ตอนที่ 561

Elixir Supplier

561 มีผี

 

หวังเย้าไม่ได้อยู่ที่บ้านของซูเสี่ยวซวีนานนัก เพราะเธอนั้นหายดีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดูเหมือนว่า เธอจะกระตือรือร้นที่จะออกไปเที่ยวนอกบ้านอย่างมาก เธอค่อนข้างให้ความสนใจคลินิกและหมู่บ้านของหวังเย้า แต่หวังเย้าไม่สะดวกจะพาเธอเที่ยวในหมู่บ้านได้

 

“เซียนเชิงสัญญาแล้วนะ ว่าฉันไปหาได้” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

เขารับปาก แต่ตอนนี้เขายังไม่พร้อม

 

“ช่วงนี้ คุณหนูซูออกไปเที่ยวข้างนอกบ่อยเหรอครับ?” หลังออกมาจากบ้านตระกูลซูแล้ว หวังเย้าก็ถามกับเฉินหยิง

 

“ค่ะ เธอออกไปข้างนอกอยู่บ่อยๆ” เฉินหยิงพูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันคิดว่า มันคงจะเป็นเหมือนกับการชดเชยที่เธอต้องนอนติดเตียงมานานหลายปี เธอไปมาแล้วหลายที่ ทั้งในปักกิ่งและเทียนจินเลยล่ะค่ะ” ไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เธอได้มีโอกาสเดินทางท่องเที่ยวกับซูเสี่ยวซวีอยู่หลายครั้ง

 

“นั่นก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ครับ” หวังเย้าพูด

 

ถ้าหากเขาต้องนอนติดเตียงเป็นเวลานานหลายปี เมื่อเขาหายดี เขาก็คงจะออกเดินทางไปทั่วโลก ไม่มีทางที่เขาจะอยู่แต่ในบ้าน เพื่อชื่นชมในความโชคดีที่ตัวเองรอดพ้นจากโรคร้ายมาได้

 

“เธออยากจะไปเยี่ยมหมู่บ้านและคลินิกของหมอจริงๆนะคะ” เฉินหยิงพูด

 

“ผมจะลองดูว่าพอจะทำอะไรได้บ้างนะครับ” หวังเย้าพูด

 

เขามาปักกิ่งเพื่อรักษาและทำให้เธอหายดี เขาทิ้งพลังฉีเอาไว้ในร่างกายของเธอ และยังสอนบทสวดให้เธอไปหนึ่งบท มันอาจจะเป็นเรื่องของพรหมลิขิตก็เป็นได้ ถ้าเธออยากจะมาเยี่ยมเขาจริงๆ เขาก็คงจะยินดีต้อนรับเธออยู่แล้ว

 

เฉินหยิงรับน้องชายของเธอกลับมาจากโรงพยาบาลในตอนบ่าย เฉินโจวดูปกติดีทุกอย่าง เฉินหยิงเชื่อมั่นว่า หลังจากที่ได้กินยาของหวังเย้าแล้ว เฉินโจวจะสามารถมีชีวิตเป็นปกติได้เดือนหนึ่งอย่างแน่นอน

 

“ขอบคุณนะครับ หมอหวัง” เฉินโจวพูดด้วยความเคารพ ต้องขอบคุณหวังเย้าที่ทำให้เขากลับมาเป็นปกติเหมือนคนทั่วไปได้

 

“เธอควรจะขอบคุณพี่สาวของเธอมากกว่านะ” หวังเย้าพูด “ผมยังมีเรื่องต้องทำต่อ คืนนี้คงจะไม่กลับมาที่นี่นะครับ”

 

“แล้วหมอจะไปพักที่ไหนเหรอคะ?” เฉินหยิงถาม

 

“เดี๋ยวไว้หาเอาอีกทีครับ” หวังเย้าพูด “ไม่ต้องห่วงผมหรอกครับ มันเป็นคืนที่สวยงาม ผมอยากจะออกไปเดินให้ทั่วสักหน่อยน่ะครับ”

 

ปักกิ่งเป็นเมืองใหญ่ เขาสามารถหาที่พักได้ทุกที่ที่ไป

 

เขาไม่ได้อยู่ทานอาหารเย็นที่กระท่อม และได้ออกไปเดินเล่นรอบๆปักกิ่ง ยามเย็นในปักกิ่งดูมีชีวิตชีวากว่าเวลากลางวันมาก

 

หวังเย้าเดินไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย เมื่อเวลาเริ่มดึก เขาก็เช็ดอินเข้าพักในโรงแรมแห่งหนึ่ง

 

เช้าวันต่อมา หลังจากที่ได้ยินว่าหวังเย้ามาที่ปักกิ่ง เฉินโจวฉวนก็มาหาเขาที่กระท่อม “อะไรนะ? เขาไม่อยู่ที่นี่เหรอ?”

 

“ค่ะ หมอเฉิน” เฉินหยิงพูด

 

“แล้วเขาไปไหนล่ะ?” หมอเฉินถาม

 

“ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ หมอหวังบอกว่า เขาอยากจะไปเดินเล่นชื่นชมช่วงเวลากลางคืนของปักกิ่งน่ะค่ะ” เฉินหยิงพูด

 

“วิวกลางคืนมีอะไรน่าดูกัน?” หมอเฉินพูด

 

เขามองเห็นเด็กหนุ่มที่มีดวงตากระจ่างใสอยู่ภายในตัวบ้าน “นั่นน้องชายของเธอเหรอ?”

 

“ค่ะ” เฉินหยิงพูด

 

“ตอนนี้ เขาไม่เป็นอะไรแล้วเหรอ?” หมอเฉินถาม เขารู้เรื่องอาการป่วยของเฉินโจวดี แต่ก็ไม่เคยได้ลงมือรักษาด้วยตัวเอง และเฉินหยิงก็ไม่เคยมาขอให้เขาช่วยด้วย ในเมื่อเธอไม่ขอ เขาก็ไม่คิดจะเสนอความช่วยเหลือให้ก่อน

 

“หมอหวังเป็นคนรักษาเขาค่ะ อาการของเขาเป็นปกติดีได้เกือบเดือนแล้ว” เฉินหยิงพูด

 

“ถ้าอย่างนั้นก็ดี” หมอเฉินพูด

 

“แล้วหมอเฉินมีเรื่องอะไรกับหมอหวังเหรอคะ?” เฉินหยิงถาม

 

“ไม่มีอะไรๆ” หมอเฉินโบกมือ “ฉันแค่อยากจะมาคุยกับเขาเท่านั้น เธอกับน้องชายต้องแยกกันอยู่มานาน ฉันคงไม่อยู่รบกวนพวกเธอแล้วล่ะ”

 

“ค่ะ แล้วเจอกันนะคะ” เฉินหยิงพูด

 

“แล้วเจอกัน” หมอเฉินโบกมือลาด้วยรอยยิ้มและเดินออกไปจากกระท่อม

 

“พี่ เขาเป็นใครเหรอ?” หลังจากที่หมอเฉินออกไปแล้ว เฉินโจวก็ถามขึ้นมา

 

“เขาเป็นหมอยาจีนจ๊ะ” เฉินหยิงพูด

 

“แล้วเขาเก่งไหม?” เฉินโจวถาม

 

“เก่งสิ เขาเป็นหนึ่งในสุดยอดหมอยาจีนในปักกิ่งเลยนะ” เฉินหยิงพูด “ตอนแรก พี่ก็คิดจะไปขอให้เขามารักษาเธอ แต่พอคิดดูดีดีแล้ว พี่ก็เปลี่ยนใจไม่ไปขอ”

 

“อ่อ” เฉินโจวพูด

 

ถึงแม้ว่าเขาจะใช้เวลาอยู่ในโรงพยาบาลมาหลายปี แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เขามีสติกลับมา เขาก็มักจะศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ เขาจึงพอจะรู้ว่าเฉินโจวฉวนเป็นใคร และรู้ว่า พี่สาวทำเพื่อเขามากแค่ไหน

 

“ขอบคุณนะฮะ พี่” เฉินโจวพูดออกมาจากใจ

 

“เด็กโง่ เธอไม่จำเป็นต้องขอบคุณพี่เลย ขอแค่ให้เธอหายดี พี่ยินดีที่จะทำให้ทุกอย่างอยู่แล้ว” เฉินหยิงพูดด้วยรอยยิ้ม ดวงตาของเธอคลอไปด้วยน้ำตา

 

หวังเย้าเดินทางไปที่บ้านตระกูลหวู

 

“เอายาให้เขากินต่อไปนะครับ” หวังเย้าพูด

 

“ได้ครับ” หวูถงหรงพูด

 

หลังชายชรากินยาเข้าไปแล้ว หวังเย้าก็ทำการฝังเข็มให้กับเขา เขาทำการฝังเข็มไปยังจุดเดิมเหมือนครั้งก่อน และรักษาด้วยจุดประสงค์เดียวกัน

 

หวังเย้าพยายามที่จะยืดชีวิตของชายชราโดยการเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกายของเขา และซ่อมแซมอวัยวะภายในที่เสียหาย แต่เขาก็ไม่ใช่พระเจ้า ณ ตอนนี้ เขายังไม่สามารถทำยาที่สามารถรักษาโรคมะเร็งให้หายขาดได้

 

ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็คือความชรา ชีวิตของมนุษย์ก็เหมือนกับฟืนที่กำลังลุกไหม้ เปลวไฟจะค่อยๆดับไป โรคภัยและความตายคือส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ ถ้าชายชราอายุน้อยกว่านี้ สุขภาพร่างกายของเขาก็จะดีกว่าด้วย แล้วหวังเย้าก็จะสามารถใช้สมุนไพรที่มีฤทธิ์แรงและมีประสิทธิภาพสูงกว่ากับเขาได้ ในตอนนี้ หวังเย้าสามารถใช้ได้แค้สมุนไพรที่มีฤทธิ์อ่อนและรักษาแบบค่อยเป็นค่อยไปเท่านั้น ถ้าไม่อย่างนั้น ชายชราก็จะไม่สามารถทนรับการรักษาได้

 

หวังเย้าไม่รู้ว่า ชายชราจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานแค่ไหน ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับความต้องการที่จะมีชีวิตอยู่และพลังใจของชายชราเอง

 

หลังรักษาเสร็จแล้ว หวังเย้าก็คุยกับหวูถงหรงเล็กน้อยก่อนที่จะกลับไป

 

แค่ก! แค่ก! อยู่ๆชายชราก็ไอออกมา

 

แพทย์ประจำตระกูลรีบเข้าไปดูอาการของชายชราในทันที

 

“ถงชิ่ง” ชายชราเรียก

 

“ครับพ่อ” หวูถงชิ่งพูด

 

“พี่ชายของลูกอยู่ไหน?” ชายชราถาม

 

“เขายังไม่กลับมาเลยครับ” หวูถงชิ่งพูด

 

“ถ้าเขากลับมาเมื่อไหร่ ให้พาเขามาหาพ่อด้วย พ่อมีเรื่องอยากจะพูดกับพวกลูกทุกคน” ชายชราพูด

 

“ได้ครับ ตอนนี้ พ่อนอนพักก่อนดีไหมครับ?” หวูถงชิ่งพูด

 

“อืม” ชายชราพูด

 

ชายชรานอนลงพร้อมกับดวงตาที่ยังคงเบิกกว้าง เขารู้สึกได้ว่า เขาจะอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว ถ้าหากไม่ใช่เพราะหวังเย้า เขาก็อาจจะตายไปแล้วก็ได้ เขาไม่ได้หวาดกลัวความตาย เพราะในที่สุด เขาก็จะได้ไปพบหน้าภรรยาของเขาที่จากไปนานแล้ว รวมถึงผู้อาวุโส, และเพื่อนเก่าอีกหลายคนที่ไปก่อนเขานานแล้ว แต่เขายังมีเรื่องที่ต้องคุยกับลูกๆของเขาก่อนที่เขาจะไป เขายังคงเป็นห่วงพวกเขาอยู่

 

หลังทานอาหารกลางวันเสร็จ หวังเย้าก็ไปที่หอสักการะฟ้าเทียนถัน เขาเคยมาที่นี่แล้วครั้งหนึ่ง สถานที่แห่งนี้ เคยถูกใช้สำหรับทำพิธีกราบไหว้ฟ้าดินในช่วงของราชวงศ์หมิงและชิง

 

ในช่วงบ่าย มีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมที่นี่เป็นจำนวนมาก หวังเย้ายืนนิ่งอยู่ตรงนั้นนานมาก เขาสามารถรับรู้ได้ถึงพลังของหอสักการะฟ้าเทียนถันที่ต่างไปจากเดิม เขาพบว่ามันยากที่จะอธิบายออกมาได้

 

บางทีอาจจะเป็นเพราะเขายืนอยู่ตรงจุดนี้นานเกินไป หรือท่าทางของเขาอาจจะดูแตกต่างไปจากนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ จึงทำให้เขากลายเป็นจุดสนใจขึ้นมา

 

“นี่ ดูนั่นสิ” นักท่องเที่ยวคนหนึ่งพูด “ผู้ชายคนนั้นไปยืนทำอะไรตรงนั้นน่ะ?”

 

“เขาอาจจะกำลังคิดอะไรอยู่ก็ได้ นายก็รู้ ว่าที่นี่เคยเป็นสถานที่สักการบูชามาก่อน” นักท่องเที่ยวอีกคนพูด

 

“ครั้งก่อนที่มา ฉันก็เคยเห็นคนทำแบบผู้ชายคนนั้นเหมือนกัน” นักท่องเที่ยวที่ดูอายุน้อยพูดขึ้นมา “แล้วรู้รึเปล่าว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาน่ะ?”

 

“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” นักท่องเที่ยวอีกคนถาม

 

“เขาก็ถูกส่งไปโรงพยาบาลน่ะสิ” นักท่องเที่ยวที่อายุน้อยกว่าพูด

 

“ไร้สาระ” นักท่องเที่ยวอีกคนพูด

 

หวังเย้าค่อยๆลืมตาและมองไปรอบๆ เขาไม่สามารถทำเรื่องบางอย่างต่อหน้าคนจำนวนมากได้

 

น่าเสียดายที่ตรงนี้มีคนเยอะเกินไป

 

ไม่นานเขาก็จากไป

 

“เขาไปแล้วเหรอ?” นักท่องเที่ยวหนุ่มถาม

 

“อืม ฉันเดาว่า เขาน่าจะได้ในสิ่งที่เขาต้องการแล้ว” นักท่องเที่ยวอีกคนพูด

 

หวังเย้าเดินต่อไปที่หอสักการะดินตี้ถัน พลังของที่นี่ต่างไปจากที่อื่นๆ รวมถึงหอสักการะฟ้าเทียนถันด้วย ที่นี่มีนักท่องเที่ยวไม่มากนัก หวังเย้าหาจุดเพื่อยืนนิ่งและหลับตาลงเป็นเวลานาน ก่อนที่เขาจะจากไป

 

เวลาเริ่มเย็นลงแล้ว หวังเย้าหาอาหารง่ายๆทานในร้านเก่าแก่ร้านหนึ่ง

 

ค่ำคืนในปักกิ่งเต็มไปด้วยความคึกคัก แต่ประตูหอสักการะฟ้าเทียนถันก็ยังไม่ปิด ตัวหอยังคงตั้งตระหง่านอยู่อย่างเงียบเชียบ คล้ายกับชายชราที่สั่งสมประสบการณ์มานับพันปี มันเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความโบราณ

 

อยู่ๆก็มีคนเดินเข้าไปด้านใน เขายืนนิ่งอยู่ใต้ท้องฟ้า และแน่นอนว่าเขาก็คือ หวังเย้า ไม่มีใครเดินไปเดินมาในบริเวณนี้ นอกจากเจ้าหน้าที่ที่ดูแลสถานที่แห่งนี้

 

หวังเย้ายืนนิ่งเพื่อรับพลังฟ้าดินจากพื้นที่โดยรอบ

 

วู้ววว! สายลมพัดผ่านตัวเขาไป เขาหายใจเข้าและหายใจออก

 

แกร๊ก!

 

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเดินมาพร้อมกับถือไฟฉ่ายเอาไว้ในมือ

 

“แปลกจริงๆ! ฉันสาบานได้เลยว่าฉันเห็นคนยืนอยู่ที่นี่!” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยถือไฟฉ่ายด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างของเขากำด้ามช๊อตไฟฟ้าเอาไว้ ร่างกายของเขาดูสั่นเทาเล็กน้อย

 

เขามั่นใจว่า เขาเห็นคนยืนอยู่บนห้อสักการะ แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้ เขากลับไม่เห็นใครเลย

 

“หรือว่าฉันจะเจอผีเข้าให้แล้ว?” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพูด

 

ผี! เขาตัวสั่นเทาด้วยความกลัว สถานที่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในช่วงสมัยราชวงศ์หมิงเพื่อใช้สื่อสารกับเทพและภูติผี