงมือสังหารฉู่ฉีฮุย แถมยังทำให้หลัวฮองเฮาเสียชีวิตอีก ซึ่งทั้งสองเรื่องนี้มันทำให้ฉู่อี้อันทนไม่ได้
ถึงตอนนี้คดีของฉู่ฉีฮุยก็ยังไม่ได้รับการคลี่คลาย ส่วนเรื่องหลัวฮองเฮา ถึงนางจะเสียชีวิตไปเพราะการกระทำอันเลวร้ายของตัวเองก็เถิด แต่หากมีใครไปสืบค้นเข้าจริงๆ ล่ะก็ ใครก็ไม่กล้ารับประกันหรอกว่ามันจะไม่มีเรื่องอื่นแอบแฝงอยู่
เพียงคนแซ่ฟางอยู่พักในวังบูรพาแค่หนึ่งวัน ก็อาจทำให้เรื่องต้องห้ามพวกนี้หลุดออกไปได้ เพราะฉะนั้นแล้วทางที่ดี รีบหนีห่างออกไปไกลๆ น่าจะดีกว่า
แต่ฉู่ฉีเฟิง…
เขาเองก็ไม่อยากให้ความจริงของเรื่องพวกนี้ถูกเปิดโปงขึ้นอยู่แล้ว
แม่นมฉางอ้าปากพะงาบ อยากจะพูดอะไรบ้าง แต่เมื่อเห็นแม่ลูกสามคนพูดเป็นเสียงเดียวกัน แล้วนึกถึงนิสัยของคนแซ่ฟางขึ้น สุดท้ายก็ทำได้แค่ปิดปากลง
ฉู่สวินหยางยิ้มขึ้นเล็กน้อย ตบไหล่นางเบาๆ เป็นการปลอบใจ กล่าวว่า “ท่านแม่นมอย่าคิดมากนะ ช่วงนี้ใต้เท้าเหยียนหลิงมาทุกวัน รับประกันได้เลย ว่าจะรักษาร่างกายของท่านแม่ให้หายดีก่อน ถึงจะปล่อยตัวนางไป”
“เจ้าค่ะ!” แม่นมฉางพูดตอบแล้วพยักหน้า หันมองคนแซ่ฟางไปอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นยกถ้วยยาเดินออกไปข้างนอก “จวิ้นอ๋องและท่านหญิงอยู่พูดคุยกับพระชายารองก่อนเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะเอาถ้วยยาไปคืนที่ห้องครัว”
อีกไม่นานก็จะถึงวันพิธีมงคลสมรสของฉู่เยว่หนิงแล้ว ที่จริงช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่คนแซ่ฟางเหมาะสมที่จะอยู่ต่อที่สุด แถมยังเป็นโอกาสที่จะได้ควบคุมจัดการธุระในท้ายเรือนแต่เพียงผู้เดียวอีกด้วย
น่าเสียดาย…
เฮ้อ!
——————————————
[1] เวลาหนึ่งถ้วยชา เป็นคำเรียกเวลาโดยประมาณของคนจีนโบราณ ใช้เปรียบถึงช่วงเวลาที่สั้นมาก บางตำราเทียบว่าประมาณ 10 – 15 นาที
[2] หนึ่งชั่วยาม เท่ากับเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง